จู้เป่าจูกับถานเสี่ยวยาและหลิ่วไหลตี้สามคน หารือกันว่าพรุ่งนี้ไปเป็นแขกที่ตระกูลเซี่ย
แต่หลิ่วไหลตี้ปฏิเสธ “ไม่ดีกว่า พรุ่งนี้มีงานต้องทำ ไม่ไปดีกว่า”
จู้เป่าจูมองหลิ่วไหลตี้ไม่พอใจกล่าวว่า “เจ้าก็ไม่ได้เอาลูกมาเลี้ยง ทำไมชอบทำตัวไม่สดชื่นอย่างนี้”
หลิ่วไหลตี้ยิ้มเศร้า โบกมือกล่าวว่า “ข้าจะกลับไปเตรียมอาหารเย็น”
จู้เป่าจูมองถานเสี่ยวยากล่าวว่า “พรุ่งนี้พวกเราไปด้วยกัน”
ถานเสี่ยวยาเองก็ชอบลู่เจียว ไม่เพียงแต่หน้าตาดี ยังเป็นวิชาแพทย์ และไม่วางท่าทางใหญ่โตอะไร ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกอึดอัดเหมือนเผชิญหน้ากับเหนี่ยงจื่อคนอื่นๆ
“ได้ พรุ่งนี้พวกเราไปด้วยกัน”
ทั้งสองคนกล่าวจบก็แยกกันขึ้นรถม้ากลับบ้าน
ทุกคนจากไปแล้ว อาจารย์ใหญ่หลูพาคนรับใช้เร่งกลับมาถึง พอกลับมาก็ไปที่ห้องเซี่ยเหนียงจื่อ
“ได้ยินว่านังหนูตระกูลตู้มาก่อเรื่องหรือ”
เซี่ยเหนียงจื่อบ่นอย่างปวดหัวกล่าวว่า “ใช่ รู้อย่างนี้ไม่เชิญภรรยาเซี่ยอวิ๋นจิ่นดีกว่า เพราะนางแท้ๆ ทำให้นังหนูตระกูลตู้มาโดนงูพิษกัดที่บ้านเราได้ ข้ากำลังปวดหัวว่าจะให้คำตอบตระกูลตู้อย่างไรดีอยู่เลย”
อาจารย์ใหญ่หลูได้ฟังเซี่ยเหนียงจื่อก็ปวดหัว แต่สักพักก็เหมือนคิดอะไรได้ หันไปมองเซี่ยเหนียงจื่อ
“เจ้าคงไม่ได้ตำหนิภรรยาอวิ๋นจิ่นกระมัง”
เซี่ยเหนียงจื่อส่ายหน้าอึกอัก “เปล่า ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น”
แต่พออาจารย์ใหญ่หลูเห็นสีหน้าเซี่ยเหนียงจื่อ ก็รุกถามต่อ “เจ้าชักสีหน้าใส่นางไปหรือ”
เซี่ยเหนียงจื่อเงียบไม่ตอบ อาจารย์ใหญ่หลูไหนเลยจะไม่เข้าใจ ภรรยาตนเองชักสีหน้าใส่ลู่เจียวแล้ว
สีหน้าเขาดูแย่ลงทันที มองภรรยาตนกล่าวว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหม ต้องสานสัมพันธ์กับภรรยาอวิ๋นจิ่นให้ดี ทำไมไม่ฟัง”
เดิมเซี่ยเหนียงจื่อกำลังเป็นห่วงเรื่องตู้หลันจู ไม่รู้ว่าจะให้คำตอบตระกูลตู้อย่างไร
ปรากฏท่านพี่ตนยังโทษนาง เซี่ยเหนียงจื่อก็โมโหไม่พอใจจ้องหน้าอาจารย์ใหญ่หลูกล่าวว่า “ก็แค่ภรรยาซิ่วไฉไหม ต้องถึงขั้นนี้เชียวหรือ ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยบอกท่านแล้ว หญิงผู้นี้อาจทำให้เกิดเรื่องได้ง่าย พวกเราอย่าเพิ่งเชิญนางมา แต่ท่านก็เอาแต่ให้ข้าเชิญ ดีเลย เชิญมาแล้ว ตอนนี้เกิดเรื่องแล้ว ท่านลองไปคิดดูเองว่าจะรับมือตระกูลตู้อย่างไร ยังมามาโทษว่าข้าชักสีหน้าใส่นางอีก”
“ข้าชักสีหน้าใส่นางแล้วอย่างไร ทำไม หากไม่ใช่นาง ตู้หลันจูจะบุกมาตระกูลหลูเราหรือ จะถูกงูพิษกัดหรือ”
อาจารย์ใหญ่หลูสีหน้าคับแค้นใจ กล่าวว่า “ทำไมเจ้าพูดไม่รู้เรื่องนะ ไม่ต้องกล่าวถึงสถานะนางที่เป็นภรรยาเซี่ยอวิ๋นจิ่น แค่ความสามารถทางการแพทย์นางเอง วันหน้าไม่แน่ว่าบ้านเราอาจเกิดเรื่อง…”
อาจารย์ใหญ่หลูยังไม่ทันกล่าวจบ เซี่ยเหนียงจื่อก็ส่งเสียงดังขึ้นอย่างไม่พอใจ “ทำไมท่านไม่มองเรื่องในบ้านเราให้มงคลหน่อย อยู่ดีๆ มาแช่งคนในบ้าน”
อาจารย์ใหญ่หลูรู้สึกว่าคำพูดตนเองก่อนหน้านี้ไม่เป็นมงคล ก็รีบเม้มปากนิ่ง เขาพลันคิดได้ว่าลู่เหนียงจื่อเป็นวิชาแพทย์ ในเมื่อลู่เหนียงจื่อเป็นวิชาแพทย์ ทำไมตอนนั้นไม่รักษาให้ตู้หลันจู
“ลู่เหนียงจื่อเป็นวิชาแพทย์ ทำไมไม่ให้นางรักษาให้ตู้เหนียงจื่อ”
“ข้าเชิญนางแล้ว นางก็ยอมแล้ว ยังว่าไม่รีบรักษาจะพิการ น่าเสียดายตู้เหนียงจื่อไม่ยอม ไม่เชื่อนาง ยืนยันจะให้ส่งไปโรงหมอ ปรากฏว่ารักษาชีวิตไว้ได้ แต่ปากเบี้ยวพูดไม่ได้ หมอยังว่าวันหน้าเกรงว่ายังมีอาการอัมพาตหลังค่อมเพราะพิษงู”
อาจารย์ใหญ่หลูอดถอนหายใจไม่ได้ กล่าวว่า “ทุกอย่างล้วนเป็นโชคชะตากำหนด ลู่เหนียงจื่อถอนพิษงูให้นางได้ นางย่อมถอนพิษงูแล้วไม่ทิ้งอาการหลังโดนพิษแม้แต่น้อย”
อาจารย์ใหญ่หลูเพิ่งกล่าวจบ เซี่ยเหนียงจื่อก็เอ่ยว่า “งั้นพวกเราไปขอให้นางไปรักษาให้ตู้หลันจู”
เช่นนี้ก็นับว่ามีคำตอบให้ตระกูลตู้แล้ว
อาจารย์ใหญ่หลูหันไปมองเซี่ยเหนียงจื่อ แววตาเห็นชัดว่าเจ้ากล้าเอ่ยปากขอให้คนเขาช่วยได้หรือ
เซี่ยเหนียงจื่อโมโหจนปวดกระเพาะ โบกมือกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจแล้วๆ ท่านไปให้คำตอบตระกูลตู้เองแล้วกัน”
ตอนนี้กลายเป็นอาจารย์ใหญ่หลูปวดหัวแทนแล้ว
ณ ตระกูลเซี่ย ลู่เจียวกลับมาก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนด้านหลัง วันนี้ตอนบ่ายนางเตรียมจะเล่นละครกับเด็กๆ เมื่อวานตอนกลางคืนนางเขียนบทเสร็จแล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับการลักพาตัวเด็ก
พวกลูกทั้งสี่รู้ว่าจะได้เล่นละครกับลู่เจียวก็ดีใจมาก มีเพียงหันตงเซิ่งที่มีท่าทีไม่ให้ความร่วมมือ
ลู่เจียวเห็นเขาเช่นนี้ก็รีบกล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าหันตงเซิ่งอาจไม่อยากเล่นละครกับข้า งั้นเขาก็ไม่ต้องเล่น ไปยืนดูข้างๆ แล้วกัน”
หันตงเซิ่งคิดไม่ถึงว่าลู่เจียวถึงกับกล่าวเช่นนี้ ก็พลันอึ้งไปทันที
หันหนานเฟิงมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ วิ่งไปหาพี่ชาย “ท่านพี่ ท่านไม่อยากเล่นหรือ ข้าได้ยินพี่ต้าเป่าว่าสนุกมากนะ”
หันตงเซิ่งได้ยินน้องชายเรียกพี่ต้าเป่า ก็โมโหขึ้นมา ตวัดสายตาจ้องน้องชายตนเอง บอกเขาแล้วใช่ไหม ทำไมไม่รู้จักจำ
หันหนานเฟิงมีสีหน้าไม่เข้าใจถามว่า “ท่านพี่ ตาท่านเจ็บหรือ ไม่สบาย?”
หันตงเซิ่งโมโหจนพูดไม่ออก เงยหน้ามองฟ้าทำท่าทางเหมือนว่าข้าไม่รู้จะพูดกับเจ้างั่งอย่างเจ้าอย่างไรดีแล้ว
ในห้องลู่เจียวเริ่มแบ่งบทให้เด็กแต่ละคนเป็นเด็กที่ถูกลักพาตัว แต่ละคนออกฉากมาทีละคน
ลู่เจียวก็คือโจรลักพาตัวที่กำลังยิ้มตาหยี วันนี้นางแต่งตัวแต่งหน้าทำผมเพื่อให้เข้ากับบทบาท แค่ไม่ได้เปลี่ยนเป็นเสื้อบุฝ้ายลายดอกแดงแสบตาเท่านั้น
“เด็กๆ ท่านน้าเลี้ยงลูกอมเจ้าดีไหม”
ซื่อเป่ายังไม่ทันได้พูด จ้าวอวี้หลัวที่ดูอยู่ก็พูดขึ้นว่า “ข้าไม่กินลูกอมคนไม่รู้จัก ท่านพ่อบอกว่าเป็นพวกต้มตุ๋น”
ซื่อเป่าโมโหหันไปถลึงตาใส่จ้าวอวี้หลัว “นั่นเป็นบทของข้า”
ลู่เจียวเองก็เงยหน้ามองเตือนจ้าวอวี้หลัว “หากเจ้าพูดผิดบทอีก วันนี้ยกเลิกการแสดงของเจ้า”
จ้าวอวี้หลัวรีบยกมืออุดปากทันที หูหลิงเสวี่ยกระซิบว่า “อีกสักครู่ท่านน้าจะเรียกพวกเราแต่ละคนออกไปแสดง เจ้าก็ใจเย็นๆ”
จ้าวอวี้หลัวค้อนใส่หูหลิงเสวี่ย “มีแต่เจ้าที่เป็นคนดี ฮึ”
ลู่เจียวไม่ได้สนใจจ้าวอวี้หลัว มองซื่อเป่า ล่อลวงว่า “หนูน้อย เจ้ารู้ไหมว่าบ้านมือปราบจ้าวอยู่ไหน ข้ามีเรื่องมาหามือปราบจ้าว”
ซื่อเป่ารีบกล่าวว่า “ข้ารู้ บ้านเขาอยู่ข้างบ้านเรา”
กล่าวจบยังชี้มือไป
ลู่เจียวรีบยิ้มมองซื่อเป่ากล่าวว่า “หนูน้อย รบกวนเจ้าพาข้าไปหน่อย”
ซื่อเป่ารีบยิ้มดีใจกล่าวว่า “ได้เลย ท่านแม่”
ต้าเป่าด้านหลังเตือนเขาอย่างเสียอารมณ์ว่า “ตอนนี้ท่านแม่ไม่ใช่ท่านแม่ นางแสดงเป็นโจรลักพาเด็ก เจ้าต้องจำไว้ว่าตอนนี้ท่านแม่คือโจรลักพาตัวเด็ก”
ซื่อเป่าสะอึกทันที รีบเปลี่ยนวิธีคิด
การแสดงในห้องยังคงดำเนินต่อไป
นอกห้องเฝิงจือหันหลังเดินออกนอกประตูไป วันนี้ภรรยาถูกรังแกที่บ้านอาจารย์ใหญ่หลู ด้วยนิสัยเหนียงจื่อ ไม่แน่อาจไม่บอกคุณชาย วันหน้าภรรยาอาจารย์ใหญ่หลูอาจจะเชิญเหนียงจื่ออีก ดังนั้นนางต้องบอกคุณชาย
เฝิงจือรออยู่นอกประตูได้ครู่หนึ่ง เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็กลับมาดังคาด
บ้านที่เขาเช่าไว้อยู่ห่างจากบ้านตระกูลเซี่ยไปสามสี่หลัง ดังนั้นย่อมได้ยินว่ากลับมาแล้ว
พอเฝิงจือเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็รีบฟ้องว่า “คุณชาย วันนี้เหนียงจื่อถูกรังแกที่บ้านอาจารย์ใหญ่หลูแล้ว”