ลู่เจียวคิ้วกระตุก มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างระแวดระวัง เจ้าหมอนี่คงไม่สงสัยอะไรกระมัง
ปรากฏว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้มีสีหน้าสงสัยเลยสักนิด เขาถามต้าเป่าอย่างสนใจว่า “ตัวเลขอะไร”
ต้าเป่าใช้ตะเกียบจุ่มน้ำแกงเขียนตัวเลขสองสามตัวลงบนโต๊ะอาหาร ลู่เจียวยังไม่ได้สอนลูกๆ เขียนตัวเลขพวกนี้ ต้าเป่ากลับอาศัยความจำ เขียนหลายตัวเบี้ยวไปเบี้ยวมาได้เอง
“ท่านแม่ว่านี่คือ 0 ถึง 10”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นแค่มองก็รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่พวกลู่เจียวเรียนมาจากที่แห่งนั้น แต่มองดูตัวเลขพวกนี้แล้ว เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็แปลกใจมาก แต่ไรมาเขาไม่เคยเห็นการคำนวณด้วยตัวเลขเช่นนี้ นี่มันอะไรกัน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพลันไม่เข้าใจ ลู่เจียวข้างๆ อธิบายว่า “นี่คือวิธีการจดตัวเลขที่ข้าคิดใหม่ขึ้นมา สะดวกมาก”
สีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่แปรเปลี่ยน เงยหน้ายิ้มมองลู่เจียวกล่าวว่า “งั้นไว้ข้าเรียนด้วยได้ไหม เช่นนี้ก็จะเป็นประโยชน์ในการจดตัวเลขในวันหน้า”
ลู่เจียวเห็นเขาไม่ได้สงสัยก็วางใจ พยักหน้ากล่าวว่า “ได้ เจ้าจะเรียนก็เรียนสิ”
ลู่กุ้ยกินข้าวอยู่ข้างๆ เห็นพี่เขยจะเรียนตัวเลขอะไรกับพี่สาวตนเองด้วย ก็อดขำพรืดออกมาไม่ได้
ลู่เจียวรีบหันไปมองลู่กุ้ยกล่าวว่า “ไว้ว่างๆ เจ้าก็มาให้ต้าเป่าสอนเจ้าหน่อย เรียนมากอีกหน่อยมีประโยชน์ ”
ลู่กุ้ยคิดจะค้าน เขาไม่ได้รู้สึกสนใจกับอะไรพวกนี้เลย
แต่ลู่กุ้ยไม่ทันได้พูดอะไร นอกประตู เฝิงจือถือเทียบเชิญเข้ามารายงาน
“คุณชาย เหนียงจื่อ ที่หน้าประตูมีคนส่งเทียบเชิญมาให้เหนียงจื่อ บ่าวรับมาให้เหนียงจื่อ”
ลู่เจียวพอได้ฟังว่าเป็นเทียบเชิญ ก็คิดถึงเรื่องที่เกิดในงานเลี้ยงครบเดือนของหลานชายคนโตตระกูลหูขึ้นมา
ในใจนางเหมือนมีเงาดำมืดกับงานเลี้ยงพวกนี้จริงๆ
“ผู้ใดส่งมา”
ตามหลักแล้ว นางเพิ่งมาอำเภอชิงเหอไม่กี่วัน น่าจะรู้จักคนแค่ไม่กี่คน ผู้ใดจะส่งเทียบเชิญนางกัน
เฝิงจือรีบเปิดเทียบเชิญออกอ่านดูแล้วก็รายงานว่า เซี่ยเหนียงจื่อภรรยาอาจารย์ใหญ่หลูแห่งสำนักศึกษาอำเภอชิงเหอ เชิญเหนียงจื่อไปงานเลี้ยงบ้านอาจารย์ใหญ่หลูตอนเที่ยงพรุ่งนี้ นางว่าเชิญบรรดาเหนียงจื่อของเหล่านักเรียนในสำนักศึกษาประจำอำเภอมาด้วย”
เฝิงจือรายงานจบ ลู่เจียวก็คิดได้ว่าครั้งก่อนได้เคยพบเซี่ยเหนียงจื่อ ภรรยาอาจารย์ใหญ่ เซี่ยเหนียงจื่อพูดจาอ่อนโยนมีการศึกษา แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนร่ำเรียนหนังสือมา ตามหลักแล้ว คนที่นางเชิญก็คงไม่ถึงกับเป็นคนจิตใจไม่ดี
ลู่เจียวคิดไปพลางมองไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่น ถามว่า “ข้าต้องไปไหม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดแล้วก็กล่าวว่า “ปกติเซี่ยเหนียงจื่อจัดงานเช่นนี้ จุดประสงค์ก็เพื่อสานสัมพันธ์เส้นสายในวันหน้ามากอีกหน่อย หากเจ้าไม่อยากไป ไม่ต้องไปก็ได้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่คิดฝืนใจลู่เจียว ลู่เจียวคิดแล้วก็กล่าวว่า “เอาเถอะ ไปก็ได้ คนเขาส่งเทียบเชิญมา หากข้าไม่ไป ผู้อื่นย่อมว่าข้าหยิ่งยโส”
นับประสาอันใดกับวันหน้างานเลี้ยงเช่นนี้เกรงว่าจะมีไม่น้อย แม้นางไม่อยู่กับเซี่ยอวิ๋นจิ่นแล้ว พอนางเป็นหมอ ทำการค้า ก็ย่อมต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ ดังนั้นก็ไปสักครั้งแล้วกัน
“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ตอนเที่ยงข้าจะไป”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่วางใจ ถามว่า “ต้องให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าไหม”
ลู่เจียวรีบยิ้มพลางส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่เป็นไร เรื่องเล็กๆ แค่นี้ข้าพอมีความสามารถ นับประสาอันใดกับคนที่เซี่ยเหนียงจื่อเชิญมาก็ย่อมเป็นผู้ได้รับการศึกษา คงไม่ถึงกับเกิดเรื่องแบบตระกูลหูครั้งก่อน”
ลู่เจียวกล่าวจบ เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็พยักหน้าเล็กน้อย ภรรยาอาจารย์ใหญ่จัดงานเลี้ยงทุกครั้งก็เชิญเพียงแค่ไม่กี่คน คงไม่มีเรื่องอะไร
เซี่ยเหนียงจื่อจัดงานเลี้ยงเชิญคนทั้งหมดเจ็ดแปดคน ในนั้นหลายคนล้วนรู้จักลู่เจียว
จู้เป่าจู ภรรยาเจิ้งจื้อซิ่ง ถานเสี่ยวยา ภรรยาตู้อี้ หลิ่วไหลตี้ ภรรยาหลัวซินซื่อ ที่เหลือลู่เจียวไม่รู้จัก
แต่ในนั้นมีสตรีในชุดแดงแลดูสะดุดตามากอยู่ผู้หนึ่ง
สตรีในชุดแดงไม่เพียงแต่แต่งกายหรูหรางดงาม ท่วงท่ากิริยาก็ดูไม่เกรงใจ รู้สึกเหมือนอยากทำอะไรก็ทำ
จู้เป่าจูข้างๆ ลู่เจียวเขยิบเข้ามาใกล้กระซิบข้างหูลู่เจียวว่า “เห็นสตรีชุดแดงตรงข้ามนั่นไหม นางก็คือจางปี้เยียน ภรรยาหลี่เหวินปิน”
ลู่เจียวมีสีหน้าตกใจ หันไปมองจู้เป่าจู “จริงหรือเท็จกัน”
นางรู้จักหลี่เหวินปิน ดูแล้วเป็นคนซื่อมาก ทำไมภรรยาเขาดูไม่มีทีท่าเกรงใจเช่นนี้ ดูเสื้อผ้าและเครื่องประดับนาง ท่าทางกิริยาอาการของนาง น่าจะเป็นคนมีเงิน นางเช่นนี้ทำไมแต่งกับหลี่เหวินปินที่เป็นผู้ชายแสนซื่อได้
ลู่เจียวยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าคาดไม่ถึง จู้เป่าจูเล่าเรื่องซุบซิบให้นางฟังทันที
“สี่ตระกูลใหญ่อำเภอชิงเหอ จาง เหลียง เฉา วัง เจ้ารู้ใช่ไหม หญิงผู้นี้ก็คือคุณหนูใหญ่ตระกูลจาง จางปี้เยียน นางไม่ได้แต่งให้หลี่เหวินปิน แต่รับหลี่เหวินปินเข้ามาเป็นเขยของตระกูลจาง”
ลู่เจียวคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ แม้รับหลี่เหวินปินเข้ามา หลี่เหวินปินก็น่าจะมีเงินทอง ทำไมไม่แต่งกายเหมือนนางเช่นนี้ นางคิดเสมอว่าหลี่เหวินปินเป็นคนมาจากครอบครัวยากจน ที่บ้านยากจน ดังนั้นจึงได้แต่งกายธรรมดาเช่นนั้น ปรากฏว่า เขาถึงกับแต่งกับบุตรสาวคหบดีอันดับหนึ่งในอำเภอชิงเหอ
ลู่เจียวหรี่เสียงเบาลงอีก กล่าวว่า “ข้าคิดว่าหลี่เหวินปินไม่มีเงิน”
กล่าวถึงตรงนี้ จู้เป่าจูก็เหมือนมีเรื่องเล่าต่อ “นั่นเพราะหลี่เหวินปินมีศักดิ์ศรีมากไง บอกว่าไม่ใช้เงินผู้หญิง ไม่ใช้ของบ้านพ่อตา ยอมสวมเสื้อผ้าขาดเก่ากินอาหารธรรมดา”
ลู่เจียวเบะปาก ไม่รู้ว่าพูดอะไรดี ในเมื่อไม่ยินยอมใช้เงินผู้หญิง ไม่ใช้ของบ้านพ่อตา แล้วตอนนั้นแต่งเข้าตระกูลจางทำไม นึกสนุกหรือ
ลู่เจียวกำลังคิดอยู่ จู้เป่าจูกระซิบอีกว่า “ตอนนั้นเขายอมแต่งเข้าเป็นเขยตระกูลจาง ได้ยินว่ามารดาเขาป่วย ไม่มีเงินรักษา ดังนั้นจึงได้แต่ยินยอมแต่งเข้าเป็นเขยตระกูลจาง ต่อมาตระกูลจางก็ให้เงินรักษาอาการป่วยมารดาเขาจนหายจริง เขาก็ย่อมทำตามสัญญาแต่งเข้าเป็นเขยตระกูลจาง”
ลู่เจียวหันไปมองสตรีในชุดแดงตรงหน้า จางปี้เยียน
จางปี้เยียนเงยหน้ามองมาเห็นลู่เจียวพอดี นางยิ้มพยักหน้าให้เล็กน้อย นับว่าเป็นการทักทายแล้ว
ลู่เจียวได้แต่พยักหน้ารับ มองออกว่าหลี่เหวินปินอบรมอะไรผู้หญิงเช่นจางปี้เยียนไม่ได้
ในเรือนบุปผา แม้ว่ามีแค่เจ็ดแปดคน แต่กลับแบ่งออกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งคือภรรยาจากตระกูลยากจน มีลู่เจียวเป็นหัวหน้า ฝ่ายหนึ่งคือภรรยาจากตระกูลร่ำรวย มีจางปี้เยียนเป็นหัวหน้า คนทางฝั่งนี้เห็นชัดว่าไม่พอใจคนทางฝั่งนั้น แต่อยู่ในฐานะภรรยาบัณฑิต แม้ไม่พอใจ ก็ไม่อาจพูดอะไรมากได้
จนกระทั่งเซี่ยเหนียงจื่อภรรยาอาจารย์ใหญ่มาถึง “ต้อนรับทุกท่านบกพร่องแล้ว ขอทุกท่านอย่าได้ตำหนิ”
หลายคนรีบกล่าวกับเซี่ยเหนียงจื่อว่า “อาจารย์แม่เกรงใจไปแล้ว ท่านเชิญพวกเรามากินของอร่อย พวกเราจะตำหนิท่านได้อย่างไร”
“ใช่ อาจารย์แม่ รีบนั่งลงพักก่อน”
“ข้ารู้อาจารย์แม่ไปทำขนมดอกกุ้ยมาให้พวกเราโดยเฉพาะ”
“ขนมดอกกุ้ยของอาจารย์แม่ยอดเยี่ยมที่สุด”
ทุกคนพากันพูดจากันมากมายประดามี ดูท่าคนพวกนี้ไม่ใช่มาร่วมงานเลี้ยงบ้านเซี่ยเหนียงจื่อครั้งแรก