สวีเหนียงจื่อได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็ว้าวุ่นใจมาก “นี่ไม่ดีกระมัง คุณชายเซี่ยจะไม่โกรธหรือ”
ลู่เจียวส่ายหน้า “ไม่เป็นไร บ้านเราข้าเป็นใหญ่”
สวีเหนียงจื่อได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็นึกถึงท่าทีของเซี่ยซิ่วไฉที่มีต่อลู่เจียวขึ้นมา นางอดเศร้าใจไม่ได้ นางหันไปมองลู่เจียว กล่าวเตือนว่า “ลู่เหนียงจื่อ หลายเรื่องควรใส่ใจไว้หน่อย อย่าได้เชื่อใจผู้ชาย วันนี้เขาดี ไม่ได้หมายความวันหน้าเขาจะดีตลอดไป”
คิดถึงตอนนั้นซูต้าไห่เองก็เป็นคนดีเช่นนี้ แต่วันนี้เป็นอย่างไรเล่า
ลู่เจียวมองสวีเหนียงจื่อค่อยๆ กล่าวว่า “สวีเหนียงจื่อ ความจริงเจ้าเองก็มีส่วนผิด”
สวีเหนียงจื่อมองลู่เจียวด้วยสีหน้าแทบไม่อยากจะเชื่อ ซูจิ่นซิ่วในห้องก็มองลู่เจียว
ลู่เจียวกล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “เจ้าผิดที่ปล่อยปละซูต้าไห่ ทำไมตอนแรกที่เขาทำเรื่องเช่นนี้ เจ้าไม่ห้ามไว้ เขาเดินมาถึงวันนี้ได้ ในความผิดนี้ก็มีเจ้าอยู่ด้วย เจ้าที่ปล่อยปละเขามาเรื่อยๆ ตอนที่เขารับท่านพ่อท่านแม่มาอยู่ด้วย ทำไมเจ้าไม่ห้าม แสดงท่าทีว่าเจ้าเองไม่เห็นด้วย เจ้าให้ซูต้าไห่สร้างบ้านให้ท่านพ่อท่านแม่เขาในหมู่บ้าน ให้เงินพวกเขาใช้ชีวิตบั้นปลาย ยืนยันไม่เห็นด้วยที่จะให้พวกเขามา”
“ข้าคิดว่าตอนนั้นเขาก็คงไม่ได้จะให้ท่านพ่อท่านแม่เขามาให้ได้ ต่อมาท่านแม่เขาให้เขารับอนุ เจ้าก็ควรยืนยันไม่เห็นด้วย หากเขากล้ารับอนุ ก็ขับไล่บ้านตระกูลซูพวกเขาออกไป แต่เจ้าก็เห็นด้วยแล้ว ท่านพ่อท่านแม่เขาไม่ดีกับเจ้า ก็ยอมทนไม่พูดสักคำ ทำตัวเป็นสะใภ้ที่ดีทำสิ่งที่ควรทำ”
“ดังนั้นเจ้าดูสิ ความจริงเจ้าเองก็มีส่วนผิด วันหน้าต้องจดจำไว้เรื่องหนึ่ง ถูกคือถูก ผิดคือผิด ผิดแล้วต้องรีบแก้ไขหยุดยั้งความเสียหาย ยืนหยัดคัดค้าน ไม่ยอมปล่อยปละอย่างเด็ดขาด”
ลู่เจียวพูดกับสวีเหนียงจื่อมากมายเช่นนี้ก็เพราะเห็นสวีเหนียงจื่อเหมือนคนกันเองแล้ว สวีเหนียงจื่อเป็นคนมีความสามารถ ดูแลทุกคนในบ้านได้เช่นนี้ ยังดูแลการค้าตระกูลซูได้ ความสามารถไม่น้อย แต่นางเองก็มีจุดอ่อน ก็คือทนได้ก็ทน การอดทนบางครั้งก็เป็นเรื่องดี บางครั้งก็เป็นเรื่องไม่ดี
วันหน้าหากนางได้เป็นคนดูแลร้านนางจริงๆ นางจะเป็นเช่นนี้ไม่ได้ ดังนั้นลู่เจียวจึงได้กล่าวมากหน่อย
ในห้อง สวีเหนียงจื่อกับซูจิ่นซิ่วอึ้งไป จากนั้นก็เข้าใจกระจ่างทันที ลู่เจียวพูดได้มีเหตุผลมาก
คนเราไม่อาจถอย ถอยก้าวหนึ่งก็ต้องถอยต่อไปเรื่อยๆ
ความคับแค้นใจต่อซูต้าไห่มลายหายไปมากอย่างน่าแปลก
“ที่แท้ข้าเองก็มีส่วนผิด เป็นเช่นนี้ วันหน้าข้าจะไม่โกรธแค้นเขา และไม่คิดสาปแช่งเขา ต่างคนต่างอยู่รักษาตัวเองดีๆ แล้วกัน”
นางกล่าวจบก็เริ่มเก็บเสื้อผ้าตนเอง แม้แต่เครื่องประดับก็ไม่เอาไป
หากไม่ใช่เสื้อผ้าที่ตนเคยใส่ นางก็ไม่ต้องการ วันหน้าเริ่มต้นใหม่
สวีเหนียงจื่อคิดแล้วก็ให้ซูจิ่นซิ่วไปเก็บของตนเองไปด้วย
สองแม่ลูกเก็บของเสร็จ ก็ถือเดินออกจากห้อง
ซูต้าไห่เห็นสองแม่ลูกถือห่อผ้าเดินออกมา ในใจก็พลันเศร้าเสียใจอย่างที่สุด
เขานึกถึงภาพครอบครัวพวกเขามีความสุขกันก่อนหน้าที่จะรับบิดามารดาและน้องชายมาอยู่ด้วย
ในเรือนบุปผา ยายเฒ่าตระกูลซูเห็นสวีเหนียงจื่อกับซูจิ่นซิ่วถือห่อผ้าออกมา ก็อดเอ่ยปากไม่ได้ว่า “สวีโต้ว เจ้าไม่ได้เอาของบ้านตระกูลซูข้าไปใช่ไหม”
สวีเหนียงจื่อส่งสายตายิ้มเยาะมองยายเฒ่าตระกูลซู นางเปิดห่อผ้าให้ดูตรงนั้น ปรากฏว่ามีแต่กองเสื้อผ้า แม้แต่เครื่องประดับก็ไม่มี นางวางเงินทองของทั้งบ้านรวมไว้กับหนังสือสัญญาที่ตอนนั้นซูต้าไห่เขียนเอาไว้บนโต๊ะในห้องซูต้าไห่
“ตอนนี้ดูกระจ่างแล้วใช่ไหม ข้าไม่ได้เอาของบ้านตระกูลซูพวกเจ้าไปแม้แต่แดงเดียว หลายปีนี้ข้าทุ่มเทเพื่อบ้านตระกูลซู หรือว่าไม่มีค่าควรแก่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดพวกนี้”
นางกล่าวจบก็ห่อเสื้อผ้าเสร็จ ในเรือนบุปผา ซูต้าไห่มองสวีโต้วที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาพลันรู้สึกว่าสวีโต้วไปครั้งนี้แล้วจะไม่กลับมาอีก
อย่าเห็นว่าภายนอกนางอ่อนโยน แต่ความจริงนิสัยดื้อรั้นที่สุด ก็เหมือนตอนนั้นที่คนบ้านตระกูลสวีไม่เห็นด้วยที่จะให้นางแต่งกับเขา แต่นางก็ยืนยันว่าจะแต่งกับเขา
ซูต้าไห่ลุกขึ้นยืนทันที เอ่ยว่า “สวีโต้ว ข้า…”
เขาอยากพูดออกไปว่า สวีโต้วพวกเราไม่หย่ากัน ได้ไหม?
สวีเหนียงจื่อไม่รอให้เขากล่าวจบก็เอ่ยก่อนว่า “เอาละ วันหน้าพวกเราก็แยกกันคนละทาง รักษาตัวเองให้ดี แต่งกับเจ้ามาระยะหนึ่ง อย่างไรก็ทำให้ข้าเองได้เข้าใจในเรื่องหนึ่ง บนโลกนี้ใจไม่อาจแลกใจได้”
นางกล่าวจบก็หันเดินจากไป ซูจิ่นซิ่วด้านหลังก็ตามมารดาไป
มือปราบจ้าว หลูเหนียงจื่อ เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวและลู่กุ้ยก็พากันเดินออกจากเรือนด้านหลังของบ้านตระกูลซู
คนบ้านตระกูลซูแทบจะปรบมือยินดี มีเพียงซูต้าไห่ที่เหม่อมองสองแม่ลูกที่เดินจากไปไกล
ตอนสวีเหนียงจื่อกับซูจิ่นซิ่วกำลังก้าวออกจากบ้านตระกูลซู ด้านหลังพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ทุกคนหันไปมองด้วยสัญชาตญาณ เห็นคนที่วิ่งมาเป็นซูเหลียงเฉิน บุตรชายสวีเหนียงจื่อ
ใบหน้าซูเหลียงเฉินเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา ร้องไห้มองมารดากับน้องสาวตนเอง “พวกท่านไม่ต้องการข้าแล้วหรือ”
สวีเหนียงจื่อคิดถึงว่าบุตรชายก่อนหน้านี้วิ่งมาบอกนางว่าให้นางยอมรับหลิวเซียงเป็นภรรยาเอกคนที่สอง นางก็อดหัวเราะไม่ได้
“ไม่ใช่แม่ไม่ต้องการเจ้า แต่เจ้าไม่ต้องการท่านแม่ เจ้าน่าจะไม่ใช่ลูกที่ข้าคลอดออกมา น่าจะเป็นลูกหลิวเซียง”
บุตรชายบ้านไหนวิ่งมาบอกท่านแม่ตนว่า ภรรยาเอกต้องมีคุณธรรม ควรให้สามีตนเองรับอนุ อนุตั้งครรภ์ก็ควรยกให้เป็นภรรยาเอกคนที่สอง เป็นเรื่องสมควร
ที่สุดท้ายสวีเหนียงจื่อผูกคอตาย ความจริงเพราะถูกบุตรชายทำให้นางสะเทือนใจ เรียนหนังสือจนเป็นอย่างบุตรชายเช่นนี้ ไม่ใช่เรียนจนโง่หรือ เห็นๆ ว่าแม้แต่ถงเซิงก็ยังสอบไม่ได้ วันๆ กลับเอาแต่เอ่ยอ้างคำสอนในตำรา เอะอะอะไรก็กล่อมว่านางเป็นภรรยาเอกก็ควรดำรงตามจารีต ไม่ก็ควรใจกว้างอะไรพวกนั้น นี่ยังเป็นบุตรชายนางอีกหรือ
สวีเหนียงจื่อคิดแล้วก็หันหลังเดินจากไป ไม่หันกลับมามองบุตรชายตนเองแม้สักนิด ซูจิ่นซิ่วตามอยู่ด้านหลังคิดกล่าววาจา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวอันใด หันหลังเดินตามออกไปทันที
ซูเหลียงเฉินด้านหลังมองมารดากับน้องสาวที่เดินออกไปอย่างไม่หันกลับมามองเขาอีกด้วยอาการอึ้งไปทันที ทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้ ตำราบอกไว้นี่ สตรีเป็นภรรยาดี ควรหาอนุให้สามี ทำไมพอเป็นท่านแม่เขา กลับมีเรื่องถึงขั้นหย่าร้าง
ลู่เจียวมองซูเหลียงเฉินอย่างไร้วาจาจะกล่าว แม้ว่านางไม่รู้รายละเอียดในเรื่องนี้ แต่ก็รู้ว่าบุตรชายนางผู้นี้น่าจะทำอะไรที่ทำให้สวีเหนียงจื่อโมโห ดังนั้นนี่เป็นเพราะเรียนหนังสือจนโง่ใช่หรือไม่
ลู่เจียวมองซูเหลียงเฉิน แล้วก็มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นข้างๆ พลางถอนหายใจ จริงๆ ว่าที่โส่วฝู่ผู้นี้มีจิตใจกว้างขวางกว่าผู้อื่นไม่น้อย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นลู่เจียวมองเขา รีบเขยิบเข้าใกล้นาง ถามอย่างอ่อนโยนว่า “มีอะไรหรือ”
ลู่เจียวคิดถึงเรื่องที่ตนเองรับสวีเหนียงจื่อกับซูจิ่นซิ่วไว้ ก็กระซิบกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นว่า “คืนนี้สวีเหนียงจื่อกับจิ่นซิ่วไม่มีที่ไป ดังนั้นข้ารับพวกนางไว้ที่บ้านคืนหนึ่ง เจ้าไม่ว่าอะไรใช่ไหม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบส่ายหน้า เขาจะไปว่าอะไรได้ ตอนนี้บ้านนี้เป็นของลู่เจียว
“ไม่เป็นไร เจ้าให้พวกนางอยู่กี่วันก็ได้”
ลู่เจียวยิ้มทันที ทุกคนออกจากบ้านตระกูลซู ลู่เจียวเชิญสวีเหนียงจื่อกับซูจิ่นซิ่วไปบ้านตระกูลเซี่ย
มือปราบจ้าวกับหลูเหนียงจื่อเห็นแล้วก็โล่งอก
ความจริงเดิมพวกเขาคิดให้สวีเหนียงจื่อกับซูจิ่นซิ่วไปอยู่บ้านพวกเขา เพียงแต่บ้านพวกเขาที่ทางคับแคบ
ตอนนี้ลู่เจียวเอ่ยปาก พวกเขาก็เบาใจ
มือปราบจ้าวหันไปมองสวีเหนียงจื่อกล่าวว่า “สวีเหนียงจื่อ ค่ำคืนเดินทางไม่สะดวก เจ้าก็อยู่พักบ้านตระกูลเซี่ยสักคืนแล้วกัน”
“ขอบคุณมือปราบจ้าวกับหลูเหนียงจื่อแล้ว”
คนนอกยังดีกว่าสามีตนเอง สวีเหนียงจื่อคิดแล้วก็รู้สึกเศร้าใจไม่น้อย
แต่นางเป็นห่วงเซี่ยอวิ๋นจิ่น จึงหันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบแสดงท่าทีว่า “ทุกเรื่องในบ้านเรา ข้าฟังภรรยาข้าหมด”