Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1768 ฝ่ามือเดียวซัดมุนินทร์

ตอนที่ 1768 ฝ่ามือเดียวซัดมุนินทร์

หลี่เสวียนเวยยืนกลางอากาศ แขนเสื้อปลิวไสว ผมยาวโบกพลิ้ว สง่างามยากจับต้อง

หลินสวินมองดูอีกฝ่ายอย่างตะลึงงัน ความรู้สึกปั่นป่วน หากกล่าวว่าการปรากฏตัวของศิษย์พี่เก่ออวี้ผูเป็นเรื่องที่ยังเข้าใจได้ เช่นนั้นการปรากฏตัวของหลี่เสวียนเวยกลับเหนือความคาดหมายของเขาไป

 ศิษย์น้อง เรื่องที่ใจเจ้ากังขา ข้าไม่แน่ใจว่าจะตอบได้ แต่ข้าจะบอกเรื่องที่รู้กับเจ้า 

หลี่เสวียนเวยยิ้มขึ้นมาแล้วชี้ที่ศีรษะของตน  เจ้าคงพอจะดูออกว่าข้าก็คือพลังเจตจำนงสายหนึ่ง สมองใช้การไม่ได้นัก 

หลินสวินยิ้มเจื่อนส่ายหัว  ข้าพอจะเดาที่มาที่ไปบางอย่างออก เรื่องพวกนี้… ต่างเกี่ยวข้องกับสามพันเคลื่อนคล้อยใช่หรือไม่ 

หลี่เสวียนเวยชูนิ้วโป้งให้ เอ่ยชื่นชมว่า  ศิษย์น้องพูดทีเดียวก็เข้าเป้าเลย สามพันเคลื่อนคล้อยเป็นสมบัติที่ท่านอาจารย์หลงเหลือเอาไว้ ลึกลับหาใดเทียบ แม้เสียหายรุนแรงแต่ก็คุ้มครองส่งศิษย์น้องออกไปได้อย่างปลอดภัย… มาคิดดูก็ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไร 

หลินสวินมองดูแส้หางม้าที่อยู่ในมือ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า  ศิษย์พี่ เป็นเพราะ ‘วิชามรรค’ ที่ข้าได้คราวนี้ไม่ธรรมดาเลยถูกหมายหัวหรือ 

หลี่เสวียนเวยยิ้มเอ่ย  ใช่ ท่านอาจารย์ทิ้งวิชามรรคนี้ไว้ที่แท่นสักการะมานานแล้ว ในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ขอเพียงเป็นระดับจักรพรรดิที่ตาถึงเสียหน่อยต่างพอมองเค้าลางออกไม่มากก็น้อย จะวางแผนบางอย่างเพื่อสิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่ย่อมเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว 

หลินสวินสูดหายใจสะท้าน เพื่อ ‘วิชามรรค’ หนึ่ง ถึงกับวางแผนและรอคอยมาเนิ่นนาน!

เช่นนั้นวิชามรรคนี้จะล้ำเลิศปานไหนกัน ถึงทำให้ระดับจักรพรรดิเหล่านั้นสนใจหมายปองได้ปานนี้

นี่ทำให้หลินสวินนึกถึงสมัยอยู่ในป่าต้นหม่อนขึ้นมาทันใด มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ทิ้งวาสนาบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ไว้ชิ้นหนึ่งเท่านั้น ก็ทำให้เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าน่ากลัวอย่างจักจั่นทอง จักจั่นขาว ดอกกระบี่พันปีกรอคอยในป่าต้นหม่อนมาเนิ่นนาน

เมื่อเทียบกันเช่นนี้ ก็ทำให้หลินสวินยิ่งรับรู้ได้ถึงความล้ำค่าของ ‘เสี้ยวจันทร์สามดารา’ ที่อยู่บนฝ่ามือนั้น

 ศิษย์น้อง ไปเถิด ข้าศิษย์พี่จะไปส่งเจ้าอีกหน่อย 

หลี่เสวียนเวยพูดพลางก้าวเท้าไปข้างหน้า เสื้อผ้าไหวกระพือ ดูอิสระเสรี

เงาร่างหลินสวินถูกพลังไร้รูปปกคลุมเอาไว้ พุ่งตามหลี่เสี่ยวเวยไปยังส่วนลึกของจักรวาลอย่างรวดเร็วน่าเหลือเชื่อ

 ศิษย์น้อง ข้าแปลงมาจากบัวเขียวแรกกำเนิดที่ท่านอาจารย์ปลูกขึ้นต้นหนึ่ง หลังจากตื่นรู้แล้วก็ติดตามฝึกปราณข้างกายท่านอาจารย์มาโดยตลอด ว่าด้วยเรื่องพรสวรรค์ ข้าสู้บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่ได้ ว่าด้วยรากฐานพลัง ข้าก็ยังสู้เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่ได้เช่นกัน มีเพียงอย่างเดียวที่ยังถือว่าพอจะอวดได้ก็คือจิตกระบี่สว่างไสวที่มีมาแต่กำเนิด 

ระหว่างทางหลี่เสวียนเวยพูดสบายๆ ว่า  น่าเสียดาย นี่เป็นเพียงประทับเจตจำนงของข้า มิเช่นนั้นจะได้เอา ‘วิชาบัวเขียวหยั่งโลก’ ที่ข้าคิดค้นขึ้นเองให้ศิษย์น้องได้ศึกษาสักหน่อย 

หลินสวินยิ้มให้แล้วเอ่ยว่า  ศิษย์พี่ ตอนนี้ข้าไม่ขาดวิชา เมื่อไม่นานมานี้ศิษย์พี่เก้าเพิ่งถ่ายทอดคัมภีร์มหามรรคหวงถิงให้ข้ามา 

หลี่เสวียนเวยดวงตาเปล่งประกาย  นี่เป็นถึงวิชาก้นกรุของศิษย์พี่เก้า หลอมจิตแห่งอวัยวะตันหน้า ควบรวมร่างมรรคห้าธรรม พลังปราณยิ่งสูง พลังต่อสู้ที่สำแดงออกมาก็ยิ่งน่ากลัว ตอนพวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องถกมรรคกัน ทุกคนล้วนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของตน พรั่งพรูไปด้วยถ้อยคำเลิศล้ำ มีเพียงศิษย์พี่เก้าที่เงียบเชียบไม่ปริปาก 

 แต่พอลงมือแลกเปลี่ยนเรียนรู้เข้าจริง ศิษย์พี่เก้าก็อหังการล้ำโลกเป็นอย่างยิ่ง เรียกเอาธรรมกายห้าธรรมออกมาโจมตีเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องจนสะบักสะบอมไปหมด ฮ่าๆๆ 

เมื่อพูดจบหลี่เสวียนเวยก็หัวเราะร่าอย่างอดไม่อยู่

คิดว่าความทรงจำช่วงนี้ประทับในใจเขาอย่างลึกล้ำ จนตอนนี้ยังไม่อาจลืมเลือน

แต่หลินสวินกลับเศร้าใจเล็กน้อย ตอนนี้ศิษย์พี่เก้าเขา… ตายไปนานแล้ว…

เขาสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา  ข้าได้ยินวิญญาณอาวุธของระฆังมหามรรคไร้กฎนั่นพูดว่า ตอนนั้นท่านเคยไปฝึกมรรคที่เขาพยับคราในดินแดนรกร้างโบราณหรือ 

หลี่เสวี่ยนเวยพยักหน้า  เคยเกิดเรื่องนี้จริงๆ 

 เช่นนั้นตอนนี้ศิษย์พี่อยู่ที่ไหน  หลินสวินถาม

หลี่เสวียนเวยอึ้งไป ตอบอย่างจนใจว่า  ใครจะไปรู้ล่ะ พลังเจตจำนงสายนี้ผนึกอยู่ในสามพันเคลื่อนคล้อยมานานมากแล้ว หากอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา ชั่วพริบตาเดียวข้าก็รู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของร่างต้น แต่ในสถานที่บ้าๆ ที่เวิ้งว้างจนนกยังไม่มาถ่ายแบบนี้คงไม่ไหว 

หลินสวินร้องเอ้อคำหนึ่ง

 แต่ถ้าศิษย์น้องไปถึงทางเดินโบราณฟ้าดารา ไป ‘สำนักยุทธ์เสวียนจี’ ดูสักรอบก็ได้ บรรพจารย์ผู้เปิดสำนักของพวกเขา ‘ป๋อหยาจื่อ’ เป็นศิษย์ฝากนามคนหนึ่งที่ตอนนั้นข้ารับมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่อาจจะรู้ว่าร่างต้นของข้าอยู่ที่ไหน 

หลินสวินสะท้านในใจ ชะงักอยู่ตรงนั้นทันที

สำนักยุทธ์เสวียนจีหรือ!

นั่นไม่ใช่สำนักที่จีเฉียนกับเจียงเหิงอยู่หรอกหรือ

ถ้าเป็นเช่นนี้ บรรพจารย์สำนักของพวกเขาจะไม่ต้องเรียกตนว่า ‘อาจารย์อา’ หรือ

ที่ทำให้หลินสวินรู้สึกเหลือเชื่อที่สุดก็คือ บรรพจารย์เปิดสำนักของสำนักยุทธ์เสวียนจี ดันเป็นเพียงศิษย์ฝากนามที่ศิษย์พี่ของตนรับมาส่งๆ คนหนึ่ง…

ศิษย์ฝากนามนะ!

ยังไม่ได้เป็นศิษย์สืบทอดแท้จริงด้วยซ้ำ!

หลินสวินหน้าเปลี่ยนสีจนแปลกพิกลขึ้นมา

เขาสังหรณ์ใจอย่างแรงกล้าว่าการคาดเดาของตนคงไม่ใช่เรื่องผิด บนทางเดินโบราณฟ้าดารา ไม่ว่าจะเป็นสำนักใด ย่อมไม่มีทางชื่อซ้ำกันเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะเท่ากับเป็นศึกระหว่างสำนัก หากเกิดกับใครเข้าจะไปทนไหวได้อย่างไรกัน ต้องก่อให้เกิดความขัดแย้งและการเข่นฆ่าขึ้นแน่!

 เหอะ มีคนมาอีกแล้ว 

ทันใดนั้นหลี่เสวียนเวยก็ยิ้มพลางเอ่ยปาก

เสียงยังไม่ทันเงียบลง ในจักรวาลไกลออกไปก็มีสิงโตยักษ์สีขาวปลอดตัวหนึ่งกระโจนมา กำยำหาใดเทียบ มีกลิ่นอายพิสุทธิ์ล้อมรอบ

ภิกษุผู้หนึ่งนั่งตัวตรงอยู่บนสิงโตยักษ์ขาวปลอด ท้ายทอยมีรัศมีวงหนึ่งปรากฏขึ้น สำแดงปรากฏการณ์ประหลาดอย่างบุปผาสวรรค์โปรยปราย แสงพุทธฉายส่อง

ทันทีที่ปรากฏตัว จักรวาลที่มืดทึมและว่างเปล่าแห่งนี้ถึงกับแปรเปลี่ยนเป็นสว่างไสวตระการตา เต็มไปด้วยท่วงทำนองเทพอันน่าเกรงขามและสงบเยือกเย็น

เสียงธรรมดังขึ้นเป็นระลอกไปถึงดวงใจประหนึ่งเสียงสวรรค์

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นภิกษุระดับจักรพรรรดิที่ครองผลผู้หนึ่ง ในสายตาของผู้บำเพ็ญธรรมแล้ว เรียกได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยืนยงคงกระพัน รุ่งโรจน์สว่างไสวไร้สิ้นสุด!

หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน จิตใจหลินสวินคงหวาดกลัวเสียงสวดอันน่าเกรงขามนั้นไปนานแล้ว แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน

เพราะมีหลี่เสวียนเวยอยู่!

 ภิกษุ เรื่องกฎวาสนาเจ้าเข้าใจเสียยิ่งกว่าข้า ขอเตือนเจ้าประโยคหนึ่งว่ากลับใจคือฟากฝั่ง! 

หลี่เสวียนเวยพูดเสียงดังกังวาน

เสื้อผ้าของเขาปลิวไหว ไอขุ่นมัวสีเขียวไหลหลั่งออกมา อานุภาพทั้งกายก็พลันเปลี่ยนแปลงไปด้วย ราวกับดอกบัวเขียวที่ค้ำชูฟ้าดินขุ่นกระจ่างเอาไว้ต้นหนึ่ง!

 การชิงชัยมหามรรค ยึดติดกับการเสาะแสวงต่างหากจึงเป็นฟากฝั่ง สหายยุทธ์ ถ้าเจ้าต้องการจะถกมรรค อาตมาจะสนทนากับเจ้าสักรอบ 

บนสิงโตสีขาว ภิกษุพนมมือ ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่โกรธไม่แค้น

 ฮ่าๆๆ ใครไม่รู้บ้างว่าผู้บำเพ็ญธรรมแต่ละคนเป็นพวกมีวาทศิลป์ กล่อมมารให้น้อมนำธรรมไว้ในใจได้ ฝีปากยอดเยี่ยมนัก 

หลี่เสวียนเวยหัวเราะร่า  ในเมื่อเจ้าไม่ยอมถอย เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าคนแซ่หลี่ไม่เกรงใจก็แล้วกัน 

ตูม!

เขากดฝ่ามือลงไป

ภิกษุปากเปล่งเสียงพุทธ ร่างกายคล้ายก่อขึ้นจากของเหลวสีทอง สำแดงเสียงอสนีมังกรพยัคฆ์ออกมา อวัยวะภายในร่าง แขนขาทั้งสี่และกระดูกนับร้อยล้วนมีอักษรสันสกฤตปรากฏขึ้น ตัวเขาประหนึ่งพระโพธิสัตว์มาเยือนโลก ศักดิ์สิทธิ์หาใดเทียบ

ฮูม!

ระหว่างนั้นแสงทองหมื่นสายรวมตัวกลางฝ่ามือภิกษุ แสงสมบัติแต่ละชั้นไหลหลั่งออกมาจากร่างของเขา ตั้งท่ามือเดียวขึ้นฟ้า

หลี่เสวียนเวยยิ้มอย่างนึกสนุก จู่ๆ ฝ่ามือที่เขาตบออกไปก็แปรเปลี่ยนเป็นแวววาวโปร่งใสประหนึ่งกระจกหยกเขียว ประทับพลังของลายมรรคกฎระเบียบอยู่เต็มไปหมด

คราวนี้หลินสวินไม่ได้ถูกรบกวน ดังนั้นจึงมองเห็นภาพสะท้านใจคนภาพหนึ่ง…

ปึง!

เมื่อพลังฝ่ามือของหลี่เสวียนเวยตบลงไป ก็ถูกภิกษุสกัดให้อยู่ห่างจากศีรษะสามฉื่อ แล้วสลายกระจายออกไป

ส่วนเงาร่างของภิกษุผู้นั้นตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ได้เคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว

รับไว้ได้หรือ

ในขณะที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในสมองของหลินสวิน

ก็เห็นว่าบนใบหน้าน่าเกรงขามไม่ทุกข์ไม่ร้อนของภิกษุผู้นั้นพลันปรากฏแววเจ็บปวดทรมาน ประหนึ่งพบอุปสรรคระหว่างเข้าฌาณหยั่งรู้ธรรม

 พลังเจตจำนงสายหนึ่งแต่กลับมีอานุภาพปานนี้ อาตมา… จะยังไม่หันกลับได้หรือ 

ท่ามกลางเสียงถอนใจ หลินสวินถึงเห็นว่าบนร่างสีทองเจิดจรัสของภิกษุนั้นปรากฏรอยแตกเป็นเส้นๆ ราวกับรอยใยแมงมุม ไม่ทันไรก็แผ่ขยายไปทั้งร่าง

ในที่สุดก็มีเสียงปึงดังขึ้น

ทั้งร่างของภิกษุเหมือนแจกันดอกไม้ที่แตกสลาย กลายเป็นเศษชิ้นส่วนเป็นชิ้นๆ!

สุดท้ายแม้แต่สิงโตยักษ์สีขาวที่เขาคร่อมขี่ยังส่งเสียงร้องเจ็บปวด เส้นขนตามร่างกายโรยรา กระดูกและเนื้อหนังแตกออกทุกกระเบียด เลือดสดๆ สาดกระเซ็นไปในอากาศ

ที่แท้ภิกษุรูปนี้ไม่ได้รับการโจมตีของหลี่เสวียนเวยไว้ได้ ในระหว่างที่พลังฝ่ามือนั้นกระจายออก ร่างพุทธสีทองของเขาถูกซัดกระจุยไปก่อนแล้ว!

หลินสวินสูดหายใจเยียบเย็นอย่างคุมตัวเองไม่อยู่

ก่อนหน้านี้ตอนศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยรับกระบี่ของเด็กหนุ่มนักพรตคนนั้นไว้ได้ ก็ทำให้เขาสะท้านในใจอย่างไร้สาเหตุแล้ว

และเมื่อได้เห็นความสง่างามยามศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยออกตัวลงมือ เขาถึงรู้ว่าพลังต่อสู้ของศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยถึงกับดุดันเช่นนี้!

 ออมมือแล้ว 

หลี่เสวียนเวยกุมมือคารวะ

ไกลออกไปแสงพุทธสีทองเต็มฟ้าควบรวม แปลงเป็นเงาร่างภิกษุ ก็เห็นว่าเขาพนมมือ คุกเข่ากราบกรานร้องเรียกนามพระพุทธ

 โยม ทางข้างหน้ายังมีผู้ร่วมมรรคอีกมาก อาศัยเจ้าคนเดียวเกรงว่าจะไม่อาจปกป้องเด็กคนนี้ได้ 

พูดจบเขาก็หันกายจากไป

และในตอนนี้เอง หลินสวินถึงสังเกตเห็นว่าเงาร่างของศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยแปรเปลี่ยนเป็นรางเลือนเหมือนภาพมายา

เห็นได้ชัดว่าพลังเจตจำนงสายนี้ของเขาคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว!

เพียงแต่ศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยเหมือนไม่สนใจสักนิด กลับหัวเราะเหอะๆ เอ่ยว่า  พระรูปนี้แพ้อย่างไม่ยินยอมเลยนะ แต่คอยดูต่อไปก็พอแล้ว 

ตั้งแต่เริ่มจนจบ เขาสบายอกสบายใจ ผ่อนคลายสบายอารมณ์!

ความสง่างามเช่นนั้นทำเอาหลินสวินรู้สึกเคารพอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้

หลี่เสวียนเวยเอ่ย  ศิษย์น้อง มีเวลาไม่มาก เอาสามพันเคลื่อนคล้อยกับเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดมาให้ข้ายืมใช้ที 

หลินสวินเอาออกมาอย่างไม่ลังเล

เมื่อสมบัติทั้งสองชิ้นอยู่ในมือ หว่างคิ้วหลี่เสวียนเวยมีแววฮึกเหิมเชื่อมั่นเพิ่มเข้ามา เอ่ยว่า  ศิษย์น้อง เจ้าเคยได้เห็นความสง่างามของท่านอาจารย์ในตอนนั้นหรือไม่ ตาแก่นั่นนั่งบนเบาะเมฆเก้าชั้นฟ้า มือหนึ่งถือแส้หางม้า มือหนึ่งถือเจดีย์สมบัติ ชิ นั่งถึงเรียกได้ว่าเป็นความสง่างามของยอดคนที่แท้จริง! 

ระหว่างที่พูด ไม่ทันให้หลินสวินตอบกลับเขาก็พาหลินสวินก้าวทะยานไป

กาลเวลาเคลื่อนคล้อย ผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็มๆ

ในส่วนลึกของจักรวาลที่เดิมเวิ้งว้างว่างเปล่า จู่ๆ ก็มีแสงดาวเปล่งประกายเป็นจุดๆ ฉายวิบวับไม่ว่างเว้น เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่

หลินสวินใจเต้นระส่ำ ตอนเดินอยู่ก่อนหน้านี้ทุกที่ล้วนเป็นความว่างเปล่าไร้สิ้นสุด กดดัน มืดทึม พาให้ผู้คนไม่รู้สึกถึงพื้นที่และระยะห่าง

แต่ตอนนี้ต่างออกไปแล้ว!

ก็ในตอนนี้เช่นกันที่หลี่เสวียนเวยหยุดเดิน คิ้วคมดุจกระบี่ทั้งสองขมวดขึ้นอย่างเห็นได้ยาก ปากก็พึมพำว่า

 ศิษย์น้อง คราวนี้พวกเรายุ่งยากนิดหน่อยแล้ว ใครจะคิดว่าถ่ายทอดศุภโชคครั้งหนึ่งเท่านั้น กลับทำให้เจ้าเฒ่าระดับจักรพรรดิสามคนร่วมมือกัน แม่งจะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว นี่มันคิดรังแกคนอื่นชัดๆ เลยนะ… 

——

 

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท