ลู่เจียวเองก็เอ่ยว่า “บุตรชายสองคนของเขาแม้ว่าพูดจาด่าทอ แต่พวกเราก็ช่วยเหลือพวกเขาให้เปลี่ยนเป็นเด็กดีได้ ก็ถือเสียว่าช่วยท่านอาหันแล้วกัน”
ซานเป่ากับซื่อเป่ากล่าวอย่างไม่พอใจว่า “แต่พวกเขาด่าท่านแม่”
“ใช่ เกลียดพวกเขา”
ลู่เจียวยกมือลูบศีรษะสองหนูน้อย “แม่รู้ว่าพวกเจ้าสงสารแม่ แต่พวกเราก็ถือเสียว่าตอบแทนบุญคุณท่านอาหันแล้วกัน”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่คิดถึงสภาพน่ารันทดตอนนั้นที่ท่านพ่อนอนอัมพาตอยู่บนเตียง ในที่สุดก็พยักหน้า “ก็ได้”
แม้ว่าเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ปากจะรับปาก แต่สีหน้าเหมือนครุ่นคิด ลู่เจียวลุกดึงพวกเขามากล่าวว่า “ไป แม่พาพวกเจ้าไปดูไม้ลื่น สีน่าจะแห้งพอสมควรแล้ว ลื่นเล่นได้แล้ว นี่เป็นของที่ทำให้ลูกชายบ้านเราโดยเฉพาะ ดังนั้นย่อมต้องให้ลูกชายบ้านเราเล่นกันก่อน”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็ดีใจขึ้นมาทันที เซี่ยอวิ๋นจิ่นลุกขึ้นเดินตามออกมาติดๆ ทั้งครอบครัวไปเล่นไม้ลื่นกัน
เพราะเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไม่เคยเล่นไม้ลื่น เล่นครั้งแรกก็ย่อมตื่นเต้นมาก
ลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นสองคนแยกกันยืนเฝ้าระวังอยู่สองข้าง กลัวว่าพวกเขาเกิดเหตุไม่คาดฝันล้มลง แต่เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ปรับตัวระยะหนึ่ง กอปรกับมักออกกำลังกาย ร่างกายคล่องแคล่วว่องไว ไม่ได้เกิดเหตุอะไร
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เล่นกันสนุกสนาน ส่งเสียงหัวเราะดังลั่น
พวกช่างไม้ทำงานในเรือนตะวันออกได้ยินเสียงก็วิ่งกันออกมาดู แต่ละคนตื่นเต้นแปลกใจไม่น้อย ทำให้ทุกคนยิ่งเชื่อมั่นในไม้ลื่นนี้ เชื่อว่าคนตระกูลใหญ่ในอำเภอย่อมต้องสั่งทำเจ้าของสิ่งนี้อย่างแน่นอน
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เล่นได้ครู่หนึ่ง ก็วิ่งมาหาลู่เจียวกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านแม่ พวกเราชวนพี่เสี้ยวเสี้ยวมาเล่นเจ้านี่บ้านเรากันเถอะ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เห็นชัดว่าเข้ากับหูหลิงเสวี่ยได้ค่อนข้างดี มีของดีก็รู้จักคิดถึงหูหลิงเสวี่ย
ลู่เจียวคิดอยู่ครู่หนึ่ง อย่างไรที่บ้านก็มีเด็กเจ็ดคนแล้ว เพิ่มหูหลิงเสวี่ยอีกคนก็คงไม่เป็นไร สุดท้ายก็เห็นด้วย
“ได้ ท่านแม่ให้น้าเล็กไปถามตระกูลหูดูว่าท่านน้าเห็นด้วยไหม หากเห็นด้วย พรุ่งนี้ก็ให้พี่เสี้ยวเสี้ยวมาเล่นและเรียนรู้กับพวกเจ้า”
ลู่เจียวเพิ่งกล่าวจบ เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็รับคำแทนว่า “ตอนบ่ายข้าจะไปจวนนายอำเภอ พอดีจะได้บอกกับหูซ่าน”
ลู่เจียวพยักหน้า “ได้”
วันรุ่งขึ้น อาจารย์ทั้งสองท่านของตระกูลจ้าวก็พาจ้าวอวี้หลัวมาตระกูลเซี่ย
อาจารย์ทั้งสองอายุไม่น้อยแล้ว ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง อายุราวสี่สิบ อาจารย์ชายแซ่พาน ชื่อว่าพานเหลียนโจว อาจารย์หญิงแซ่ซือ ชื่อว่าซือหุย
ลู่เจียวคุยกับทั้งสองคน อาจารย์ทั้งสองท่านไม่ใช่คนหัวโบราณ กลับกัน ยังเป็นคนพูดจาสนุกสนานอย่างมาก เหมาะกับการสอนหนังสือเด็ก ดูท่าจ้าวหลิงเฟิงทุ่มเทเวลาเลือกอาจารย์ให้บุตรสาวไม่น้อย
ลู่เจียวยิ้มมองอาจารย์ทั้งสองท่านกล่าวว่า “อาจารย์พาน อาจารย์ซือ พวกเราแบ่งวิชาที่แต่ละท่านต้องสอนกันก่อน”
อาจารย์พานกับอาจารย์ซือพยักหน้า ลู่เจียวหยิบตารางวิชาออกมาส่งให้อาจารย์พานกับอาจารย์ซือ กล่าวว่า “อาจารย์พานก็รับหน้าที่สอนภาษา ศิลปะ เพาะปลูก ส่วนภาษานี้ ก็อ่านนิทานให้เด็กๆ ฟัง จากนั้นก็คอยชี้แนะพวกเขาอ่านนิทาน ศิลปะก็สอนให้พวกเขาวาดรูป แล้วก็การออกแบบความงามอะไรพวกนี้ เพาะปลูกก็สอนกระบวนการปลูกข้าวเจ้า ข้าวสาลีอะไรพวกนี้พร้อมกับปลูกไปพร้อมกับเด็กๆ”
ลู่เจียวกล่าวจบมองไปยังอาจารย์พาน “ไม่มีปัญหากระมัง”
อาจารย์พานก้มหน้ามองวิชา ยิ่งมองก็ยิ่งสนใจ พยักหน้าอย่างดีใจหงึกๆ “ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา ลู่เหนียงจื่อวางใจได้”
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นวันหน้าอาจารย์พานก็รับหน้าที่สอนครึ่งเช้า”
ลู่เจียวกล่าวจบหันไปมองอาจารย์ซือกล่าวว่า “อาจารย์ซือรับหน้าที่งานฝีมือและดนตรีสองอย่าง วิชาตอนบ่าย ข้าจะรับหน้าที่สอนคำนวณและเล่นละคร สองอย่างนี้จัดไว้ตอนบ่าย เพราะข้ามีเวลาไม่แน่นอน ดังนั้นอาจจะจัดแบบผ่อนปรนตามสะดวก หากตอนบ่ายข้าไม่มีเวลาสอน อาจารย์ซือก็พาเด็กๆ ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งได้“
อาจารย์ทั้งสองท่านพอได้ฟังก็เข้าใจการจัดการของลู่เจียว พยักหน้าเห็นด้วยทันที
ลู่เจียวมองพวกเขากล่าวว่า “ตอนเรียนแต่ละวิชาใช้เวลาหนึ่งก้านธูปพอ จากนั้นก็ให้เด็กๆ ออกไปเล่นกันครึ่งก้านธูป”
อาจารย์พานกับอาจารย์ซือได้ยินก็คิดจะพูดอะไร แต่เห็นสีหน้ายืนยันของลู่เจียวแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
ลู่เจียวเรียกเด็กๆ เข้ามา นอกจากเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ หันตงเซิ่งกับหันหนานเฟิงของตระกูลหันก็มากันครบ นอกจากเด็กสองคนนี้ ยังมีจ้าวอวี้หลัวกับหูหลิงเสวี่ย
เด็กแปดคนยืนเรียงกันในห้องโถงเรือนด้านหน้ามองลู่เจียวกับอาจารย์ทั้งสองท่านข้างกายนาง
ลู่เจียวแนะนำว่า “นี่คืออาจารย์พาน นี่คืออาจารย์ซือ วันหน้าอาจารย์ทั้งสองจะสอนพวกเจ้าเรียนรู้และเล่นร่วมกับข้า”
ลู่เจียวเพิ่งกล่าวจบ จ้าวอวี้หลัวก็กล่าวอย่างโอ้อวดว่า “อาจารย์พานกับอาจารย์ซือเป็นอาจารย์ของข้า”
ลู่เจียวมองจ้าวอวี้หลัวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวว่า “จ้าวอวี้หลัว วันหน้าผู้ใหญ่พูดจา เด็กห้ามพูดแทรก อีกอย่าง วันหน้าอาจารย์พานกับอาจารย์ซือเป็นอาจารย์ของทุกคน ไม่ใช่ของเจ้า”
จ้าวอวี้หลัวได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็คิดโต้ แต่นางรู้ว่าท่านน้าลู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่ใช่คนที่พอนางร้องไห้ก็จะโอ๋นาง จ้าวอวี้หลัวเบะปากไม่พูดอะไรต่ออีก
ลู่เจียวมองเด็กทั้งแปดคน กล่าวว่า “วันหน้าครึ่งเช้า ให้อาจารย์พานสอนพวกเจ้าเรียนและเล่น ตอนบ่ายแม่กับอาจารย์ซือมาสอนพวกเจ้า”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่นำตอบรับพร้อมเพรียง “ทราบแล้ว ท่านแม่”
ลู่เจียวยิ้มมองเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ กล่าวต่ออีกว่า “วันหน้าตอนเรียนห้ามคุยกัน ต้องฟังอาจารย์ ห้ามด่าคน ห้ามก่อเรื่อง”
ลู่เจียวกล่าวถึงตรงนี้ มองไปยังสองพี่น้องตระกูลหัน
ในสองพี่น้องคู่นี้ หันตงเซิ่งอายุมากกว่า เอาแต่ทำหน้าบึ้งท่าทางไม่พอใจ เมื่อวานเขากลับไปถูกท่านพ่อตี วันนี้ยังเจ็บก้น ดังนั้นจึงไม่กล้าด่าคน
หันหนานเฟิงคนเล็กอายุยังน้อย เห็นพี่ชายพี่สาวรอบๆ ก็ตื่นเต้นมาก คิดถึงไม้ลื่นด้านนอกอีก เจ้าหนูน้อยดีใจจนลืมสิ่งที่พี่ชายตนเองกำชับไว้ก่อนหน้านี้
ลู่เจียวจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็มอบเวลาให้อาจารย์พาน ให้อาจารย์พานสอนวิชารอบเช้าเด็กๆ
ส่วนนางก็พาเฝิงจือ ลู่กุ้ยกับอาจารย์ซือออกไป
ลู่เจียวออกมาแล้วก็กำชับเฝิงจือให้พาอาจารย์ซือไปพักผ่อนที่ห้อง ส่วนนางว่าจะไปหอยาเป่าเหอดูสักหน่อยว่าจ้าวหลิงเฟิงซื้อที่ดินพันหมู่ไปถึงไหนแล้ว
คิดไม่ถึงว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับมา เห็นลู่เจียวก็รีบถามอย่างห่วงใย “จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ อาจารย์ทั้งสองท่านเป็นอย่างไรบ้าง พอได้ไหม หากไม่ได้ ข้าค่อยหาคนอื่น”
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์ทั้งสองนิสัยไม่เคร่งครัดมาก และพูดจาสนุกสนาน เหมาะกับการสอนเด็กๆ มาก ดูท่าจ้าวหลิงเฟิงทุ่มเทเวลาเลือกให้บุตรสาวไม่น้อย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็โล่งอก เรื่องของเด็กๆ จัดการเรียบร้อย เขากับลู่เจียวก็วางใจไปจัดการเรื่องอื่นได้
“งั้นก็ดี”