สวีเหนียงจื่อมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น พลางแอบครุ่นคิด ไม่รู้ว่าจะดีอย่างนี้ได้จนถึงเมื่อไรกัน
สวีเหนียงจื่อกับซูจิ่นซิ่วเดินตามลู่เจียวเข้าบ้านตระกูลเซี่ย ไปอยู่ห้องปีกตะวันตกของเรือนด้านหลัง
เพราะดึกมากแล้ว ทุกคนจึงไม่ได้พูดจามากมายอะไรกันต่อ เช็ดตัวล้างหน้าแล้วก็เข้านอน
วันรุ่งขึ้น เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้ไปเรือนด้านหลังอย่างรู้งาน อยู่กินอาหารเช้าที่เรือนด้านหน้าแล้วก็ไปบ้านเช่าข้างบ้านให้คำชี้แนะทบทวนตำรากับนักเรียน
ลู่เจียวพาเฝิงจือไปต้อนรับสวีเหนียงจื่อกับซูจิ่นซิ่ว
สวีเหนียงจื่อกับซูจิ่นซิ่วสีหน้าไม่ดีนัก แต่พอเห็นลู่เจียวก็รีบเข้ามาแสดงความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณลู่เหนียงจื่อแล้ว”
ลู่เจียวแสดงท่าทางบอกให้พวกนางกินอะไรสักหน่อย “แม้ว่าเศร้าใจ แต่อย่างไรก็จะต้องผ่านไป วันหน้าก็จะดีเอง”
สวีเหนียงจื่อพยักหน้า จะทำอย่างไรได้ ได้แต่สงสารบุตรสาวนางแล้ว
“วันหน้าซิ่วเอ๋อร์ติดตามข้า เกรงว่าคงต้องลำบากแล้ว แต่หากจะทิ้งนางไว้ที่บ้านตระกูลซู ข้าก็ไม่วางใจ”
ซูจิ่นซิ่วรีบกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าไม่กลัวความลำบาก”
แม้ว่านางยากตัดใจออกจากบ้านตระกูลซู แต่ที่นางต้องการมากไปกว่านั้นก็คืออิสระและความรู้สึกผ่อนคลาย
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บ้าน ท่านย่ามักว่านางว่านี่ก็ไม่ดี นั่นก็ไม่ดี ทำเอานางไม่กล้าออกจากห้อง ตอนนี้ในที่สุดนางก็เป็นอิสระแล้ว วันหน้าคิดกินอะไร คิดทำอะไร ก็ล้วนมีอิสระ นางดีใจมาก
สวีเหนียงจื่อเห็นซูจิ่นซิ่วไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจก็โล่งอก
ลู่เจียวก็กล่าวถึงเรื่องการจัดการวางแผนของพวกนางสองแม่ลูกในวันหน้ากับสวีเหนียงจื่อ “สวีเหนียงจื่อ ตอนนี้ออกจากบ้านตระกูลซูแล้ว วันหน้ามีแผนการอะไรหรือยัง”
สวีเหนียงจื่อคิดแล้วก็กล่าวว่า “กลับบ้านก่อน จากนั้นอาจจะหาทางทำการค้าเล็กๆ อะไรสักอย่าง สรุปข้าไม่อาจเอาแต่อยู่บ้านท่านพ่อท่านแม่เฉยๆ ได้ ข้าต้องคิดหาทางพยายามหาเงินเลี้ยงดูบุตรสาว ยังต้องเตรียมสินออกเรือนให้บุตรสาวสักก้อนหนึ่งด้วย”
สวีเหนียงจื่อพูดถึงตรงนี้ ซูจิ่นซิ่วก็หน้าแดง จากนั้นก็นางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านแม่ ข้าไม่แต่ง ผู้ชายไม่มีดีสักคน”
สวีเหนียงจื่อได้ฟังคำพูดบุตรสาวก็หันไปมองนาง กล่าวน้ำเสียงอู้อี้ว่า “ซิ่วเอ๋อร์ ความจริงผู้ชายก็มีทั้ง…”
นางกล่าวไม่จบ สรุปว่านางก็ไม่เห็นผู้ชายมีดีตรงไหน บางทีอาจมี แต่ก็น้อยมาก
ลู่เจียวเอ่ยแทรกคำพูดสองแม่ลูกขึ้น “สวีเหนียงจื่อ ข้ามีทางหนึ่ง ข้าพูดให้เจ้าลองฟังดู หากรู้สึกว่าได้ พวกเราค่อยหารือรายละเอียดกัน”
สวีเหนียงจื่อหันไปมองลู่เจียว
ลู่เจียวกล่าวว่า “ข้ากำลังร่วมมือจะเปิดโรงผลิตน้ำมันและยากับผู้อื่น จากนั้นก็จะเปิดร้านขายน้ำมันและยา สองร้านนี้ต้องการคนมาดูแล ดังนั้นข้าอยากถามเจ้าว่าสนใจไหม หากวันหน้าพวกเราร่วมมือกัน เจ้าก็เป็นผู้จัดการร้านสองร้านของข้า ส่วนข้าก็จะแบ่งกำไรสามส่วนให้เจ้าทุกปี เจ้าว่าได้ไหม”
สวีเหนียงจื่อได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็ดีใจมาก นี่เป็นเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึงจริงๆ นางออกจากบ้านตระกูลซูมา ไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว ตอนนี้ลู่เจียวให้โอกาสหาเงินกับนาง นางจะไม่ยินดีได้อย่างไร
แต่สามส่วนเยอะเกินไปแล้ว สวีเหนียงจื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “ข้ามีชีวิตต่อได้ก็เพราะลู่เหนียงจื่อช่วยข้าไว้ ตามหลักการแล้วข้าไม่ควรรับเงินลู่เหนียงจื่อถึงจะถูก แต่ข้ามีบิดามารดาต้องกตัญญู มีบุตรสาวต้องดูแล ดังนั้นไม่มีเงินไม่ได้ แต่สามส่วนมากเกินไป หนึ่งส่วนก็พอ”
เงินหนึ่งส่วนเพียงพอให้นางนำไปแสดงความกตัญญูบิดามารดา และเลี้ยงดูบุตรสาว หาเงินให้บุตรสาวมีสินเดิมยามแต่งงานก็พอ
ลู่เจียวได้ฟังสวีเหนียงจื่อก็ดีใจมาก นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าสวีเหนียงจื่อเป็นคนดี เช่นนี้นางรับเอาไว้ก็ยิ่งวางใจ อย่างน้อยนางก็มีบุญคุณช่วยชีวิตนางไว้ แต่ให้รับเพียงส่วนเดียว ลู่เจียวก็เหมือนทำไม่ลง
“หนึ่งส่วนน้อยไป วันหน้าให้เจ้าสองส่วนแล้วกัน”
คนเขาเป็นคนดี ก็ไม่อาจให้นางเสียเปรียบ ความจริงลู่เจียวคิดให้นางสามส่วนก็เพราะวันหน้าเรื่องมากมายในร้านก็ล้วนให้สวีเหนียงจื่อจัดการ
แต่นางมาคิดดูละเอียดแล้วก็รู้สึกว่าสองส่วนก็เป็นเงินไม่น้อย ร้านน้ำมันกับร้านยาวันหน้าต้องทำกำไรได้มากมายอย่างแน่นอน
สวีเหนียงจื่อยังจะพูดต่อ แต่ลู่เจียวตัดสินใจหนักแน่นว่า
“ตัดสินใจแบบนี้แล้วกัน รอไว้ให้ร้านเปิด ข้าก็จะร่างสัญญา ไปจดทะเบียนเปิดร้านน้ำมันกับร้านยาที่ที่ว่าการอำเภอ ตอนร้านยังไม่เปิด หากลู่เหนียงจื่อไม่มีที่อยู่ ก็อยู่ไปอยู่โรงบ้านข้าก่อนได้ คอยช่วยดูแลแปลงสมุนไพรข้าไปก่อนชั่วคราว”
สวีเหนียงจื่อตกใจมาก เดิมคิดว่าตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะมีเงินเช่นนี้ นี่เรียกว่ารวยเงียบใช่ไหม ไหนเลยจะเหมือนบ้านพวกเขา ก็แค่บ้านใหญ่หลังหนึ่ง ร้านค้าสองร้าน กับโรงบ้านที่นาเล็กๆ อีกสามร้อยหมู่ ก็ทำราวกับเป็นคหบดีใหญ่ น่าขันอย่างที่สุด
“ไม่ทราบว่าแปลงสมุนไพรลู่เหนียงจื่ออยู่ที่ไหน”
สวีเหนียงจื่อกล่าวจบ ลู่เจียวก็แอบเขิน ยิ้มกล่าวว่า “ข้ายังไม่ได้ไปเอาสัญญากรรมสิทธิ์ที่ดินเลย ดังนั้นเลยไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน วันนี้ข้าจะหาเวลาว่างไปเอาแล้วกัน”
สวีเหนียงจื่อหัวเราะขึ้นมา จิตใจที่เดิมเวิ้งว้างถึงกับผ่อนคลายลงไปมากเพราะการจัดการของลู่เจียว
“สองวันนี้ข้าตั้งใจจะกลับไปบ้านข้าสักหน่อย ไม่ว่าอย่างไรเรื่องหย่านี้ก็ยังต้องบอกท่านพ่อท่านแม่สักคำ หลายปีมานี้ข้าไม่ได้กลับบ้าน ก็พอดีจะได้กลับไปอยู่สักสองสามวัน รออีกสองสามวันข้าก็จะมาหาลู่เหนียงจื่อ”
ลู่เจียวเห็นด้วยทันที “ตกลง”
นางกล่าวจบก็เรียกเฝิงจือให้มอบเงินยี่สิบตำลึงให้นาง
“เจ้ากลับบ้าน ไม่ควรไปมือเปล่า เจ้าต้องซื้อของไปสักหน่อย”
สวีเหนียงจื่อซาบซึ้งใจมาก มองลู่เจียวพลางขอบคุณไม่หยุด “ลู่เหนียงจื่อ ท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้าจริงๆ ขอบคุณ ขอบคุณมาก”
ลู่เจียวยิ้มรับคำกล่าวว่า “นี่หักจากเงินส่วนของเจ้าวันหน้านะ”
วาจานี้ทำเอาสวีเหนียงจื่อกับซูจิ่นซิ่วหัวเราะขำขึ้นมา ในที่สุดสองแม่ลูกก็รู้สึกผ่อนคลายลงมาก
หลังอาหารเช้าผ่านไป ลู่เจียวเดินออกมาส่งพวกนางสองแม่ลูก
ตอนสวีเหนียงจื่อกับซูจิ่นซิ่วถือห่อผ้าออกจากบ้านตระกูลเซี่ย ประตูข้างบ้านก็พลันดังขึ้น ซูต้าไห่ถือห่อผ้าเดินออกมายัดใส่แขนสวีเหนียงจื่อ “นี่คือเครื่องประดับกับตั๋วแลกเงิน เจ้ารับไว้สิ”
ซูต้าไห่กล่าวจบก็หันหลังไป เหมือนกลัวว่าสวีเหนียงจื่อจะไม่เอา หันหลังเดินเข้าประตูบ้านตระกูลซูไปทันที
สวีเหนียงจื่อไม่อยากรับของบ้านตระกูลซูไว้จริงๆ นางอ้าปากคิดตะโกนเรียก ลู่เจียวกลับรั้งนางไว้ กล่าวว่า “เอาสิ ทำไมไม่เอา หลายปีนี้เจ้าลำบากอยู่บ้านตระกูลซูมาเท่าไร อย่าได้ไม่เอา อย่าปล่อยให้คนอื่นเอาเปรียบเจ้า เจ้าเอาของพวกนี้ไปซื้อของให้ท่านพ่อท่านแม่เจ้าก็ดี ให้เป็นสินออกเรือนบุตรสาวเจ้าก็ได้”
สวีเหนียงจื่อคิดแล้วก็มีเหตุผล จึงไม่ได้ส่งเสียงเรียก ลู่เจียวสั่งให้หลินต้าส่งพวกนางสองแม่ลูกกลับบ้าน
หลินต้ารับคำสั่งไปส่งพวกนาง
ลู่เจียวหันหลังจะเดินเข้ากลับเข้าบ้าน ไม่คิดว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับเดินมาอย่างรีบร้อน สีหน้าไม่ดีอย่างมาก
พอลู่เจียวเห็นท่าทางเขาก็รู้ว่าต้องเกิดเรื่องอะไร ก็หยุดรอเขาทันทีด้วยสัญชาตญาณ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น สีหน้าเจ้าไม่ดีเลย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเดินนำเข้าบ้านไปก่อน ลู่เจียวเดินตามหลังมา
พอทั้งสองคนเข้าบ้านมา เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็กล่าวว่า “เมื่อวานโจรที่มือปราบจ้าวจับเข้าคุกไป ตายไปตอนเที่ยงคืน”
ลู่เจียวสีหน้าตกใจ “อยู่ดีๆ ตายในคุกได้อย่างไรกัน”
“ผูกคอตาย”