ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 5 ลายปัก

ตอนที่ 5 ลายปัก

อู๋เซี่ยวเฉวียนไม่พอใจน้ำเสียงของอู่เหนียงเป็นอย่างมาก นางยิ้มแล้วพูดว่า “นายหญิงใหญ่เองก็รู้ เพียงแต่ว่าไม่ได้ถามละเอียดเช่นคุณหนูห้า” 

อู่เหนียงที่ปกติเป็นคนเฉลียวฉลาดแต่ตอนนี้กลับสีหน้าซีดเซียวและพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านแม่เป็นคนพิถีพิถันอย่างมากจึงได้มอบหมายเรื่องนี้ให้พวกเราสามคน หากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น พวกเราไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปัดความรับผิดชอบได้ มีบางคำที่ข้าจำเป็นต้องพูด…” 

แม้ว่าอู๋เซี่ยวเฉวียนผู้นี้จะเป็นผู้ดูแลสกุลหลัว แต่อู๋เซี่ยวเฉวียนไม่ได้ทำงานอยู่ในจวนสกุลหลัว ปกติก็เพียงแค่อยู่กับนายหญิงใหญ่ พูดคุยเป็นเพื่อนนายหญิงใหญ่ หรือช่วยทำธุระเล็กๆ น้อยๆ นายหญิงใหญ่ดูเหมือนว่าจะชอบให้มีคนแบบนี้อยู่ข้างกาย ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นว่านางสำคัญเท่าป้าสวี่ แต่ก็ยังมีความเชื่อใจ ดังนั้นคนในสกุลหลัวจึงเคารพนางอยู่บ้าง 

สืออีเหนียงได้ยินน้ำเสียงสั่งสอนของอู่เหนียงก็อดที่จะถอนหายใจอย่างเบาๆ ไม่ได้ ทุกคนต่างทำตามความต้องการของนายหญิงใหญ่ มีบางครั้งอู่เหนียงก็แสดงถึงความใจร้อนจนเกินไป 

อย่างเช่นเรื่องนี้ อู๋เซี่ยวเฉวียนได้พูดถึงลักษณะของม่านกันลมตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าอู่เหนียงพูดคัดค้านขึ้นมา แล้วยังพูดเหตุผลที่ทำให้ต้องลำบากใจ ต่อมาอู่เหนียงได้ถามว่า ‘ท่านแม่รู้หรือไม่’ อู๋เซี่ยวเฉวียนบอกว่า ‘นายหญิงใหญ่ไม่ได้ถามละเอียดสักเท่าไร’ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นการบอกอู่เหนียงอย่างอ้อมค้อมว่านายหญิงใหญ่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว 

นางมองใบหน้าของอู๋เซี่ยวเฉวียนที่ฝืนยิ้ม นางยิ้มแล้วถามแทรกอู่เหนียงว่า “ป้าอู๋ ขนาดของม่านกันลมนี้จะไม่มีการแก้ไขแล้วใช่หรือไม่” 

การพูดแทรกของสืออีเหนียงได้ขัดจังหวะการสั่งสอนของอู่เหนียง อู๋เซี่ยวเฉวียนรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ยิ้มแล้วตอบว่า “หากใหญ่ขึ้นอีกหน่อยก็จะดูเทอะทะ หากเล็กลงอีกหน่อยก็จะดูเบาะบาง บ่าวคิดว่าไม่ต้องแก้แล้วเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างมาก 

“เช่นนั้นก็ให้พี่หญิงเขียนขนาดตามนี้ไปก่อนเถิด” สืออีเหนียงหันไปมองอู่เหนียงด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ยังเหลืออีกสามเดือนก่อนจะถึงวันส่งของขวัญวันเกิด พวกเรามาลงมือทำกันก่อน เมื่อพบไม้ที่เหมาะสมแล้วค่อยแกะสลักฐานและกรอบม่านกันลมก็ยังไม่สาย” 

อู๋เซี่ยวเฉวียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะในใจ 

ดูสืออีเหนียงที่อ่อนโยนมีมารยาท มีความเอื้ออาทร การพูดหรือการกระทำไม่ทำให้ใครขุ่นเคือง เช่นนั้นจึงจะเรียกว่าเพียบพร้อมในทุกด้าน ไม่เหมือนคนบางคนที่คิดว่าการทำให้คนหัวเราะแสดงว่าเป็นคนพูดเป็น แต่กลับไม่รู้ว่าคนที่พูดเป็นส่วนมากจะไม่พูด ส่วนคนที่พูดไม่เป็นมักจะกลัวคนอื่นไม่รู้ว่าตัวเองนั้นพูดไม่เป็นจึงได้โวยวายพูดเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือ ก็เหมือนกับขวดที่มีน้ำเพียงครึ่งขวดจึงมีเสียงน้ำ ส่วนขวดที่เต็มไปด้วยน้ำจะไม่มีเสียงน้ำจากในขวด…คิดว่านายหญิงใหญ่จะชอบ คิดว่าตัวเองเป็นบุตรสาวคนโต! 

“เช่นนั้นก็เอาตามนี้” นางตอบรับสืออีเหนียงพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ช่างไม้พวกนั้นเป็นคนที่มีฝีมือมากที่สุดในเมืองหังโจว และมีคลังเก็บไม้ เพียงแต่ว่าไม้เหล่านั้นไม่ตรงตามเกณฑ์ของเรา หากนำมาทำแล้วไม่ดีขึ้นมา ได้เพียงแค่สิ่งที่พอใช้ได้เท่านั้น เช่นนั้นใช้อันไหนก็คงเหมือนๆ กัน” 

อู่เหนียงเห็นแววตาเสียดสีของอู๋เซี่ยวเฉวียน รู้สึกตกใจเล็กน้อยจึงตระหนักได้ว่าตัวเองพูดมากไปแล้ว แอบรู้สึกโกรธอยู่คนเดียว 

พวกบ่าวเหล่านี้ก็แค่อาศัยอำนาจของนายหญิงใหญ่ แม้แต่คุณหนูก็ไม่เคยเห็นหัว…จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะว่าตัวเองไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของนายหญิงใหญ่…ตอนที่คุณหนูใหญ่อยู่ที่บ้าน แม้ว่าตัวเองจะอายุยังน้อย แต่มีบางอย่างที่กลับจำได้อย่างชัดเจน มีครั้งหนึ่งคุณหนูใหญ่บอกว่าทังหยวนไส้ถั่วแดงกวนหวานเกินไป กัดไปครึ่งคำก็คายใส่ชาม แล้วอู่เหนียงก็ยกมากิน ซ้ำยังบอกอีกว่า ‘ดีที่คุณหนูใหญ่ไม่ชอบกิน เช่นนั้นก็เสร็จข้า’ ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนสุนัขส่ายหางไปมา… 

มือทั้งสองข้างของนางกำหมัดแน่น 

มีสาวใช้เดินเข้ามาถามว่า “คุณหนูห้า จะให้บ่าวจัดอาหารกลางวันที่ไหนเจ้าคะ” 

“มัวแต่คุยจนลืมดูเวลาเสียแล้ว” อู่เหนียงถอนหายใจยาว รอยยิ้มสดใสผุดขึ้นบนใบหน้า นางหยิบนาฬิกาออกมาดู “ดูเหมือนว่าจะสายไปบ้างแล้ว ทั้งสองท่านอยู่ทานอาหารกลางวันด้วยกันเถิด” แล้วหันไปสั่งสาวใช้คนนั้น “ไปบอกคนครัวว่าคุณหนูสิบเอ็ดกับป้าอู๋จะทานข้าวกับข้าที่นี่ ไปทำอาหารที่ทั้งสองท่านชอบทานมา” 

คิดว่าเรื่องนี้ยังไม่มีการตัดสินใจเป็นรูปเป็นธรรม หากกลับไปหานายหญิงใหญ่ก็ไม่รู้ว่าที่นั่นได้เตรียมข้าวไว้ให้นางหรือไม่ กลับไปกินข้าวที่บ้านตัวเองก็เกรงว่าจะทำไฟไหม้ข้าว อยู่กินข้าวกับคุณหนูห้าที่นี่เสียจะดีกว่า 

อู๋เซี่ยวเฉวียนยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนคุณหนูห้าเสียแล้ว” 

ทุกคนกินอาหารของส่วนรวม แต่ละมื้อจะได้รับการจำกัดปริมาณ หากต้องการเพิ่มอาหารก็ต้องจ่ายเงินเอง 

อู่เหนียงแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่จนหรอก” 

สืออีเหนียงกลับลังเลอยู่เล็กน้อย 

สาวใช้คนนั้นยังไม่ทันไป ทันใดนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “คุณหนูสิบเอ็ด ท่านกังวลเรื่องที่เรื่องในเรือนของท่านยังไม่เรียบร้อยใช่หรือไม่” 

สืออีเหนียงแอบตกใจเมื่อได้ฟังเช่นนี้ 

นางกำลังเป็นห่วงเรื่องในเรือนจริงๆ…แต่กลับไม่สามารถบอกกับอู่เหนียงได้  

กลัวว่านางจะคิดว่าตัวเองเห็นหู่พั่วสำคัญกว่านาง ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเรื่องจริงก็ตาม 

หลังจากได้ยิน อู่เหนียงก็หันไปมองสืออีเหนียง  

เพียงแต่ว่ายังไม่ทันให้สืออีเหนียงได้อธิบาย สาวใช้ผู้นั้นก็พูดขึ้นมาว่า “คุณหนูสิบเอ็ดอย่าได้กังวลไปเลย ท่านพี่ปินจวี๋ได้มาถึงนานแล้ว เห็นท่านกับคุณหนูของบ่าวกำลังสนทนากันจึงไม่กล้าเข้ามารายงาน ได้ยินนางบอกว่าพี่ตงชิงได้จัดการทุกอย่างในห้องของท่านเรียบร้อยแล้ว ห้องของพี่หู่พั่วก็ได้ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว รับนางไปที่หอลู่จวิน แล้วยังให้คนครัวเตรียมอาหารเพื่อต้อนรับพี่หู่พั่ว ท่านทานข้าวได้อย่างสบายใจกับคุณหนูของบ่าวที่นี่ได้เลย” 

น้ำเสียงของนางชัดเจน คล่องแคล่ว และพูดอย่างมีระเบียบ ทุกคนต่างจับจ้องไปที่นาง รวมทั้งอู่เหนียงด้วย 

เด็กสาวคนนั้นดูเหมือนว่าอายุจะไม่เกินแปดเก้าขวบ ยังไม่ได้ไว้ผม มีดวงตาสีเหมือนแอปริคอท และแก้มสีชมพูเหมือนลูกพีช สวมใส่เสื้อคลุมบางๆ สีเขียวอ่อนยืนอยู่ตรงนี้ สดใสนุ่มนวลเหมือนต้นกล้าที่แตกหน่อในเดือนสาม 

อู๋เซี่ยวเฉวียนรู้สึกชอบ ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่คือบุตรสาวใครกัน หน้าตาช่างน่ารัก พูดจาเฉลียวฉลาด” 

เด็กสาวยิ้มแล้วคุกเข่าคำนับ แนะนำตัวเองว่า “บ่าวมีนามว่าจั๋วเถา เนื่องจากว่าท่านพี่ชิวหลิงป่วย นายหญิงใหญ่จึงสั่งให้คนส่งกลับไปรักษาตัวที่บ้าน ป้าสวี่ได้จัดการให้บ่าวมาทำตำแหน่งที่ว่างของนาง จ้าวเซิ่งที่เป็นเสมียนบัญชีก็คือพี่ชายแท้ๆ ของบ่าว บ่าวได้มาอยู่กับคุณหนูห้า ได้เรียนรู้มารยาทจากพี่สาวทั้งหลาย จึงรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร บ่าวไม่อาจรับคำชมของท่านป้าได้” 

“จั๋วเถา” ป้าอู๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าดูแล้วเห็นว่าจะไม่เหมือนลูกท้อ แต่เหมือนต้นหลิวเสียมากกว่า!” 

จั๋วเถาฉลาดเป็นอย่างมาก รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ บ่าวเองก็คิดว่าชื่อนี้ไม่ดีเท่าไร ท่านช่วยคิดให้สักหนึ่งชื่อ ให้บ่าวได้รับพรจากท่านจะได้หรือไม่เจ้าคะ” 

คำพูดเพียงไม่กี่คำทำเอาใบหน้าของอู๋เซี่ยวเฉวียนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เกรงว่านี่จะไม่ใช่เรื่องของข้า เจ้าควรจะไปถามคุณหนูของเจ้า” 

จั๋วเถาไปนั่งคุกเข่าต่อหน้าอู่เหนียง “คุณหนูได้โปรดตั้งชื่อให้บ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ” 

“เจ้าไปเรียนกับใครมา” อู่เหนียงท่าทางทำตัวไม่ถูก “ผิวหนัง ร่างกายได้มาจากพ่อแม่ ชื่อก็เช่นกัน ในที่ของข้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ รีบไปห้องครัวแล้วยกอาหารมา” 

จั๋วเถาตอบรับแล้วเดินไปยกอาหาร 

อู๋เซี่ยวเฉวียนมองดูด้านหลังนาง ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เท่ากับว่า ‘ไม่ใช่คนในครอบครัว อย่าได้เข้ามาในบ้าน’ สาวใช้คนนี้พูดจาฉะฉาน” 

****** 

เมื่อทานข้าวเสร็จ สืออีเหนียงก็อดที่จะหาวไม่ได้ 

อู่เหนียงตกใจเล็กน้อย 

สืออีเหนียงพูดอย่างเขินอายว่า “ข้าชินกับการนอนในช่วงเวลานี้ของทุกวัน ไม่เว้นแม้กระทั่งฤดูหนาว ดังนั้นจึงไม่อยากอยู่ทานอาหารเย็นกับพี่หญิง…” 

ความรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยของอู่เหนียงที่ในตอนแรกสืออีเหนียงอยากจะกลับบ้านค่อยๆ หายไป นางยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็ไปนอนงีบบนเตียงข้าสักครู่เถิด” 

“ให้พี่จื่อเวยชงชาเข้มๆ ให้พวกเราเสียหน่อย” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “อย่างไรเสียก็ต้องรีบจัดการเรื่องม่านกันลม มิเช่นนั้นข้าก็นอนไม่หลับ” 

อู่เหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า เดินไปที่ห้องหนังสือกับสืออีเหนียงและอู๋เซี่ยวเฉวียน บอกให้จื่อเวยชงชาเข้มๆ มาให้ 

ทุกคนพูดคุยปรึกษาถึงรายละเอียดบางอย่างเรียบร้อยแล้ว อู๋เซี่ยวเฉวียนต้องการจะไปรายงานนายหญิงใหญ่ “นายหญิงใหญ่จะได้ไม่ต้องเป็นกังวล” นำต้นฉบับที่อู่เหนียงคิดว่าดีที่สุดไปด้วย 

อู่เหนียงมองออกจึงยืนขึ้นแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด จะได้ให้ท่านแม่ดูแบบร่างเหล่านี้ที่ข้าวาดเองด้วย เห็นว่าท่านแม่ชอบรูปนั้น น้องสิบเอ็ดเองจะได้ปักตามรูปนั้น” 

สืออีเหนียงยิ้มแห้ง 

สองคนนี้กำลังต่อสู้ในสังเวียน แต่ก็ลากนางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อย่างไรก็ตามนางก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธการตอบแทนเช่นนี้ 

“ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าท่านแม่จะชอบอันไหนมากที่สุด” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินไปหานายหญิงใหญ่กับพวกนาง 

มีสาวใช้คารวะพวกนางมาแต่ไกลพร้อมกับยกม่านขึ้นให้ 

เมื่อเดินเข้าไปด้านในก็เห็นอี๋เหนียงใหญ่กับอี๋เหนียงสอง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงหลัวฮั่นพูดคุยอยู่กับนายหญิงใหญ่ 

อี๋เหนียงใหญ่สกุลต้วนกับอี๋เหนียงสองสกุลหยวนต่างก็เป็นสาวใช้ของนายท่านใหญ่ หลังจากที่นายหญิงใหญ่แต่งเข้ามาเป็นภรรยาเอก ก็ได้รับและอุ้มชูอนุภรรยา อี๋เหนียงใหญ่ได้ให้กำเนิดคุณหนูสองกับคุณหนูสาม อี๋เหนียงสองได้ให้กำเนิดคุณชายสอง คุณหนูสองได้เสียชีวิตลงตอนอายุสามขวบ คุณชายสองก็มีอายุอยู่เพียงแค่สองวัน ส่วนคุณหนูสามร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็กจนโตมาอายุสิบห้าปี นายหญิงใหญ่เป็นคนตัดสินใจให้แต่งงานกับหลานชายอนุจากครอบครัวของฝั่งตัวเอง ยังไม่ถึงสามปีก็ป่วยตายเสียแล้ว ไม่ได้มีทายาทเหลือไว้ จึงต้องรับบุตรสาวของอนุมาเลี้ยงไว้เป็นคนคอยดูแลตัวเองยามแก่ 

หลังจากนั้นเป็นต้นมาอี๋เหนียงใหญ่ก็กินมังสวิรัติตามอี๋เหนียงสอง นายหญิงใหญ่เองก็เชิญอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านอาหารมังสวิรัติมาทำเตาเล็กๆ ให้อนุทั้งสอง เนื่องจากว่าพวกนางถือว่าเป็นฆราวาสในบ้าน จึงไม่ได้ปรนนิบัติรับใช้นายหญิงใหญ่มานานหลายปีแล้ว 

เหตุใดจู่ๆ วันนี้จึงได้มาพูดคุยกับนายหญิงใหญ่ 

สืออีเหนียงรู้สึกประหลาดใจแต่ไม่กล้าแสดงสีหน้าออกมา ยิ้มพลางคารวะนายหญิงใหญ่และอนุทั้งสองพร้อมกันกับอู่เหนียง จากนั้นก็เดินมาอยู่ด้านหลังอู่เหนียงแล้วยืนเงียบๆ  

อนุทั้งสองเริ่มแก่แล้ว เพียงแต่ว่าอี๋เหนียงใหญ่ค่อนข้างอวบอั๋น มองดูนุ่นนวลอ่อนโยน อี๋เหนียงสองค่อนข้างผอม มองดูเคร่งขรึมไปบ้างเล็กน้อย แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นอี๋เหนียงใหญ่หรืออี๋เหนียงสอง เมื่อได้เห็นคุณหนูสิบเอ็ดต่างก็พากันยิ้มให้นาง 

เมื่อนายหญิงใหญ่ได้เห็นก็ยิ้มเช่นกัน “นางก็แค่ช่วยพวกเจ้าปักพระไตรปิฎกไปถวายให้วัดฉืออาน แค่พวกเจ้าเห็นนางก็รู้สึกชอบแล้วหรือ” 

อี๋เหนียงใหญ่ยิ้มแล้วพูดว่า “นางยอมที่จะเรียนพระไตรปิฎกกับพวกเรา จะให้พวกเราไม่ชอบนางได้อย่างไรเจ้าคะ” 

คำพูดของอี๋เหนียงใหญ่ทำเอาสืออีเหนียงหน้าแดงเล็กน้อยจึงเอาแต่ก้มหน้า 

นายหญิงใหญ่มองดูสืออีเหนียงแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู 

อู่เหนียงโบกมือส่งสัญญาณให้อู๋เซี่ยวเฉวียนนำกระดาษต้นฉบับออกมา “นี่คือแบบร่างที่พวกเราได้ปรึกษากันไว้แล้ว ขอให้ท่านแม่ได้โปรดตัดสินใจด้วยเถิดเจ้าค่ะ” 

สาวใช้อีกคนของนายหญิงใหญ่ที่ชื่อว่าลั่วเชี่ยวรับต้นฉบับจากอู๋เซี่ยวเฉวียนไปมอบให้แก่นายหญิงใหญ่ 

นายหญิงใหญ่มองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่งให้อี๋เหนียงใหญ่ที่อยู่ข้างๆ “เจ้าช่วยข้าดูทีว่าจะเลือกอันไหนดี” 

อี๋เหนียงใหญ่รับมาดูอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วพูดว่า “นายหญิงใหญ่ก็รู้ว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ สายตาของข้าเริ่มแย่ลงแล้ว ให้อี๋เหนียงสองเป็นคนดูเถิด” 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท