เห็นว่านายหญิงใหญ่ถาม สืออีเหนียงก็ยืนขึ้นมาตอบกลับด้วยความเคารพ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ” พูดต่อว่า “แต่ทำเป็นแค่ผิวเผิน”
นายหญิงใหญ่เห็นท่าทีที่เคารพนับถือของนาง นางจึงพยักหน้าเบาๆ
“วันที่ยี่สิบสี่เดือนสี่เป็นวันเกิดของไท่ฮูหยินของจวนหย่งผิงโหว ข้าให้พี่หญิงห้าของเจ้าเขียนตัวอักษรคำว่า ‘อายุ’ รูปแบบต่างๆ หนึ่งร้อยตัว ถึงตอนนั้นเจ้าก็ใช้ ‘งานปักสองด้าน’ ปักม่านกันลมสักผืนหนึ่ง นำไปเป็นของขวัญวันเกิดให้ไท่ฮูหยินที่เยี่ยนจิง”
หลัวหยวนเหนียง คุณหนูใหญ่แห่งสกุลหลัวแต่งงานกับหย่งผิงโหว[1] สวีลิ่งอี๋
ไท่ฮูหยินของจวนหย่งผิงโหวก็คือแม่สามีของหลัวหยวนเหนียง กลายมาเป็นเครือญาติของนายหญิงใหญ่
ลูกชายคนโตของสกุลสวีตายไปแล้ว ลูกชายคนที่สองก็ป่วยตาย ลูกชายคนที่สามเป็นลูกอนุ สวีลิ่งอี๋จึงได้สืบทอดบรรดาศักดิ์มาโดยไม่คาดคิด เนื่องจากสองปีก่อน พี่สาวของสวีลิ่งอี๋ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮาจากฮ่องเต้องค์ใหม่ สกุลสวีกลายเป็นตระกูลที่มีอำนาจขึ้นมาทันที ตำแหน่งหย่งผิงฮูหยินของหลัวหยวนเหนียงก็สูงขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมขอบรรดาสตรีที่เยี่ยนจิงหรือสกุลหลัวที่อยู่เจียงหนาน ก็ล้วนแต่มีอำนาจ และของขวัญวันเกิดของไท่ฮูหยิน ก็กลายเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้นายหญิงใหญ่ต้องรับมือ
เมื่อรู้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ถึงแม้ว่าลูกจะปักงานปักสองด้านเป็น แต่ฝีมือของลูกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ที่เยี่ยนจิงมีคนมีพรสวรรค์ตั้งมากมาย ถึงตอนนั้นเกรงว่าข้าจะทำให้พี่หญิงใหญ่ขายหน้า…”
นางยังพูดไม่จบ นายหญิงใหญ่ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “หากพูดถึงเรื่องฝีมือ ใครจะเทียบช่างเย็บในพระราชวังได้ เราส่งม่านกันลมไป ก็แค่เป็นการแสดงความจริงใจเท่านั้นเอง”
ก็จริง ไม่ว่าฝีมือของตัวเองจะดีแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางดีไปกว่าช่างเย็บปักถักร้อยที่ได้รับการคัดเลือกมาจากทั่วประเทศ สิ่งของที่สกุลหลัวส่งไปแม้ว่าจะมีค่ามากแค่ไหน ก็ไม่มีทางมีค่ามากกว่าของขวัญของฮ่องเต้
สืออีเหนียงเข้าใจแล้ว นางยิ้มแล้วถามนายหญิงใหญ่ “ไม่รู้ว่าท่านแม่จะให้คนนำของขวัญวันเกิดส่งไปที่เยี่ยนจิงเมื่อไรเจ้าคะ”
“วันที่หกเดือนสาม” นายหญิงใหญ่ยิ้ม “ข้าดูปฏิทินแล้ว วันที่หกห้ามออกไปทางทิศตะวันตก ห้ามสร้างบ้านสร้างเรือน แต่ออกไปพบปะเพื่อนฝูงได้ หากออกไปเร็วกว่านี้ไม่มีวันที่ดีเช่นนี้แล้ว หากออกไปช้ากว่านี้ก็เกรงว่าจะล่าช้าเกินไป”
สืออีเหนียงครุ่นคิด สีหน้าของนางลังเล
นายหญิงใหญ่เห็นเช่นนี้นางจึงถามด้วยความเป็นห่วง “มีอะไรลำบากใจหรือไม่”
สืออีเหนียงลังเลก่อนจะพูดว่า “งานปักสองด้านนี้ไม่ได้ง่ายเท่าการปักด้านเดียว ต้องใช้เวลามากกว่างานปักแบบด้านเดียวถึงสามเท่า…ข้าคิดดูแล้วมันเร็วไปหน่อยเจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นควรทำเช่นไร” นายหญิงใหญ่ขมวดคิ้ว “ข้าคิดมาตั้งครึ่งเดือน หากเป็นเช่นนี้ คงต้องเลือกของขวัญวันเกิดชิ้นใหม่เช่นนั้นหรือ ไม่รู้ว่าจะทันหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะทัน แต่จะให้ของขวัญอะไรดี!”
รากเหง้าบรรดาศักดิ์ของสกุลหลัวอยู่ที่นั่น ถึงแม้จะไม่มีของหายากอะไร หาของมงคลเป็นของขวัญวันเกิดก็คงจะไม่ใช่เรื่องยาก? หรือว่าวันเกิดครั้งนี้ของไท่ฮูหยินแห่งจวนหย่งผิงโหวมีอะไรพิเศษ…
สืออีเหนียงครุ่นคิด ลืมตาขึ้นเหลือบมองอู่เหนียงอย่างรวดเร็ว
นางนั่งถือถ้วยชาอยู่ข้างๆ นายหญิงใหญ่ นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ตรงนั้น เมินเฉยต่อคำพูดของนายหญิงใหญ่
หัวใจของสืออีเหนียงสั่นไหวอย่างไม่รู้ตัว
นายหญิงใหญ่ให้นางปักคำว่า ‘อายุ’ สองด้านมันไม่ใช่เรื่องง่าย ให้อู่เหนียงเขียนตัวอักษรคำว่า ‘อายุ’รูปแบบต่างๆ หนึ่งร้อยตัวก็ยากพอๆ กัน เรื่องยากเช่นนี้วางอยู่ตรงหน้า คนที่มีความคิดรอบคอบมาตลอดอย่างอู่เหนียงกลับนิ่งเงียบ
ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่อู่เหนียงเป็นคนพยุงนายหญิงใหญ่เดินออกมา
หากเป็นเช่นนี้ อู่เหนียงคิดว่ามันไม่ยากจึงรับปากไปแล้ว หรือไม่นางก็คิดว่ามันยาก แต่เมื่อเทียบกับการปักตัวอักษร ‘อายุ’ หนึ่งร้อยตัว มันยากกว่าการเขียนตัวอักษร ‘อายุ’ หนึ่งร้อยตัว นางรอให้สืออีเหนียงเป็นคนปฏิเสธ เช่นนี้ นายหญิงใหญ่จึงจะคิดว่าสาเหตุที่ทำให้เรื่องนี้ไม่สำเร็จก็เพราะสืออีเหนียง
ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร แต่สถานการณ์ตอนนี้นางปฏิเสธไม่ได้
แล้วอีกอย่าง นางก็ไม่ได้ตั้งใจจะปฏิเสธนายหญิงใหญ่
แต่แค่ไม่อยากรับปากไปง่ายๆ ทำให้นายหญิงใหญ่คิดว่าการปักตัวอักษร ‘อายุ’ หนึ่งร้อยตัวเป็นเรื่องง่าย แล้วไม่สนใจความลำบากของนาง…
ความคิดนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
นางครุ่นคิด “หากว่า ให้อาจารย์เจี่ยนช่วย… ”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า!” ไม่รอให้สืออีเหนียงพูดจบ นายหญิงใหญ่ก็ปฏิเสธข้อเสนอของนางทันที “ของขวัญชิ้นนี้มอบให้เพื่อแสดงความจริงใจของสกุลหลัว ให้คนอื่นปัก มันจะมีความหมายอะไร”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็หน้าแดงขึ้นมา จากนั้นก็พูดว่า “ลูกผิดไปแล้ว ท่านแม่โปรดให้อภัย”
นายหญิงใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจ
สืออีเหนียงเห็นท่าทีไม่สบายใจของนางจึงรีบพูดว่า “เช่นนั้น ให้ลูกลองดู…”
สายตาของนายหญิงใหญ่เป็นประกายขึ้นมา “เจ้ามั่นใจแค่ไหน”
สืออีเหนียงลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมาเบาๆ “ข้าตื่นเช้าหน่อย เข้านอนดึกหน่อย ให้ตงชิงคอยช่วยร้อยเข็ม…อาจจะเร็วขึ้น” ท่าทางไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่
นายหญิงใหญ่ครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
ท่าทางของสืออีเหนียงดูหดหู่
อู่เหนียงจึงยิ้มและพูดว่า “ข้าก็จะตื่นเช้าเข้านอนดึกเช่นกัน ข้าจะเขียนตัวอักษร ‘อายุ’ หนึ่งร้อยตัวให้เสร็จภายในสองวัน ไม่รู้ว่าน้องหญิงสิบเอ็ดมีความมั่นใจมากขึ้นหรือไม่”
สืออีเหนียงได้สติ นางยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีข้าคิดว่าพี่หญิงห้าต้องใช้เวลาครึ่งเดือน หากใช้เวลาแค่สองวัน เช่นนั้นก็คงจะทัน”
นางคิดเพียงว่า ถึงตอนนั้นจะแกะรอยตัวอักษร ‘อายุ’ ที่อู่เหนียงเขียนออกเป็นสองชุด ให้อาจารย์เจี่ยนหาคนปักหนึ่งชิ้น ตัวเองปักเองหนึ่งชิ้น ใครปักเสร็จก่อนก็ส่งของคนนั้นไป หากนายหญิงใหญ่สงสัย นางไม่มีทางเอ่ยปากแน่นอน นายหญิงใหญ่ยังจะหาคนมาพิสูจน์เช่นนั้นหรือ ถึงแม้ว่านางจะหาคนมาพิสูจน์ อาจารย์เจี่ยนก็จะยอมขายตัวเองเช่นนั้นหรือ
นายหญิงใหญ่ได้ยินเช่นนี้นางก็ดีใจขึ้นมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าสองพี่น้องก็ร่วมมือกัน ปักม่านกันลมให้สำเร็จ มันก็เป็นหน้าเป็นตาให้พวกเจ้าเช่นกัน ให้ชาวเยี่ยนจิงเห็นว่าลูกสาวสกุลหลัวของข้าไม่เพียงแต่รู้เรื่องหนังสือตำราเรียน แต่ยังรู้จักเรื่องความเคารพและมารยาท”
คำสอนของสกุลหลัวที่เขียนโดยจีกง บรรพบุรุษของสกุลหลัว ก่อนลูกสาวของตระกูลจะอ่านออกเขียนได้ให้อ่าน ‘สอนสตรีของจีกง’ จากนั้นอ่าน ‘บัญญัติสตรี’ และ ‘สอนภายใน’ สองประโยคนี้ก็คือเนื้อหาข้างในนั้น แต่นายหญิงใหญ่เอาออกมาให้ตอนนี้ ที่นี่ สืออีเหนียงฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ!
แต่ใครจะโง่ไปถามนายหญิงใหญ่?
สืออีเหนียงและอู่เหนียงยืนขึ้นโค้งคำนับนายหญิงใหญ่ และตอบด้วยความเคารพว่า “เจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่พอใจกับท่าทีของทั้งสองคนเป็นอย่างมาก นางพยักหน้าเบาๆ ราวกับว่านึกอะไรขึ้นได้ หันไปถามอู๋เซี่ยวเฉวียน คนดูแลรับใช้ที่อยู่ข้างๆ ว่า “ข้าจำได้ว่า แม่นมของสืออีเหนียงยังอยู่ที่ฝูเจี้ยน”
อู๋เซี่ยวเฉวียนรีบเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ตอนนั้นแม่นมของสืออีเหนียงไม่ยอมออกมาจากบ้านเกิด นางจึงไม่กลับมาด้วยเจ้าค่ะ”
“อืม!” นายหญิงใหญ่พยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นก็ให้หู่พั่วไปปรนนิบัติรับใช้สืออีเหนียงที่เรือน”
สืออีเหนียงตกใจ
ส่งหู่พั่วมาที่เรือนของนาง แล้วตงชิงล่ะ?
หรือว่าป้าเหยาเป่าหูนายหญิงใหญ่บอกให้ตงชิงแต่งงานกับหลานชายของนางได้แล้ว ดังนั้งนายหญิงใหญ่จึงส่งหู่พั่วมาแทน ให้พวกนางได้คุ้นเคยกัน เมื่อตงชิงแต่งออกไปแล้วเรือนของนางก็จะได้ไม่วุ่นวาย
คิดเช่นนี้ ในใจของสืออีเหนียงราวกับถูกคลื่นซัด นางรู้สึกไม่พอใจ
เวลาสามปี กว่านางจะปลูกฝังความผูกพันกับคนรอบข้างได้ ให้พวกนางทำตามความต้องการของตัวเอง แต่จู่ๆ นายหญิงใหญ่กลับส่งสาวใช้ของตัวเองมาให้นาง…ส่งมาอยู่ใกล้ชิดกับนางเช่นนี้ ถึงแม้ว่าไม่ได้คิดร้ายอะไร แต่มันก็ทำให้นางไม่สบายใจ
แต่นางกลับไม่กล้าแสดงอาการอะไรออกมา ไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย นางถามด้วยสีหน้าที่ตกใจ “ท่านแม่ ทำเช่นนี้ได้เช่นไรเจ้าคะ พี่หู่พั่วเป็นคนของท่าน เอามาให้ข้า แล้วท่านล่ะเจ้าคะ”
นายหญิงใหญ่ยิ้ม โบกมือบอกให้นางไม่ต้องพูดอะไรอีก
“คุณหนูในจวนของเรา สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติรับใช้ต้องเป็นตามที่กำหนดไว้” นางพูดกับสาวใช้และอู๋เซี่ยวเฉวียนที่อยู่ข้างๆ อย่างเคร่งขรึม “ต้องมีสาวใช้สี่คน แม่นมหนึ่งคน และผู้ดูแลอีกสองคน ตอนนี้แม่นมของสืออีเหนียงอยู่ที่ฝูเจี้ยน ข้าเพิ่มสาวใช้ให้นางคนหนึ่งแทนแม่นม…ก็ไม่ถือว่าผิดกฎ”
คนรอบข้างต่างพูดขึ้นมาว่า “นายหญิงใหญ่พูดถูกเจ้าค่ะ นายหญิงใหญ่พิจารณาได้รอบคอบเจ้าค่ะ” อู๋เซี่ยวเฉวียนยิ้มแล้วพูดว่า “ตามกฎแล้ว นายหญิงใหญ่ควรจะแทนที่ตำแหน่งนี้ให้สืออีเหนียงตั้งนานแล้ว วันนี้พึ่งจะมาเอ่ยถึง ไม่รู้ว่าอยากจะประหยัดเงินเดือนสักสองสามปีหรือคิดไม่ถึงจริงๆ”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะขึ้นมา
นายหญิงใหญ่ก็หัวเราะเช่นกัน
อู๋เซี่ยวเฉวียนผู้ดูแลสกุลหลัว บุตรของสกุลสวี หรือคนคอยรับใช้นายหญิงใหญ่
สำหรับคนเหล่านี้ นางใจกว้างกับพวกเขามาโดยตลอด!
ทุกคนหัวเราะกันอยู่พักหนึ่ง นายหญิงใหญ่มองไปที่สืออีเหนียง “สำหรับตงชิงที่อยู่กับเจ้า…” นางหยุดชะงัก
หรือเพราะการมาของหู่พั่วทำให้นางมีสติขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ทำให้นางรู้ว่าปราสาทที่นางสร้างขึ้นมาด้วยพละกำลังทั้งหมดของตัวเอง เมื่อมันมาอยู่ต่อหน้านายหญิงใหญ่ ไม่ใช่สิ หรือว่า เมื่อมันมาอยู่ในเงื้อมมือของคนที่มีอำนาจมากกว่า ปราสาทหลังนั้นมันอ่อนแอแค่ไหน สืออีเหนียงที่สงบสติอารมณ์ได้เสมอ แต่จู่ๆ กลับกลายเป็นคนใจร้อน การที่หยุดชะงักไปพักหนึ่ง ทำให้นางเหงื่อออกทั่วแผ่นหลังอย่างกะทันหัน หัวใจของนางเต้นแรง
ที่แท้ นี่ก็คือความรู้สึกที่ว่า เขาคือคนที่มีอำนาจ ชี้ต้นตายชี้ปลายเป็น แต่ข้าเองเป็นแค่เนื้อที่อยู่บนเขียง
มือที่วางอยู่ข้างกระโปรงของสืออีเหนียงกำหมัดแน่น แม้แต่เล็บแทงเข้าไปที่เนื้อก็ไม่รู้สึกเจ็บ
ต้องหาวิธีเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของตัวเอง…ความรู้สึกที่ให้คนอื่นมาควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองมันอึดอัดเกินไป!
“…ปล่อยนางไปเถิด ให้นางคอยปรนนิบัติรับใช้เจ้า ให้เจ้าได้ปักม่านอย่างอย่างสบายใจ” เสียงของนายหญิงใหญ่ราวกับล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าอันแสนไกล แต่ก็ราวกับอยู่ใกล้แค่ข้างหู ทำให้หัวของนางมึนงง “หู่พั่วเป็นคนมีความสามารถ มีนางคอยปรนนิบัติรับใช้เจ้า ข้าก็วางใจ ต่อไปเรื่องของเรือนเจ้าก็ให้นางเป็นคนจัดการซะ!”
เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว นางไม่สามารถต่อต้าน และก็ไม่คิดที่จะคัดค้านอะไร
สืออีเหนียงบังคับตัวเองให้อารมณ์ดี
สิ่งสำคัญที่สุดของนางคือการจัดการกับทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ให้ดี
สืออีเหนียงมีท่าทีรู้สึกผิด โค้งคำนับขอบคุณนายหญิงใหญ่ “ขอบพระคุณท่านแม่!”
“งั้นก็ตกลงเช่นนี้!” นายหญิงใหญ่มีท่าทีเหนื่อย นางบอกกับอู๋เซี่ยวเฉวียน “เดี๋ยวเอาขนาดและรูปแบบของม่านบังลมบอกคุณหนูทั้งสองคน พวกนางจะได้เข้าใจ รอให้พวกนางสองพี่น้องปรึกษากันเสร็จแล้ว เจ้าค่อยกลับไปบอกข้า”
อู๋เซี่ยวเฉวียนยิ้มและรับปาก
นายหญิงใหญ่ยกถ้วยชาขึ้นมา “พวกเจ้าออกไปกันเถิด!”
นางไม่ได้พูดถึงเรื่องแต่งงานของตงชิง
ลืมไปแล้ว?
หรือเพราะว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา?
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองป้าเหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังนายหญิงใหญ่
ป้าเหยาก็มองมาที่นาง
สายตาของพวกนางสบกันในอากาศ สืออีเหนียงมองเห็นสายตาที่ไม่ท้อถอยของอีกฝ่าย
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเสียใจ
นางในตอนนี้ ก็คงสู้กับคนอย่างป้าเหยาได้เท่านั้น!
[1] หย่งผิงโหว ชื่อยศตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งจากองค์ฮ่องเต้ หย่งผิงคือชื่อดินแดนศักดินาที่องค์ฮ่องเต้ประทานให้ ส่วนโหวเป็นบรรดาศักดิ์รองจากชั้น กง ได้รับยศจากการสืบสกุล หรือได้รับพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้เนื่องจากมีความดีความชอบ