เรื่องราวซับซ้อนกว่าที่สืออีเหนียงคิด
นางตัดสินใจที่จะนิ่งเงียบ
จากนั้นก็สั่งห้ามคนในเรือนของตัวเอง…หากไม่มีเรื่องอะไรก็ให้อยู่แต่ในห้อง ถึงแม้ว่ามีคนสนิทจะมาหาก็ไม่อนุญาตให้ออกไป
นางบอกให้ตงชิงไปที่เรือนของอี๋เหนียงห้า บอกว่าตัวเองจะปักม่านกันลม บอกอี๋เหนียงห้าว่าหากไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องมาที่หอลู่จวิน
โชคดีที่คนในเรือนของสืออีเหนียงต่างก็คุ้นเคยกับความถ่อมตัวของนางอยู่แล้ว อี๋เหนียงห้าก็คุ้นชินกับความห่างเหินของบุตรสาว แม้แต่หู่พั่ว นางก็เคารพคำสั่งของสืออีเหนียง อยู่เป็นเพื่อนชิวจวี๋ จู๋เซียงและพวกด้ายพวกเข็มทุกวัน
ในเรือนของพวกนางเงียบสงัด แต่ด้านนอกกลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
ประเดี๋ยวอู่เหนียงก็วาดรูปพระโพธิสัตว์กวนอิมให้นายหญิงใหญ่ หน้าตาของพระโพธิสัตว์เหมือนกับนายหญิงใหญ่อย่างกับแกะ นายหญิงใหญ่ชอบเป็นอย่างมาก บอกให้คนเอาไปแขวนไว้ที่ที่พักของตนเอง เมื่อคุณนายสามของจวนตะวันตกมา นางก็พาคุณนายสามไปดูภาพวาด ให้คุณนายสามได้ชมเชย ประเดี๋ยวสือเหนียงก็ไปท่องคัมภีร์กับนายหญิงใหญ่ แม่ชีฮุ่ยเจินผู้ดูแลวัดฉืออานมาหานายหญิงใหญ่ สือเหนียงยังสามารถบรรยายคัมภีร์กับแม่ชีฮุ่ยเจินได้ แม่ชีฮุ่ยเจินชมเชยบอกว่าสือเหนียงคือกวนอิมกลับชาติมาเกิด นายหญิงใหญ่ชอบอกชอบใจ นางมอบสายลูกประคำไม้กฤษณาให้สือเหนียง ประเดี๋ยวก็สือเอ้อร์เหนียง ใช้ผ้าไหมทำเป็นดอกไม้ต่างๆ นาๆ ให้นายหญิงใหญ่ ตอนนั้นนายหญิงใหญ่ถืออยู่ในมือ นางแยกไม่ออกว่าเป็นของจริงหรือของปลอมต้องใช้มือลูบคลำดู…มีก็แค่สืออีเหนียง ที่เอาแต่ปักผ้าม่านอยู่ในเรือนอย่างเงียบๆ
ป้าชินกับป้าถังกลับไปที่พักของตัวเองก็มักจะได้ยินท่านป้าของสือเหนียงกับสือเอ้อร์เหนียงพูดคุยกันเรื่องที่คุณหนูของตัวเองไปหานายหญิงใหญ่ ทำให้นายหญิงใหญ่ชอบอกชอบใจอย่างมีความสุข โดยเฉพาะป้าสองคนของสือเหนียง เมื่อก่อนถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะมีหน้ามีตาไม่เท่าคุณหนูห้า แต่เมื่อเทียบกับคุณหนูสิบนั้น ต่างกันราวฟ้ากับเหว ทั้งสองคนก็มักจะถอนหายใจกับความดื้อรั้นของสือเหนียง บอกว่าตัวเองอยู่กับคุณหนูผิดคน แต่ใครจะไปรู้ คุณหนูสิบราวกับเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน ไม่เพียงแค่ปราบคุณหนูสิบเอ็ดได้ แม้แต่คุณหนูห้า ในตอนนี้อยู่ต่อหน้าคุณหนูสิบก็ไม่เย่อหยิ่งเหมือนแต่ก่อนแล้ว ท่านป้าทั้งสองคนราวกับมองเห็นความหวังอีกครั้ง แน่นอนว่าพวกนางเอาแต่พูดถึงเรื่องนี้ แล้วยังมีท่านป้าสองคนของคุณหนูสิบสองหัวเราะอยู่ข้างๆ “จะว่าไป คุณหนูสองสามท่านที่ยังไม่ได้แต่งงาน คุณหนูสิบสองยังเด็ก นับรวมไม่ได้ คุณหนูห้า คุณหนูสิบ คุณหนูสิบเอ็ด ดูใบหน้าที่งดงามเหล่านั้น หากงดงามที่สุดก็คงจะเป็นคุณหนูสิบ แต่ว่าเมื่อก่อนนางร่างกายอ่อนแอ ไม่ค่อยได้ไปหานายหญิงใหญ่ ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว หน้าตางดงาม มีพรสวรรค์ นายหญิงใหญ่ก็ต้องชอบเป็นธรรมดา”
ป้าสองคนของสือเหนียงฟังอย่างชอบอกชอบใจ เอาเงินห้าร้อยเหวินให้ห้องครัว เลี้ยงพวกนางดื่มเหล้า แล้วยังพูดว่า ‘ในที่สุดก็มีวันนี้’ หูของป้าชินและป้าถังที่ได้ยินไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสองคนรู้ว่าตงชิงปักม่านอยู่กับสืออีเหนียง พวกนางไม่กล้าไปหา จึงลากสาวใช้สองคนมาพูด “บอกว่าขึ้นสิบห้าค่ำเดือนหนึ่งไปคารวะนายหญิงใหญ่แล้ว แต่เจ้าลองคิดดู ตั้งแต่ปักม่านนี้ก็ผ่านมาแล้วเป็นเดือน ไปคารวะนายหญิงใหญ่แค่ขึ้นสิบห้าค่ำเดือนหนึ่ง วันที่หนึ่งเดือนหน้าก็ปีใหม่แล้ว ทุกคนจะต้องไปคารวะนายหญิงใหญ่ เช่นนั้นก็เสียเปรียบไปแล้วหนึ่งครั้ง รอถึงเทศกาลหยวนเซียว[1] ทุกคนก็ต้องอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เสียบเปรียบไปอีกหนึ่งครั้ง…เป็นเช่นนี้ต่อไป หากรอให้ถึงวันที่คารวะได้ทุกวัน เกรงว่าคงจะปักม่านเสร็จกันพอดี”
ชิวจวี๋ก็กระวนกระวาย นางพูดด้วยสีหน้าที่ขมขื่น “จะทำเช่นไรได้เจ้าคะ หรือจะให้คุณหนูไม่สนใจม่านผืนนั้น! ท่านก็ไม่ดูว่าคุณหนูเย็บปักทั้งวันทั้งคืนกว่าจะได้พักผ่อน มีเวลาที่ไหนกัน!”
แม่ของจู๋เซียงเสียชีวิตไปตั้งแต่นางยังเด็ก พ่อก็แต่งงานใหม่ ถึงแม่ว่าแม่เลี้ยงไม่เคยทุบตีดุด่านาง แต่ก็ไม่เคยทำสีหน้าดีใส่นางสักครั้ง หากไม่ใช่เพราะว่าแม่แท้ๆ ของนางเคยปรนนิบัติรับใช้นายหญิงใหญ่กับอี๋เหนียงห้า อี๋เหนียงเห็นแก่ความสัมพันธ์กับแม่ของนาง นางถึงได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในจวน แต่ถึงแม้นางจะได้เข้ามาทำงานในจวนแต่นางก็ไม่ได้คอยดูแลคุณหนู แล้วยังได้เงินเดือนสาวใช้ระดับสาม
เห็นว่าทุกคนล้วนแต่เป็นกังวล นางที่ไม่ค่อยชอบพูดชอบจาก็อดไม่ได้ที่จะปลอบใจทุกคน “พี่ๆ กับท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วง นายหญิงใหญ่ให้ช่างตัดเสื้อผ้าให้แค่คุณหนูห้าและคุณหนูสิบเอ็ดของเราก่อน เช่นนี้ คุณหนูของเราก็ยังถือว่ามีหน้ามีตาไม่น้อย”
หู่พั่วมาหาชิวจวี๋พอดี นางจะมาบอกให้นางไปยกกล่องอาหาร ได้ยินคำพูดที่ชิวจวี๋พูด นางก็พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็แอบดูว่าพวกนางจะพูดอะไรอย่างเงียบๆ
“นายหญิงใหญ่บอกว่าจะปีใหม่แล้ว เรื่องของที่จวนมีมากมาย จึงรอให้ผ่านปีใหม่ไปแล้วคอยตัดเสื้อผ้าของคุณหนูสิบกับคุณหนูสิบสองไม่ใช่หรือ” ป้าชินพูดออกมา “มีหน้ามีตาเช่นไรกัน?”
“ท่านป้าสับสนไปแล้ว!” ชิวจวี๋กลับมามีสติอีกครั้ง นางยิ้มและอธิบายว่า “คุณหนูของเราได้ตัดเสื้อผ้าก่อนคุณหนูสิบ บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่นายหญิงใหญ่ชดเชยให้กับความลำบากในช่วงนี้ของคุณหนูของเรา! ต่อไปเหล่าท่านป้าอย่าได้ฟังท่านป้าเหล่านั้นพูดอะไรเหลวไหลเลยเจ้าค่ะ”
ป้าชินและป้าถังต่างก็คิดว่าที่ชิวจวี๋พูดมีเหตุผล พวกนางพยักหน้า “ไม่แปลกที่คุณหนูบอกให้พวกข้าอย่าพูดกับคนอื่นมากนัก อย่าไปมาหาสู่กับคนอื่นมากนัก คุณหนูคงจะรู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดเรื่องเช่นนี้”
หู่พั่วกำลังฟังอย่างเคลิ้มๆ จู่ๆ ก็มีคนตะโกนมาจากข้างหลังนาง “แม่นางหู่พั่ว!”
นางหันไปมอง ก็เห็นผู้หญิงหน้าตาสวยงามคนหนึ่งพาสาวใช้อายุสิบเจ็ดสิบแปดยืนยิ้มอยู่ที่ประตู ในมือของทั้งสองคนยังถือห่อผ้าสีฟ้าอยู่ด้วย
นึกถึงตอนที่ตัวเองกำลังแอบฟังถูกสองคนนี้จับได้แล้ว หู่พั่วก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนหน้าแดง นางรีบเดินไปข้างหน้า เดินไปได้ระยะที่พอสมควรแล้วก็ยิ้มแล้วพูดว่า “สะใภ้หลิว พี่หันเซี่ยว เหตุใดพวกท่านถึงมาที่นี่เจ้าคะ!”
“เรานำเสื้อผ้าของคุณหนูสิบเอ็ดที่ตัดเสร็จแล้วมาให้” ผู้หญิงคนนั้นยิ้มพลางตอบ “คิดไม่ถึงว่าเดินเข้ามาก็เจอกับแม่นางหู่พั่ว เยี่ยมไปเลย”
หู่พั่วรีบช่วยสะใภ้หลิวและหัวเซี่ยวเปิดม่าน “รบกวนท่านสองคนเอามาให้ด้วยตัวเอง”
“เราก็รับคำสั่งมาจากนายหญิงใหญ่” สะใภ้หลิวและหันเซี่ยวเข้ามาในเรือน วางห่อผ้าลงบนโต๊ะกลมตรงกลางห้อง “บอกให้ข้าเอามาให้แม่นางเองกลับมือ”
หู่พั่วยุ่งอยู่กับการรินชาให้สะใภ้หลิวและหันเซี่ยว
สะใภ้หลิวห้ามนางเอาไว้ “ไม่เป็นไร ข้ายังมีงานที่ต้องไปทำอีกมากมาย ไม่มีเวลาจริงๆ หากข้ามีเวลาข้าจะมาเยี่ยมคุณหนูสิบเอ็ดอีกครั้ง” นางพูดพร้อมกับจะเดินออกไปให้ได้
ปินจวี๋กำลังนั่งรวบรวมลายปักที่เคยสะสมไว้บนเตียง ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวนางก็เดินออกมาช่วยหู่พั่วต้อนรับแขก
สะใภ้หลิวเห็นว่าพวกนางจริงใจ และนึกถึงเสื้อผ้าที่อยู่ในห่อผ้า นางจึงยิ้มและพูดว่า “บอกแม่นางทั้งสองตามความจริง ข้ากำลังจะตัดเสื้อให้จุนเกอ…เหมือนกับคุณหนูของพวกเจ้า รอช้าไม่ได้!”
ในเมื่อรอช้าไม่ได้ แล้วยังจะเอาเสื้อผ้ามาให้ด้วยตัวเอง!
ทั้งสองคนรู้สึกว่ามันแปลกๆ ยิ่งเห็นว่าสะใภ้หลิวไม่อยากอยู่ต่อ จึงต้องส่งพวกนางออกไปจากหอลู่จวิน
กลับเข้ามาในเรือน เปิดห่อผ้าดู หู่พั่วกับปินจวี๋ต่างก็ตกใจ
สวยงามราวกับดอกเถาฮวา สดใสราวกับฟ้าหลังฝน ขาวราวกับพระจันทร์ที่สว่างไสว แล้วยังมีสีขาวสีแดง… มันคือเนื้อผ้าหายากที่มีแค่นายหญิงใหญ่เท่านั้นที่มี
ทั้งสองคนหันหน้ามามองหน้ากัน เปิดดูเสื้อกั๊กยาวสีเขียวที่วางอยู่ข้างบนสุด
หน้าอก แขนเสื้อ ความยาวและเอว ลายดอกปิงเหมยเหวิน ขอบผ้าปักด้วยลายดอกกุหลาบและผีเสื้อสีทอง ตรงหน้าอกติดกระดุมหยกสีขาวสามเม็ด
ทั้งสองคนถอนหายใจพร้อมกัน
ชุดเสื้อผ้าแบบใหม่เช่นนี้ ฝีมือประณีตเช่นนี้ พวกนางไม่เคยเห็นมาก่อน
หู่พั่วราวกับกำลังถือมันร้อนๆ นางรีบมัดห่อผ้าที่กระจัดกระจาย “เร็วเข้า เอาไปใส่ไว้ในกล่องของคุณหนู”
ปินจวี๋สีหน้าซีดเซียว
คุณหนูเคยพูดว่า ‘ปืนมักจะยิงนกที่ยื่นหัวออกมา หากไม่อยากถูกคนยิง ก็อย่าทำตัวเป็นนกที่ยื่นหัวออกมา’
หากสวมเสื้อผ้าชุดนี้ออกไป เกรงว่าจะไม่ใช่เป็นแค่นกที่ยื่นหัวออกไป แต่คงเป็นนกยูงที่กำลังรําแพน
นางรีบถือห่อผ้าอีกใบเข้าไปในห้องนอนกับหู่พั่ว
“พวกเจ้าเป็นอะไรกัน” ตงชิงนั่งช่วยสืออีเหนียงแยกด้ายอยู่ข้างๆ และสืออีเหนียงกำลังเย็บปัก นางไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง
ปินจวี๋เอาเสื้อผ้าที่อยู่ในมือให้ตงชิงดู “เมื่อครู่สะใภ้หลิวเป็นคนเอามา บอกว่ามันคือเสื้อผ้าชุดใหม่ที่พึ่งตัดเสร็จ”
“เป็นไปได้เช่นไร” เสียงของตงชิงสั่นคลอน
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมา
เห็นเสื้อผ้าชุดนั้น นางก็ตกใจ
หู่พั่วเดินไปข้างหน้า เดินไปกระซิบข้างหูสืออีเหนียง เล่าคำพูดที่สะใภ้หลิวพูดเมื่อครู่ให้สืออีเหนียงฟัง
สืออีเหนียงเงียบไปพักหนึ่ง นางลุกขึ้นและพูดว่า “ข้าลองดู ลองดูว่าใส่ได้พอดีหรือไม่”
หู่พั่วรีบเข้ามาช่วยสืออีเหนียงถอดเสื้อผ้า เหลือแค่ชุดชั้นในและสวมเสื้อผ้าชุดนั้นให้
เสื้อผ้าไหมสีขาว กระโปรงสีเหลือง เสื้อกั๊กยาวสีเขียว ขอบผ้าปักลายดอกกุหลาบและผีเสื้อสีทอง ทำให้สีที่ดูเรียบง่ายสดใสมากขึ้น
สืออีเหนียงยืนอยู่หน้ากระจก จับกระดุมหยกสีขาวที่หน้าอกและถอนหายใจ “พวกเจ้าว่า สีหน้าของข้าแย่กว่าแต่ก่อนมากหรือไม่”
ตงชิงและปินจวี๋ตกใจ พากันมองดูสีหน้าของสืออีเหนียง หู่พั่วยิ้มและพูดว่า “หรือท่านอยาจะลองใช้ผงหูเฝิ่น ว่ากันว่านี่คือของในพระราชวัง ในตลาดกล่องหนึ่งสิบสองตำลึง นายหญิงใหญ่ของเราก็ใช้ผงนี้”
สายตาของสืออีเหนียงเป็นประกาย นางพูดว่า “หรือว่า ข้าจะลองตัดผมหน้าม้า?”
หู่พั่วยิ้ม “นายหญิงใหญ่ไม่ชอบคนตัดผมหน้าม้าเป็นที่สุดเจ้าค่ะ นางบอกว่าเอาผมมาบังหน้าบังตา แล้วยังดูขี้ขลาดตาขาว ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนคุณหนูห้าชอบตัดผมหน้าม้า นายหญิงใหญ่สั่งให้คนทำหวีกลับด้านให้คุณหนูห้าใช้”
สืออีเหนียงหัวเราะ ถอดเสื้อผ้าชุดนั้นออกแล้วให้หู่พั่วเอาไปเก็บไว้ “ในเมื่อเป็นเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิ ก็ต้องใส่ตอนฤดูใบไม้ผลิ”
******
ถึงแม้ว่าจะเหลืออีกสองสามวันกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิ แต่เทศกาลตรุษจีนก็กำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้
ทำความสะอาดเรือน บูชาเทพเจ้า บูชาบรรพบุรุษ ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่… คืนส่งท้ายปีเก่าสืออีเหนียงกินอาหารกับทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตา เช้าวันแรกของปีไปคารวะนายหญิงใหญ่ เวลาที่เหลือก็ปักม่านอยู่ในเรือน ความคึกคักและความสนุกสนานของเทศกาลตรุษจีนไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนาง เมื่อถึงเทศกาลโคมไฟ สกุลหลัวก็เหมือนกับทุกๆ ปี มื้อเย็นกินบัวลอย ให้ป้าและองครักษ์ของแต่ละเรือนคอยเฝ้าเรือนเอาไว้ ปล่อยให้เหล่าสาวใช้ บุตรสาวและลูกสะใภ้ออกไปเที่ยวข้างนอก ชิวจวี๋ก็ไปเดินเล่นกับตู้เวยและคนอื่นๆ แต่ตอนกลับมานางมีถุงผ้าเพิ่มมาที่เอวอีกหนึ่งถุง
[1] เทศกาลหยวนเซียว หรือ เทศกาลโคมไฟ เป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญของจีน อาคารบ้านเรือนต่างๆ นิยมประดับประดาโคมไฟหลากสีสัน และมักให้เด็กๆ ถือโคมไฟรูปสัตว์ หรือผลไม้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีในวัฒนธรรมจีน