สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 26 ท่านป้า

บทที่ 26 ท่านป้า

ปากของแม่สามีบ้านนางไม่มีหูรูด เถียงกันมาตั้งนาน แค่โดนคนเขาหลอกให้พูดความจริงแค่นี้ สิ่งที่ควรพูดไม่ควรพูดล้วนพูดออกมาหมดรวดเดียว 

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ความลับของตระกูลกู้ได้โดนแม่สามีเปิดโปงมาหมดแน่ 

สะใภ้ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน ต่างตัดสินใจกันอยู่เงียบๆ ไม่อาจให้พวกนางทะเลาะกันต่อได้ ต้องรีบลากแม่สามีกลับไป 

“ท่านแม่! พวกเราไม่มาเปิดหูเปิดตาเรียนรู้กับคนธรรมดาๆ หรอก! พวกเรากลับกันก่อนดีกว่า!” แม่นางโจวเดินไปหา ลากแขนแม่นางอู๋ไว้พลางเอ่ยขึ้น 

แม่นางหลิวก็เดินไปหาแล้วลากแขนอีกข้างของแม่นางอู๋ไว้เช่นกัน “ใช่เจ้าค่ะท่านแม่ พวกเราไม่มาโต้เถียงกับป้าบ้าๆ นี่หรอก!” 

หากตอนแรกพวกนางพูดเช่นนี้ บรรดาคนในหมู่บ้านอาจจะยังเชื่อกันอยู่ แต่ผ่านการทะเลาะด่าทอกันไปแล้ว แม่นางอู๋กับสะใภ้ทั้งสองต่างกลายเป็นคนขี้โมโหไปแล้ว หญิงชรากลับใจเย็นนิ่งสงบ ไม่ร้อนรุ่มใจเลยสักนิด  

หากจะเรียกป้าบ้าๆ กันจริงๆ เช่นนั้นก็คงต้องใช้เรียกแม่นางอู๋จึงจะถูก 

การแสดงออกของบรรดาคนในหมู่บ้านที่ดูเรื่องสนุกกระตุ้นให้แม่นางอู๋เดือดดาลอย่างสุดขีดแล้ว 

แม่นางอู๋ถลกแขนเสื้อขึ้น พ่นน้ำลายฉอดๆ ว่า “ยายแก่หนังเหนียว! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ข้าคือภรรยาของนายอากร!”  

“เฮอะ” หญิงชรากลอกตา “ข้าเป็นแม่ฮ่องเต้!” 

คนที่มุงดูต่างพากันหัวเราะยกใหญ่ 

หญิงชรานางนี้น่าสนใจไม่น้อย โต้กลับคนอื่นได้โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมใดสักนิด ไม่กลัวว่าจะลือออกไปแล้วจะโดนตัดหัวเอาบ้างเลย 

แม่นางอู๋เองเป็นคนอันธพาลไร้เหตุไร้ผลกลับเจอคนที่มีฝีมือเก่งกาจกว่าตัวเอง เถียงไม่ชนะ นางก็คิดจะลงมือมันไปเลย “วันนี้ข้าต้องไล่เจ้าออกจากหมู่บ้านให้ได้…” 

ยังพูดไม่ทันจบ หญิงชราก็สาดน้ำเย็นกะละมังหนึ่งใส่ ทำเอาแม่นางอู๋ตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น 

จากนั้น หญิงชราก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น หันหลังเดินเข้าห้องไป ม้านั่งก็ไม่เอาแล้ว กู้เสี่ยวซุ่นก็ไม่เอาแล้ว  

งับประตูปิดดังปัง ขัดดาลประตูเสร็จสรรพ! 

เผ่นไปเสียไว! 

ฝูงชนต่างหัวเราะกันจนท้องคัดท้องแข็งแล้ว 

เมื่อครู่หญิงชราวางมาดใหญ่โตไปทั่วทั้งบริเวณ พวกเขายังคิดว่านางจะแข็งชนแข็งกับแม่นางอู๋เสียอีก ที่แท้สมองก็ไม่ได้โดนยั่วให้เกิดโทสะจนเลอะเลือน รู้ว่าตัวเองสู้พวกแม่นางอู๋ทั้งสามคนไม่ได้ ทำให้แม่นางอู๋นิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกก่อน จากนั้นค่อยอาศัยโอกาสปิดประตูให้แม่นางอู๋และลูกสะใภ้อยู่ด้านนอก! 

แม่นางอู๋เคยคับแค้นใจเช่นนี้ที่ไหน นางหาก้อนหินจากพื้นขึ้นมาก้อนหนึ่ง พุ่งไปที่ประตูหมายจะทุบ 

แต่ก้อนหินยังไม่ทันได้ทุบบานประตู กลับมีเคียวอันเจิดจ้าลอยมาพร้อมกับเสียงแหวกอากาศกระแทกเข้าบานประตูอย่างจัง! 

แม่นางอู๋ตระหนกตกใจ มือที่อุ้มก้อนหินไว้พลันชะงักค้าง 

เคียวนี้หากเบี่ยงเอนอีกครึ่งชุ่น[1]คงได้เฉาะเข้ามือนางแน่แล้ว 

แม่นางอู๋ตกใจเผลอปล่อยมือ ก้อนหินตกลงสู่พื้น กระแทกโดนเท้าตัวเอง 

“โอ๊ย” แม่นางอู๋ร้องขึ้น 

ก้อนหินที่ใช้ทุบประตูก้อนเล็กๆ ได้หรือ นางจงใจเลือกก้อนที่ใหญ่ที่สุดเป็นพิเศษเลย! ก้อนหินก้อนใหญ่ขนาดนี้กระแทกเท้าเข้า แม่นางอู๋เจ็บเสียจนน้ำตาแทบไหล! 

เคียวเล่มนั้นพุ่งมารวดเร็วนัก เท้าแม่นางอู๋ก็โดนกระแทกเร็วยิ่ง เหตุการณ์แต่ละอย่างนี้ ฝูงชนมองกันแทบไม่ทัน 

ต้องรู้ก่อนว่าในหมู่บ้านนี้นานมากแล้วที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใหญ่โตถึงเพียงนี้ 

ผู้คนพากันหันกลับไปมอง เห็นกู้เจียวเดินมาเบื้องหน้าอย่างสงบนิ่งไม่แยแส 

นางแบกตะกร้าไว้ด้านหลังใบหนึ่ง ร่างผอมบาง ดูๆ แล้วไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ ทว่าแววตาเย็นเยียบนั้นเผยไอสังหารออกมาอย่างไร้สาเหตุ ผู้คนต่างหดคอกันอย่างอดไม่ได้ หลีกทางให้นางกันพร้อมเพรียง 

สวรรค์รู้เห็นนางโยนเคียวเล่มนั้นออกไปอย่างไร เกิดไม่ได้โยนโดนประตู จะไม่โยนไปโดนหัวใครเขาเข้าหรือ 

พอคิดเช่นนี้ ท้ายทอยของทุกคนก็พลันเย็นวาบอย่างอดไม่ได้… 

แม่นางหลิวมีปฏิกิริยาขึ้นมาก่อนคนแรก ตำหนิว่า “เจียวเหนียงเจ้ากลับมาพอดีเลย! รีบให้ป้าบ้านั่นเปิดประตูเร็วเข้า! ดูนางทำย่าเจ้าสิ!” 

“เหอะ” กู้เจียวหัวเราะเสียงเย็น “คนเฒ่าคนแก่สายตาไม่ดี ท่านป้ารองอายุยังน้อยตาก็บอดไปด้วยแล้วหรือ ก้อนหินนี้ใครยกมา แล้วใครเป็นคนจับมันกระแทกเท้านาง ในใจเจ้าไม่รู้หรอกหรือ” 

ประโยคนี้เอ่ยขึ้น แม่นางหลิวก็มึนงงทันใด 

ดะ…เด็กนี่เหตุใดจึงด่าคนเก่งนัก 

หากตอนแรกกล่าวหาว่านางลากดึงกู้ต้าซุ่น เตะกู้เอ้อซุ่นล้วนเป็นแค่การสับสนงี่เง่า เช่นนั้นด่านางกับแม่นางอู๋ว่าตาบอดต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ก็คือการแตกหักกับตระกูลกู้โดยสมบูรณ์แล้ว 

“เด็กหน้าเหม็นนี่! กล้าด่าย่าเจ้าหรือ” แม่นางอู๋ถลกแขนเสื้อหมายจะเข้าไปหา แต่เพิ่งจะก้าวไปได้แค่ก้าวเดียวก็เจ็บจนแทบล้มลงกับพื้น 

แม่นางโจวรีบไปพยุงแม่สามีตัวเอง “ท่านแม่ ระวังหน่อยเจ้าค่ะ!” 

แม่นางอู๋ทั้งเจ็บทั้งโมโห ชี้หน้ากู้เจียวพลางด่าทอว่า “เดรัจฉาน! เหตุใดไม่ให้เจ้าจมน้ำตายไปเสียแต่ตอนนั้นกันนะ!” 

ในขณะนั้นเอง เซียวลิ่วหลังก็เดินเข้ามา 

หมู่นี้เซียวลิ่วหลังกับกู้เจียวไปไหนมาไหนด้วยกัน คนในหมู่บ้านต่างลือกันว่าทั้งสองคืนดีกันแล้ว แต่ตัวเขาเองไม่เคยตอบรับออกหน้ามาก่อน ดังนั้นจึงยังมีคนไม่น้อยที่เดาว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงรักข้างเดียวของปัญญาอ่อนสกุลกู้ 

“ลิ่วหลังเอ๋ย ดูเรื่องดีๆ ที่ป้าเจ้ากับกู้เจียวทำสิ ย่าเจ้าอายุอานามมากเพียงนี้…” แม่นางโจวต่อว่าเซียวลิ่วหลัง 

ไม่นึกเลยว่านางยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเซียวลิ่วหลังเอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ในเมื่ออายุมากแล้วก็อย่าออกมาก่อเรื่องไปทั่ว” 

แม่นางโจวสงสัยว่าตัวเองหูฝาด! 

“เจ้ามีธุระหรือไม่” เซียวลิ่วหลังเดินไปถามข้างกายกู้เจียว 

“ไม่มี” กู้เจียวส่ายหน้า ดึงเคียวออกจากบานประตู 

เซียวลิ่วหลังพูดกับประตูว่า “ท่านป้า พวกเรากลับมาแล้ว” 

ประตูเปิดออกเสียงเอี๊ยดอ๊าด 

เซียวลิ่วหลังกับกู้เจียวเดินเข้าไป 

ฝูงชนสบตากัน เมื่อครู่พวกเขาไม่ได้ตาฝาดกระมัง เซียวลิ่วหลังพูดจากับปัญญาอ่อนกู้แล้ว ทั้งยังถามนางว่ามีธุระหรือไม่ด้วย พวกเขาสองคนคืนดีกันแล้วจริงๆ อย่างนั้นรึ 

เซียวลิ่วหลังเข้าห้องไปก็ปิดประตูทันที แต่กลับไม่ได้ปิดแน่นสนิท สามารถได้ยินเสียงพูดคุยเนิบช้าของเขา “ต่อไปหากเจอเรื่องแบบนี้อีกก็แจ้งทางการเสีย ข้าจะไปศาลาว่าการเขียนคำร้องด้วยตัวเอง” 

ประโยคนี้ดังขึ้น พวกแม่นางอู๋ทั้งสามคนเดิมทีคิดจะพุ่งเข้าไปก็ชะงักค้างทันที 

เรื่องเช่นนี้สามารถแจ้งทางการได้หรือ เซียวลิ่วหลังพูดเสียหนักแน่นมีเหตุมีผล นะ…น่าจะแจ้งทางการได้กระมัง 

ที่แท้จิตใจของเจ้าเป๋นี่ก็อำมหิตเพียงนี้เลย! 

“ท่านแม่ ของของบ้านเจ้าสาม…” แม่นางโจวเอ่ยเตือนเสียงเบา 

การแยกบ้านในตอนแรกมีลับลมคมในจริง ที่นาของเจ้าสามกับสินเดิมของภรรยาเจ้าสามล้วนโดนพวกนางริบเอาไปหมด หากเรื่องใหญ่โตไปถึงศาลจริงเกรงว่าจะโดนตรวจสอบเจอ 

แม่นางอู๋กัดฟัน เดินหนีไปกับสะใภ้ทั้งสองลิ่วๆ 

เมื่อผู้เกี่ยวข้องทุกคนไปกันหมดแล้ว คนที่มาดูเรื่องสนุกก็ต่างแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน 

กู้เอ้อซุ่นก็กลับไปแล้ว มีเพียงกู้เสี่ยวซุ่นที่เดินอ้อมหมู่บ้านรอบหนึ่งแล้วตรงเข้าไปที่บ้านพี่สาวกับพี่เขยเขา 

กู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องโถง หญิงชรานั่งอยู่บนม้านั่งฝั่งตรงข้ามทั้งคู่ ยังคงไขว่ห้างแทะเมล็ดทานตะวัน ไม่มีจิตสำนึกที่ควรจะอธิบายถึงการสร้างปัญหาของตัวเองเลยสักนิด 

ทำอะไรก็ไม่เป็น ถามอะไรก็ไม่รู้ ปฏิกิริยายังทื่อๆ อีก กู้เจียวคิดว่านางเป็นคนแก่ความจำเสื่อมจริงๆ  

แต่เมื่อครู่โต้เถียงกับแม่นางอู๋ไปหลายยก กลับเต็มไปด้วยฝีมือสูงส่ง 

“สองสามวันนี้เจ้าแสร้งทำมาโดยตลอดเลยรึ” กู้เจียวถาม 

หญิงชราเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าพูดจากับป้าเจ้าเช่นนี้รึ” 

เจ้ายังแสดงเสียแนบเนียนอีกต่างหาก 

ไม่สิ ไม่เหมือนแสดง 

กู้เจียวเอ่ยกับกู้เสี่ยวซุ่นอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้ามากับข้า” 

——————————- 

[1] ชุ่น (หน่วยวัดความยาว) นิ้ว 

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท