Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1793 ฆ่าราชันอริยะ

ตอนที่ 1793 ฆ่าราชันอริยะ
“คุณหนู พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปนอกเมือง เป็นไปได้มากว่าจะจากไปวันนี้”
ผู้คุ้มกันคนหนึ่งรายงานอย่างรีบเร่ง
นัยน์ตาคู่งามของหลันไฉ่อีหดรัด กล่าวว่า “ลงมือเถอะ”
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ห้วงอากาศเกิดคลื่นสะเทือน เงาร่างสองสายปรากฏ คนหนึ่งคือชายชราเคราโค้ง อีกคนเป็นชายกลางคนพาดดาบ
“คุณหนู ต้องการเคลื่อนไหวทันทีเลยหรือไม่”
ชายชราเคราโค้งเอ่ยถาม
“ท่านลุงทั้งสอง ลำบากพวกท่านแล้ว”
หลันไฉ่อีพยักหน้าน้อยๆ
“ไป!”
ครู่ต่อมาชายชราเคราโค้งและชายกลางคนพาดดาบก็หายไป
“ไฉ่อี ทั้งสองท่านนี้คือ?”
อวี่อวิ๋นเจิงอดถามไม่ได้ เมื่อครู่นี้ยามพวกชายชราเคราโค้งปรากฏตัว เหมือนอยู่ดีๆ ก็มีภูเขาเทพสองลูกปรากฏ อานุภาพไร้รูปที่น่าหวาดกลัวนั้นกดดันจนหายใจลำบาก
“พวกเขาล้วนเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักปราณศิลาเมฆของข้า มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบิดาของข้าที่สุด คนหนึ่งชื่อว่าเหวยชง อีกคนชื่อว่าไฉเฟิง ล้วนมีพลังปราณระดับราชันอริยะ มีพวกเขาลงมือ สังหารปฐมาจารย์สลักลายมรรคระดับมกุฎมหาอริยะคนเดียวก็เป็นเรื่องเล็กจ้อย”
ทันทีที่หลันไฉ่อีกล่าวคำนี้ออกมา อวี่อวิ๋นเจิงก็สูดหายใจเย็นเยียบ
ในโลกต้าอวี่ราชันอริยะเป็นถึงผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถก่อคลื่นลม หากอยู่ในเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ก็รับตำแหน่งผู้ดูแลหรือผู้อาวุโสได้ มีอำนาจล้นฟ้า!
หลันไฉ่อีกล่าว “อวิ๋นเจิง อวี่อวิ๋นเหอไม่น่ากลัวพอ คนที่เจ้าต้องระวังคือพวกร้ายกาจคนอื่นในหมู่คนรุ่นเยาว์ของตระกูลพวกเจ้า ข้าขอแนะนำว่าตอนนี้เจ้าควรกลับไปที่ตระกูล เริ่มเตรียมพร้อมเรื่องการทดสอบประจำตระกูลดีกว่า”
อวี่อวิ๋นเจิงพยักหน้ารับคำทันที
ผู้อาวุโสระดับราชันอริยะสองคนของสำนักปราณศิลาเมฆลงมือเอง ทั้งยังเป็นอาณาเขตของสำนักปราณศิลาเมฆ แค่กำจัดปฐมาจารย์สลักลายมรรคคนเดียวเท่านั้น ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรแน่
อวี่อวิ๋นเจิงกล่าวเตือน “ไฉ่อี เจ้าอย่าลงมือกับน้องหกคนนั้นของข้าเด็ดขาดเชียว”
หลันไฉ่อียิ้มกล่าว “วางใจเถอะ ข้ารู้จักแยกแยะ”
สวบ!
นอกเมืองศิลาเมฆ ยานขนส่งอวกาศปรากฏ พาหลินสวิน อวี่อวิ๋นเหอ หนานชิวทลายอากาศออกไป
“ตระกูลของพวกเราอาศัยอยู่บน ‘ภูเขาเทพนพเลิศ’ มารุ่นต่อรุ่น ห่างจากภูเขาเทพนพเลิศไปไม่ไกลก็คือ ‘เมืองประสานฟ้า’ เมืองหลวงอันดับหนึ่งของโลกต้าอวี่ รอเมื่อถึงที่นั่นแล้ว หากพี่หลินไม่รังเกียจ ข้าจะเป็นเจ้าภาพพาเจ้าและแม่นางหนานชิวชมทิวทัศน์ที่งดงามของเมืองประสานฟ้าด้วยกัน”
บนยานสมบัติ อวี่อวิ๋นเหอยิ้มกล่าว
“ได้สิ”
หนานชิวรับคำอย่างยินดี
หลินสวินใจกระตุก เอ่ยถาม “คุณชายอวี่ ในโลกต้าอวี่ขุมอำนาจของสำนักไหนแข็งแกร่งที่สุด”
“หอกระบี่ดาราเลิศ”
อวี่อวิ๋นเหอพูดโดยไม่ต้องคิด “นี่คือสำนักอันดับหนึ่งของโลกต้าอวี่ ผู้ฝึกกระบี่ในสำนักมีนับไม่ถ้วน เป็นแหล่งรวมผู้แข็งแกร่ง”
“รองลงมาคือสำนักยันต์คลื่นวารี สิ่งที่สำนักนี้เชี่ยวชาญที่สุดก็คือวิถีสลักวิญญาณ อย่างอาจารย์โม่ที่พวกเราเจอก็มาจากสำนักนี้”
“ลำดับต่อมาก็คือสำนักยุทธ์เตาโอสถ…”
อวี่อวิ๋นเหอพูดจาฉะฉาน ไล่เรียงขุมอำนาจในใต้หล้าราวนับสมบัติในบ้าน
หลินสวินกล่าว “ตระกูลอวี่ของพวกเจ้าล่ะ เทียบกับขุมอำนาจสำนักพวกนี้แล้วเป็นอย่างไร”
แววตาของอวี่อวิ๋นเหอพลันเปลี่ยนเป็นอับแสงลงไม่น้อย กล่าวว่า “ตั้งแต่ปีนั้นที่ผู้อาวุโสชิงหยางจากไป อิทธิพลของตระกูลพวกเราก็ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนก่อน จนถึงทุกวันนี้ก็เทียบได้แค่สำนักยุทธ์เตาโอสถ”
เขาเว้นช่วงไปก่อนเผยความมั่นใจ “ทว่าหากพูดถึงความแข็งแกร่งของรากฐาน ทั้งโลกต้าอวี่ ถ้าตระกูลอวี่ของข้ากล้าพูดว่าเป็นที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าเป็นอันดับหนึ่ง!”
“พี่หลิน เจ้าน่าจะยังไม่รู้ว่าชื่อของโลกต้าอวี่นี้ ‘จักรพรรดิอวี่’ บรรพชนตระกูลอวี่ของข้าเป็นคนตั้ง!”
หลินสวินก็อดประหลาดใจไม่ได้ โลกใหญ่แห่งหนึ่ง ใช้นามของเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่มาตั้งชื่อ!
นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ยิ่งใหญ่ถึงที่สุด
หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อยก็ตัดสินใจ รอเมื่อจากโลกต้าอวี่ไป จะหาสำนักที่ถูกใจให้หนานชิวฝึกปราณอยู่ที่นั่น
“คุณชายหลินโปรดหยุดก่อน!”
ทันใดนั้นนอกยานสมบัติพลันมีเสียงชราหนึ่งดังขึ้น
“พวกเจ้าอยู่ที่นี่ห้ามขยับ”
หลินสวินกลับเหมือนมีญาณทิพย์ สีหน้าราบเรียบ ลอยออกจากยานสมบัติไป
บนเส้นขอบฟ้าที่ห่างไกล ชายชราเคราโค้งเหวยชงกับชายกลางคนพาดดาบไฉเฟิงยืนอยู่กลางอากาศ ขวางหนทางข้างหน้าราวกับปราการธรรมชาติสองสาย
“หลันไฉ่อีให้พวกเจ้ามาหรือ”
หลินสวินเอ่ยปาก
เหวยชงเผยสีหน้าประหลาดใจเอ่ยว่า “ไม่ผิด คุณหนูไฉ่อียกย่องคุณชายมาก จึงให้พวกข้ามาพบคุณชายโดยเฉพาะ”
ไฉเฟิงที่อยู่ข้างๆ กล่าวด้วยเสียงเรียบง่ายลุ่มลึก “ขอไม่พูดมากความ หากคุณชายยอมตีตัวออกห่างจากอวี่อวิ๋นเหอนั่น ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขอะไร คุณหนูไฉ่อีล้วนรับปาก”
อวี่อวิ๋นเหอที่อยู่บนยานสมบัติใจกระตุกวูบ ทั้งตกใจทั้งโกรธแค้น เจ้าคนต่ำทรามอำมหิต!
เขามีหรือจะดูไม่ออกว่าการเคลื่อนไหวนี้มุ่งเป้ามาที่เขา
เหวยชงนำกล่องหยกใบหนึ่งออกมา ยิ้มอย่างเมตตาอ่อนโยน “เพื่อแสดงความจริงใจ ‘หญ้าแสงมรกตหมอกนิล’ ต้นนี้ถือเป็นของขวัญแรกพบ”
เฮือก!
อวี่อวิ๋นเหอสูดหายใจเย็นเยียบ หญ้าแสงมรกตหมอกนิล นี่เป็นถึงโอสถเทพไร้เทียมทานอย่างหนึ่ง มูลค่ามหาศาล หายากเป็นอย่างยิ่ง
อาศัยแค่จุดนี้อวี่อวิ๋นเหอก็สรุปได้ชัดยิ่งกว่าเดิม เพื่อจัดการเขา หลันไฉ่อีและอวี่อวิ๋นเจิงล้วนไม่สนใจอะไรแล้ว!
“ถ้าข้าไม่รับปากล่ะ” หลินสวินกล่าว
เหวยชงเก็บรอยยิ้มกล่าว “คุณชายเป็นคนฉลาด น่าจะรู้ดีว่าควรเลือกอะไรจึงจะเป็นหนทางที่ชาญฉลาดที่สุด”
ไฉเฟิงกล่าวเสียงแข็ง “สละชีวิตตัวเองเพื่อคนโง่คนหนึ่งนั้นไม่คู่ควร หวังว่าคุณชายจะไตร่ตรองให้รอบคอบ”
ราชันอริยะสองคน ทั้งอยู่ในอาณาเขตที่ขุมอำนาจสำนักปราณศิลาเมฆปกครอง ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เคยเห็นหลินสวินและอวี่อวิ๋นเหออยู่ในสายตา
สาเหตุที่วางท่าสันติเช่นนี้ ก็เป็นเพราะคำกำชับของหลันไฉ่อีเท่านั้น
เวลานี้หลินสวินพลันทอดถอนใจกล่าว “ข้าก็เคยเตือนหลันไฉ่อีแล้วว่าไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้ แต่ตอนนี้ดูท่าว่านางจะไม่คิดปล่อยให้ข้าจากไปแล้ว”
เหวยชงและไฉเฟิงต่างสีหน้าเฉยชาไม่ปฏิเสธ
“น่าเสียดาย พวกเจ้าเลือกคนผิดแล้ว”
น้ำเสียงต่ำลึก จู่ๆ เงาร่างหลินสวินก็หายไป
ครู่ต่อมาเขาก็ปรากฏตัวอยู่หน้าเหวยชง ชูหมัดพุ่งสังหาร
ตูม!
แค่ชั่วพริบตาเท่านั้นหลินสวินเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พลังขับเคลื่อนที่ถูกเก็บซ่อนไว้อย่างล้ำลึก ดูเหมือนธรรมดา ยามนี้ได้ระเบิดออกมาถึงขีดสุด
หากไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง คงไม่มีใครกล้าเชื่อว่าอานุภาพของคนผู้หนึ่งจะเปลี่ยนไปได้ไวเช่นนี้ ราวกับหยกหมองมัวที่ไม่มีอะไรพิเศษ กลายเป็นดวงตะวันที่ส่องประกายโชติช่วงในพริบตา!
นัยน์ตาเหวยชงหดรัด คิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์เช่นนี้ มกุฎมหาอริยะแค่คนเดียวอย่างหลินสวินจะเลือกฝืนปะทะกับราชันอริยะอย่างพวกเขาสองคน
นี่จะบ้าระห่ำเกินไปแล้ว!
ช่างไม่ประมาณตนเองเสียจริง…
ในใจเหวยชงเพิ่งเกิดความคิดนี้ขึ้นมา ก็พลันสังเกตเห็นว่าไม่ชอบมาพากล พลังหมัดน่ากลัวยิ่งนัก!
หมัดนี้ของหลินสวินไม่ใช่แค่เร็ว ยังเต็มไปด้วยคลื่นมหามรรคที่ดุดันเผด็จการปานสะเทือนฟ้าสะท้านดิน ทำให้เหวยชงหายใจติดขัด
ตูม!
เหวยชงซัดฝ่ามือออกไปตามจิตใต้สำนึก
ประทับใหญ่ครรลองสวรรค์!
แค่ประทับฝ่ามือเดียวเท่านั้น แต่เหมือนเวิ้งฟ้าเข้าปกคลุม แข็งแกร่งหาใดเปรียบ
ท่ามกลางเสียงกัมปนาทอึกทึกสนั่นหู ภาพที่ทำให้เหวยชงตื่นตะลึงก็ปรากฏ ประทับฝ่ามือนั้นที่เต็มไปด้วยพลังเขตแดนมรรคของเขา ถึงกับถูกหมัดเดียวซัดกระจายเหมือนกระดาษเปื่อย
พลังหมัดชวนประหวั่นกวาดผ่านตัว เหวยชงเซถอยหลัง ปากกระอักเลือดร้องเสียงหลง “เป็นไปได้อย่างไร!?”
ห่างไปไม่ไกล ในใจไฉเฟิงก็สั่นสะท้าน สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่
ระหว่างมกุฎมหาอริยะกับราชันอริยะห่างกันหนึ่งระดับใหญ่ นี่ก็เหมือนความแตกต่างระหว่างฟ้าและดิน จากอดีตเรื่อยมาจนปัจจุบัน มีน้อยคนนักที่จะทำลายปราการที่กั้นนี้มาต่อสู้ข้ามระดับได้
แต่ตอนนี้หลินสวินทำได้แล้ว!
นี่ทำให้ไฉเฟิงแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
“สยบ!”
น้ำเสียงเยียบเย็น ทั่วร่างหลินสวินมีเขากระบี่อสูรปฐพีเจ็ดสิบสองลูกพุ่งออกมา ปราณกระบี่หนาแน่น กว้างใหญ่ไพศาลไร้สิ้นสุด
เหวยชงคำราม ลงมือเต็มกำลัง โคจรพลังปราณของระดับราชันอริยะถึงขีดสุด ทั่วร่างส่องประกายโชติช่วง เสียงธรรมดังกระหึ่ม
“ตาย!”
สีหน้าหลินสวินราบเรียบไร้คลื่นลม เขากระบี่อสูรปฐพีเจ็ดสิบสองลูกสยบพิฆาต กลางฟ้าดินล้วนถูกปราณกระบี่เจิดจ้าขาวโพลนเข้าปกคลุม
ตูม!
แค่ชั่วพริบตาทั้งตัวเหวยชงก็ถูกปกคลุม ถูกปราณกระบี่ที่หนาแน่นราวคลื่นทะเลพิโรธโจมตี เลือดเนื้อสาดกระจายลอยละล่อง
เขาดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง กรีดร้องทุรนทุราย แต่กลับไร้ประโยชน์ ปราณกระบี่ที่เข้าปกคลุมเหมือนมหาสมุทรนั้นกำราบเขาไว้อย่างสมบูรณ์
แค่ชั่วดีดนิ้วเสียงของเขาพลันหยุดชะงักลง ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรอีก
ผู้อาวุโสของสำนักปราณศิลาเมฆ ผู้แข็งแกร่งระดับราชันอริยะเหวยชง ยามนี้ถูกสังหารแล้ว!
“ไม่ นี่เป็นไปไม่ได้… นี่เป็นไปไม่ได้!”
ไฉเฟิงร้องเสียงหลง ถูกกระตุ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว เพิ่งผ่านไปชั่วขณะเดียว มกุฎมหาอริยะคนหนึ่งก็ฆ่าราชันอริยะคนหนึ่งที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วได้อย่างรวดเร็วรุนแรง!
ใครเล่าจะกล้าเชื่อ
ครั้งนี้พวกเขาสองคนออกโจมตี เดิมทีก็เห็นว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว คิดว่าสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องเปลืองแรง
ไหนเลยจะคิดว่าเหยื่อที่พวกเขาไม่เห็นอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง กลับเป็นสัตว์ประหลาดที่ราวกับพลิกฟ้าได้คนหนึ่ง!
ฟุ่บ!
หลินสวินไม่ล่าช้า ลงมืออีกครั้ง เงาร่างเคลื่อนย้ายกลางอากาศ พุ่งสังหารไปทางไฉเฟิง
ราชันอริยะอะไร ถ้าไม่ก้าวสู่มกุฎมรรคา สำหรับเขาในตอนนี้ก็ไม่มีภัยคุกคามสักนิด
หม่าไท่เจิ้นแห่งสำนักยุทธ์เตาโอสถแข็งแกร่งระดับใด แต่สุดท้ายก็ถูกกำราบอย่างง่ายดาย
หากคิดว่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงใหญ่ก็จัดการหลินสวินได้ นั่นก็ผิดมหันต์แล้ว
“ฟัน!”
ไฉเฟิงตวาดเสียงกร้าว ดาบศึกที่อยู่ด้านหลังพลันพุ่งออกมา วิวัฒน์เป็นเขตแดนมรรคแห่งหนึ่ง ปราณดาบฟาดฟันไปทั่วเหมือนฝนกระหน่ำ
แดนพายุดาบ!
นี่ก็คือเขตแดนมรรคของไฉเฟิง หลอมรวมเข้ากับพลังมรรคดาบทั้งตัวเขา ไอสังหารสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เมื่ออยู่ในนั้นแล้ว ทั่วสารทิศจะเต็มไปด้วยปราณดาบไร้ขอบเขต
“ทำลาย!”
หลินสวินมีประสบการณ์ต้านเขตแดนมรรคอยู่ก่อนแล้ว เขาเรียกดาบหักออกมาโดยไม่ลังเล สำแดงหนึ่งกระบวนวัฏจักรฟ้าออกมาเต็มกำลัง
ตูม!
คมประกายที่พร่างพรายหาใดเปรียบส่งเสียงแหลมสูง ก็เห็นแดนพายุดาบถูกแหวกออกจากกันราวกับไหมทอ
จากนั้นทั้งเขตแดนมรรคก็ระเบิดออกสนั่นหวั่นไหว ทำให้ฟ้าดินปั่นป่วนไปหมด สะเทือนไปทั่วทิศ
“นี่…”
ไฉเฟิงตกใจจนวิญญาณเกือบหลุดออกจากร่าง พลังของเขตแดนมรรคน่ากลัวระดับใด แต่กลับทำอะไรมกุฎมหาอริยะคนหนึ่งไม่ได้หรือ
น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว นี่ล้มล้างความเข้าใจของเขาอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเห็นว่าหลินสวินพุ่งโจมตีเข้ามา ไฉเฟิงก็หนีโดยไม่ลังเล เขาถูกทำให้ตกใจจนหวาดกลัวแล้ว
น่าเสียดายที่ยังช้าไปก้าวหนึ่ง ในเมื่อหลินสวินลงมือ มีหรือจะยอมปล่อยให้ศัตรูจากไปทั้งเป็น
“ห่างไกลล้วนไปถึง!”
เขาสูดหายใจลึก วาดนิ้วกลางอากาศ
ห่างออกไปหลายร้อยลี้ พลังดรรชนีพร่ามัวสายหนึ่งปรากฏกลางอากาศ โจมตีลงมาอย่างหนักหน่วง ห้วงอากาศนั้นทรุดตัวแตกระเบิดราวกับเครื่องแก้วที่แตกง่าย
ร่างของไฉเฟิงซวนเซร่วงคะมำ ไม่รอให้เขาตอบสนอง ดาบหักที่เจิดจ้าก็ฟันมาทันที
พรูด!
ฝนโลหิตสาดพรม
ศีรษะใหญ่โตหนึ่งกระเด็นขึ้นเหนือฟ้า
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท