ได้ยินว่าบุตรสาวอยากจะเจอกับตัวเอง นายหญิงใหญ่ก็รีบตอบกลับไปว่า “ไม่ต้องเปลี่ยนวัน เจ้ากลับไปบอกหยวนเหนียง พรุ่งนี้ข้าจะไปถึงตอนบ่าย”
ป้าเถาตอบกลับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เรียกสาวใช้ที่ติดตามมาด้วยเข้ามา มอบของขวัญที่หลัวหยวนเหนียงเอามาให้ “ยาสมุนไพรเจ้าค่ะ เอาให้นายท่านใหญ่กับนายหญิงใหญ่ดูแลร่างกายเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ยิ้มและให้ป้าสวี่รับมา
ซานหูยกเก้าอี้จิ่นอู้เข้ามา “ป้าเถา เชิญนั่งเจ้าค่ะ”
ป้าเถาพูดซ้ำๆ ว่า “ไม่กล้า” จากนั้นก็ปฏิเสธว่า “นายหญิงใหญ่เดินทางมาเหนื่อยๆ ฮูหยินของบ่าวกำลังรอบ่าวกลับไปรายงาน บ่าวขอตัวก่อนนะเจ้าคะ พรุ่งนี้บ่าวจะมารับนายหญิงใหญ่ไปที่จวน”
นายหญิงใหญ่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล เจ้ากลับไปรายงานหยวนเหนียงเถิด นางจะได้สบายใจ”
ป้าเถาได้ยินเช่นนี้ก็ลุกขึ้นและขอตัวลา ป้าสวี่ออกไปส่งนางด้วยตนเอง
นายท่านใหญ่ยืนขึ้นและพูดว่า “ทุกคน ไปพักผ่อนเถิด ประเดี๋ยวตอนเย็นค่อยมากินข้าวด้วยกัน”
ทุกคนในห้องตอบกลับ “เจ้าค่ะ”ด้วยความเคารพ ป้าสวี่กับซานหูอยู่คอยปรนนิบัติรับใช้นายหญิงใหญ่ล้างหน้าล้างตา หลัวเจิ้นซิ่งกับคุณนายใหญ่พาคนอื่นๆ ออกไป
หญิงร่างท้วมนางหนึ่งยืนยิ้มรออยู่ใต้ชายคา เมื่อเห็นพวกนางออกมา นางก็เดินเข้ามาคำนับหลัวเจิ้นซิ่งและพูดกับคุณนายใหญ่ว่า “คุณนายใหญ่ ที่พักของคุณหนูๆ ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ กล่องของนายหญิงใหญ่ก็ขนลงมาหมดแล้ว จำนวนถูกต้อง แต่แค่ไม่รู้ว่ากล่องไหนเป็นของเรือนไหน…”
หญิงนางนี้นามสกุลหัง เป็นคนคอยปรนนิบัติคุณนายใหญ่ และก็เป็นท่านป้าคนสนิทของนาง
คุณนายใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มให้อู่เหนียงและสืออีเหนียง “เยี่ยนจิงที่ดินแพง ไม่เหมือนกับที่อวี๋หัง เรือนค่อนข้างเล็ก ท่านพ่อกับท่านแม่อยู่ที่เรือนหลัก ให้พวกเจ้าอยู่ที่เรือนข้างหลัง น้องหญิงทั้งสองอย่างได้รังเกียจ ทนอยู่ไปก่อนเถิด”
รอยยิ้มของนางช่างเป็นมิตร น้ำเสียงของนางช่างนุ่มนวล สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมนางในใจ
สมแล้วที่สกุลกู้เป็นสกุลใหญ่สกุลโตในเจียงหนาน ถึงแม้จะรู้ว่านายหญิงใหญ่จะหวานนอกขมในกับบรรดาบุตรของอนุภรรยา แต่นางก็อ่อนโยนและมีน้ำใจ ไม่สูญเสียความเป็นบุตรสาวของสกุลใหญ่สกุลโต
สืออีเหนียงยิ้มให้คุณนายใหญ่และเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณพี่สะใภ้เจ้าค่ะ!”
แต่อู่เหนียงกลับจับมือของคุณนายใหญ่ “ดูพี่สะใภ้พูดสิ หรือว่าท่านเห็นพวกข้าเป็นคนที่ไม่รู้ความ เรือนหลังนี้ก็ใหญ่แค่นี้ ท่านพ่อกับท่านแม่อยู่ที่เรือนหลัก พวกเราอยู่เรือนข้างหลัง พี่ใหญ่และพี่สะใภ้จะต้องต้องไปอยู่ที่เรือนตรงข้ามกับเรือนหลัก ที่นั่นอยู่ทางทิศเหนือหันหน้าออกไปไปทางทิศใต้ ฤดูหนาวก็หนาว ฤดูร้อนก็ร้อน แล้วยิ่งอยู่ใกล้กับลานข้างนอก เสียงดังเอะอะ…แล้วพี่ใหญ่ยังต้องออกไปศึกษาเล่าเรียนอีก…” นางพูดแล้วน้ำตาคลอ “พี่สะใภ้พูดเช่นนี้ ทำให้เรารู้สึกละอายใจจริงๆ”
คุณนายใหญ่ฟังแล้วก็รู้สึกซาบซึ้ง
อู่เหนียงเข้าใจความลำบากใจของตัวเอง แล้วยังพูดถึงความลำบากใจของนางต่อหน้าหลัวเจิ้นซิ่งสามีของนาง…ไม่แปลกใจที่ทุกคนบอกว่าอู่เหนียงฉลาดไหวพริบดี เป็นที่รักของทุกคนจริงๆ
รอยยิ้มของนางยิ่งมีความสนิทสนมมากขึ้น “น้องหญิงอย่าพูดเช่นนี้ พวกเจ้าเป็นสตรีที่งดงาม ไม่เหมือนพวกข้า ที่สามารถอยู่ติดกับลานข้างนอกได้!”
หลัวเจิ้นซิ่งได้ยินอู่เหนียงพูดเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็ดีขึ้น เขายิ้มและพูดว่า “เอาล่ะ น้องหญิงเดินทางมากว่าหนึ่งเดือน น้องสิบเอ็ดก็เมาเรือ เจ้ารีบพาพวกนางไปพักผ่อนเถิด!”
คุณนายใหญ่ตอบกลับ “เจ้าค่ะ” อู่เหนียงและสืออีเหนียงคำนับหลัวเจิ้นซิง กล่าวลาอี๋เหนียงหกแล้วเดินตามคุณนายใหญ่ไปยังเรือนข้างหลัง จากนั้นหลัวเจิ้นซิ่งก็ออกไปจากประตูฉุยฮวา กลับไปที่เรือนของตัวเอง
ป้าเจียงเรียกจื่อเวยของอู่เหนียงและหู่พั่วของสืออีเหนียงไปแยกกล่องกับป้าหัง
******
ห้องของเรือนข้างหลังเหมือนกับห้องของเรือนหลัก มีห้าห้อง แต่ละห้องมีห้องเล็กข้างๆ ด้านทิศตะวันออกและตะวันตกมีสามห้อง แต่ในเรือนไม่มีบ่อปลาและชั้นวางดอกไม้ ต้นไหวที่อยู่หน้าบันไดก็เปลี่ยนเป็นต้นฉุยหลิ่ว
คุณนายใหญ่ยิ้มและพูดว่า “พวกเจ้าดูว่าชอบห้องไหน เลือกมาสักห้องเถิด!”
อู่เหนียงรีบพูดว่า “น้องหญิงเลือกก่อนเถิด! ข้าอยู่ที่ไหนก็ได้!”
สืออีเหนียงก็ไม่พูดอะไรมาก นางยิ้มและพูดว่า “พี่หญิงอายุเยอะกว่าข้า เช่นนั้นข้าอยู่ที่ห้องทางทิศตะวันตกก็ได้เจ้าค่ะ”
“ได้เช่นไรกัน” อู่เหนียงยิ้ม “ร่างกายของเจ้ายังไม่แข็งแรง อยู่ที่ห้องทางทิศตะวันออกเถิด!”
“ข้าลงจากเรือแล้ว ประเดี๋ยวก็ดีขึ้น มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” สืออีเหนียงยิ้ม “พี่หญิงอยู่ห้องทางทิศตะวันออกเถิดเจ้าค่ะ ข้าอยู่ห้องทางทิศตะวันตก!”
อู่เหนียงยังจะปฏิเสธ คุณนายใหญ่ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าไม่ต้องโยนไปโยนมา ข้าว่า เอาเหมือนที่น้องหญิงสิบเอ็ดบอก นางเป็นน้อง อยู่ห้องทางทิศตะวันตก เจ้าเป็นพี่ อยู่ห้องทางทิศตะวันออกก็ได้!”
สืออีเหนียงยิ้มและพูดว่า “เอาเหมือนที่พี่สะใภ้พูดเถิดเจ้าค่ะ!” พูดจบ นางก็ยังหอบอย่างเหน็บเหนื่อย
คุณนายใหญ่ถือโอกาสขอตัวออกไป “พวกเจ้าพักผ่อนกันเถิด! ข้าขอตัวก่อน ข้ายังต้องไปเตรียมอาหารเย็น”
ทั้งสองคนส่งคุณนายใหญ่ออกไป “ลำบากพี่สะใภ้แล้ว”
“ข้าเป็นพี่สะใภ้ ลำบากที่ไหนกัน” นางยิ้มแล้วเดินออกไป อู่เหนียงและสืออีเหนียงกลับไปที่ห้อง สืออีเหนียงยิ้มอย่างขมขื่นให้อู่เหนียง “พี่หญิง ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะเจ้าค่ะ…”
“เจ้าไปเถิด!” อู่เหนียงยิ้มและหันไปทางตะวันออก ไม่มีแม้แต่คำพูดทักทาย
จื่อย่วนรีบตามอู่เหนียงเข้าไปในห้อง
สืออีเหนียงมองดูแผ่นหลังของอู่เหนียงและยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ตั้งแต่ที่นางจงใจให้ความสนใจกับหลัวหยวนเหนียง อู่เหนียงก็เหมือนจะทำตัวเป็นศัตรูกับนาง หากตัวเองจะแย่งอะไรกับนางจริงๆ…เกรงว่า นางคงเกลียดตัวเองเข้ากระดูกแน่นอน!
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูห้า…” ตงชิงก็มองออก “ท่านต้องหาโอกาสอธิบายให้นางฟัง ไม่เช่นนั้น ความเข้าใจผิดนี้จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ!”
“ข้ารู้” สืออีเหนียงไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้
สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ชัดเจน อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเลยดีกว่า!
ตงชิงพยุงนางเข้ามาให้ห้อง
มีเตียงขนาดใหญ่อยู่ติดกับหน้าต่างทางทิศตะวันตก ด้านซ้ายและด้านขวาเป็นโต๊ะเล็กๆ ที่คลุมด้วยผ้าสีแดง มีเก้าอี้ไท่ซือสี่ตัวทางด้านซ้าย ด้านขวาถูกจัดเป็นที่พักผ่อน ริมหน้าต่างมีโต๊ะหนังสือ ห้องโถงด้านซ้ายเป็นชั้นวางหนังสือ มีเตียงปาปู้เล็กๆ วางอยู่กลางห้อง ด้านหลังยังมีเตาไฟเล็กๆ
สืออีเหนียงพอใจเป็นอย่างมาก
หากอู่เหนียงไม่ได้อยู่ห้องข้างๆ มันคงจะสมบูรณ์แบบมากกว่านี้!
นางครุ่นคิดกับตัวเอง
แต่ตงชิงและปินจวี๋กลับไม่พอใจ “ตกแต่งอะไรกัน หลังเตียงยังมีเตาไฟ ไม่ได้จุดไฟแต่กลับอุ่นๆ” จากนั้นนางก็ยื่นมือออกไปแตะที่เตียงข้างเตา “ยังร้อนอยู่เลย”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ทางใต้ไม่เหมือนกับทางเหนือ ทางใต้ชื้นกว่า ต้องอยู่ชั้นบน ทางเหนือหนาวเย็น ต้องนอนบนเตียงอุ่น”
“คุณหนูรู้ได้เช่นไรเจ้าคะ” ชิวจวี๋ยิ้มและนั่งลงบนเตียงอุ่น
“อ่านหนังสืออย่างไรเล่า!” จู๋เซียงที่เป็นคนเงียบๆ นั้นดูตื่นเต้นมาก นางพูดเยอะกว่าปกติ “คุณหนูอ่านหนังสือเยอะขนาดนั้น แน่นอนว่าคุณหนูต้องรู้ทุกอย่าง!”
แน่นอน นางไม่ได้รู้มาจากการอ่านหนังสือ แต่มันคือประสบการณ์เมื่อก่อนที่นางเห็นกับตาและเจอกับตัวเอง…
สืออีเหนียงยิ้มและไม่พูดอะไร มีสาวใช้ที่หน้าตาคุ้นๆ เดินเข้ามารายงาน “คุณหนูสิบเอ็ด อี๋เหนียงหกมาเจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างตกใจ
แต่อี๋เหนียงหกก็เปิดม่านเดินเข้ามาแล้ว
“คุณหนูสิบเอ็ด!” นางยิ้มและทักทายสืออีเหนียง
ตงชิงและคนอื่นๆ ก็รีบหุบยิ้มและยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบขรึม
“อี๋เหนียงมาได้เช่นไรเจ้าคะ!” สืออีเหนียงยิ้มและตอบกลับ “รีบเข้ามาดื่มชาให้ห้องเร็วเจ้าค่ะ!”
ชิวจวี๋รีบยกเก้าอี้มาให้อี๋เหนียงหก ตงชิงหาถังไม้ที่มีน้ำอุ่นตรงมุมห้องมาชงชาให้อี๋เหนียงหก
อี๋เหนียงหกยิ้มและโบกมือ “ข้าไม่นั่งดีกว่า อีกเดี๋ยวข้ายังจะต้องไปปรนนิบัติรับใช้นายหญิงใหญ่ ข้ามาเพียงเพราะต้องการถามว่า” นางพูดแล้วลังเลไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าพลันขมขื่นขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าอยากจะถามว่า คุณหนูสิบสองนางสบายดีหรือไม่”
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจในใจ
ความเป็นห่วงลูกของคนเป็นแม่ ตอนที่นางออกมาอี๋เหนียงห้าก็ร้องห่มร้องไห้ เหตุผลเดียวกัน อี๋เหนียงหกที่อยู่ที่นี่ก็คงเป็นห่วงคุณหนูสิบสองที่ยังเด็กจนนอนไม่หลับ!
“สบายดีเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงคิดว่าอี๋เหนียงหกเป็นคนฉลาดมาโดยตลอด “ช่วงก่อน ข้าเอาแต่ปักม่านอยู่ในเรือนทุกวัน พี่หญิงห้ากับพี่หญิงสิบมักจะไปหาท่านแม่อยู่บ่อยๆ น้องหญิงสิบสองก็ไปพูดคุยกับพี่หญิงทั้งสองคนที่เรือนของนายหญิงใหญ่ น้องหญิงสิบสองยังเอาด้ายไหมทำเป็นดอกไม้ให้ท่านแม่อีกด้วย ท่านแม่แยกไม่ออกว่าเป็นของจริงหรือของปลอม…ฝีมือดีมากเลยเจ้าค่ะ”
อี๋เหนียงหกได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางยิ้มและพูดว่า “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนคุณหนูสิบเอ็ดแล้ว จะว่าไปแล้ว ข้ากับอี๋เหนียงห้าก็อยู่เรือนเดียวกันมาตั้งห้าหกปี หากเจ้ามีเรื่องอะไร ก็มาบอกข้าได้”
“ขอบคุณอี๋เหนียงเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงไม่รู้ว่าที่อี๋เหนียงหกมาหานาง นายหญิงใหญ่รู้หรือไม่ กลัวว่าอู่เหนียงจะเห็น นางจึงไม่กล้ารั้งนางเอาไว้ อ้างว่าตัวเองปวดหัว ให้ตงชิงออกไปส่งอี๋เหนียงหกแทน
อี๋เหนียงหกพึ่งจะออกไป หู่พั่วที่ไปเอากล่องของก็กลับมาพอดี
ตงชิงเปิดกล่องที่มีผ้าห่มและผ้าปูที่นอนก่อน จากนั้นก็ปูเตียงอุ่น ไปตักน้ำมาให้สืออีเหนียงล้างหน้าล้างตาและพักผ่อน ให้จู๋เซียงคอยเฝ้านางไว้ จากนั้นตงชิงกับหู่พั่วก็พาปินจวี๋และชิวจวี๋เปิดกล่องเก็บข้าวเก็บของ
******
สืออีเหนียงที่ได้นอนพัก พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกสดชื่น
นางส่องกระจกมองหน้าตัวเอง “ข้าอ้วนขึ้นอีกแล้วหรือนี่”
“หน้าผอมจนเหลือแค่ฝ่ามือแล้วเจ้าค่ะ” ตงชิงกำลังเสียบดอกทับทิมขนาดเท่าเล็บมือสองดอกบนผมของสืออีเหนียง “ท่านยังจะลดน้ำหนักอยู่อีกหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงเม้มริมฝีปากยิ้ม
หู่พั่วรีบเร่งสืออีเหนียง “ข้าเห็นคุณหนูห้าออกไปหานายหญิงใหญ่แล้ว”
สืออีเหนียงไม่กล้าส่องกระจกอีกแล้ว สวมเสื้อคลุมหนังกระรอกสีแดงกุหลาบและรีบเดินออกไปหานายหญิงใหญ่ทันที ในที่สุดก็มาทันก่อนที่อู่เหนียงจะเดินเข้าไป จากนั้นก็เดินเข้าไปพร้อมนาง
พวกนางยืนอยู่หน้าม่าน ให้สาวใช้ช่วยถอดเสื้อคลุม อู่เหนียงเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มมองมาที่สืออีเหนียง “ดูไม่ออก น้องหญิงไม่สบายยังมือเท้าเร็วเช่นนี้!”
สืออีเหนียงยิ้มและมองไปที่อู่เหนียง “โทษพี่หญิงที่ออกมาแล้วก็ไม่เรียกข้า!”
อู่เหนียงยิ้มเจื่อน เหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ม่านกลับเปิดออก ซานหูเดินออกมายิ้มแล้วพูดว่า “นายหญิงใหญ่กำลังรอคุณหนูทั้งสองคนอยู่เจ้าค่ะ!”
พวกนางไม่พูดอะไรต่อ เดินเข้าไปในห้องพร้อมกัน
ในห้องมีโต๊ะสี่เหลี่ยมสีดำและเก้าอี้เหมยกุยสีดำแปดตัวพร้อมเบาะนั่งสีแดง ตะเกียบจัดไว้เรียบร้อยแล้ว สาวใช้สองสามคนยืนอยู่หน้าผ้าม่าน ป้าสวี่ ลั่วเชี่ยว ใต้เม่าและคนอื่นๆ ยืมล้อมอยู่หน้าเตียงอุ่นใกล้หน้าต่าง เสียงหัวเราะของซิวเกอดังออกมาจากที่นั่นเป็นครั้งคราว
“นายหญิงใหญ่ คุณหนูห้าและคุณหนูสิบเอ็ดมาแล้วเจ้าค่ะ!” ซานหูยิ้มรายงานนายหญิงใหญ่ ผู้คนก็พากันแยกย้าย สืออีเหนียงเห็นนายท่านใหญ่กับนายหญิงใหญ่นั่งอยู่บนเตียงอุ่น โต๊ะที่อยู่ตรงกลางก็ไม่รู้ว่าย้ายไปไว้ที่ไหน ซิวเกอกำลังตีลังกาอยู่บนนั้น คุณนายใหญ่กลัวว่าเขาจะร่วงลงมา นางกำลังกางแขนคอยรับอยู่หน้าเตียง
“เอาล่ะ เอาล่ะ” นายท่านใหญ่ยิ้มและอุ้มซิวเกอ “พวกเราไปกินข้าวกันเถิด!”
ซิวเกอยังเล่นไม่หายอยาก บิดตัวอยากจะตีลังกาต่อ
หลัวเจิ้นซิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำหน้าขรึม “ยังไม่ยืนดีๆ อีก”
ซิวเกอได้ยินเช่นนี้ก็ไม่กล้าดื้อ เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของนายท่านใหญ่ไม่กล้าขยับไปไหน
นายหญิงใหญ่ที่มีตู้เวยคอยสวมรองเท้าให้ ยิ้มและพูดว่า “เจ้าช่างไม่กลัวทำให้ลูกตกใจ!”
ซิวเกอได้ยินเช่นนี้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของนายท่านใหญ่ มองไปที่นายหญิงใหญ่อย่างน่าสงสาร
นายหญิงใหญ่ยื่นมือออกไปรับซิวเกอมาอุ้มไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง “ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว มีท่านย่าอยู่!”
หลัวเจิ้นซิ่งมองไปที่ท่านแม่ของเขาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและหยุดพูด
คุณนายใหญ่เห็นเช่นนี้จึงรีบเบี่ยงเบนความสนใจ “ท่านพ่อ ท่านแม่ รีบนั่งเถิดเจ้าค่ะ! น้องหญิงทั้งสองคงจะหิวกันแล้ว”
ทุกคนต่างหันมา นายหญิงใหญ่ก็บ่นว่า “ทำไมพึ่งมา”
อู่เหนียงยิ้มและพูดว่า “รอน้องหญิงน่ะสิเจ้าคะ”
สืออีเหนียงพูดด้วยท่าทางลำบากใจ “ข้าตื่นสายเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่หัวเราะ “ช่างเป็นคนซื่อสัตย์!”
สืออีเหนียงหน้าแดงก้มหน้าลง ทำให้ทุกคนพากันหัวเราะ