พวกนางมาถึงซูโจวกลางดึก เรือไม่ได้เข้าจอดทเทียบท่าแต่กลับจอดลอยลำอยู่กลางน้ำ พอฟ้าสางก็ออกเดินทางต่อทันที
ผ่านเจิ้นเจียง หยางโจว ไหวอาน สวีโจว จี้หนิง เหลียวเฉิง หลินชิง เต๋อโจว ซังโจวและเทียนจินมาจนถึงทงโจว
ตอนอยู่ที่เจิ้นเจียง บุตรชายคนโตและลูกสะใภ้คนโตของพ่อบ้านหนิวนำของขวัญมาคารวะนายหญิงใหญ่ถึงบนเรือ เมื่อถึงหยางโจว ใต้เท้าผู่แห่งหยางโจวรวมทั้งฮูหยินก็ได้ขึ้นมาเยี่ยมเยียนบนเรือ พักอยู่ที่ไหวอานหนึ่งวัน นายหญิงใหญ่ไปหาสหายคนสนิทสมัยก่อนของนาง สามีของนางเป็นทูตตรวจการณ์อยู่ที่ส่านซี เมื่อผ่านสวีโจว การต้อนรับพวกนี้ก็ไม่มีแล้ว เมื่อแล่นเรือมาจนถึงเทียนจิน ก็เกือบจะเกิดความขัดแย้งกับขุนนางที่เดินทางกลับมารายงานตัวที่เมืองหลวงเพราะเรื่องของตำแหน่งจอดเรือ…อีกฝ่ายเป็นลูกของจวนเจิ้นหนานโหว นายหญิงใหญ่อ้างชื่อของจวนหย่งผิงโหว อีกฝ่ายจึงส่งฮูหยินขึ้นมาคารวะนายหญิงใหญ่ทันที แล้วยังนัดกันไปชมทิวทัศน์บนเขาซานซีที่เยี่ยนจิง
หลังจากที่ฮูหยินคนนั้นออกไป ป้าสวี่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “หากไม่มีท่านบุตรเขย เกรงว่าเรื่องของวันนี้คงจะไม่จบง่ายๆ ”
รีบออกเดินทางติดต่อกันหลายวัน นายหญิงใหญ่ก็รู้สึกเหนื่อย นางยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ในเมืองหลวงมีผู้คนมากมาย มีเรื่องตลกเรื่องหนึ่งไม่ใช่หรือ แค่โยนก้อนหินออกไปก็ยังสามารถโยนไปโดนขุนนางระดับสามได้”
ป้าสวี่ก็คิดเช่นนี้ นางไม่เพียงแต่เรียกเหล่าองครักษ์ไปตำหนิ แล้วยังเรียกเหล่าสาวใช้ ลูกสะใภ้และป้าๆ ออกมาตักเตือน บอกให้ทุกคนเมื่อถึงเยี่ยนจิงแล้วอย่าก่อเรื่อง หากไม่ฟังจะไล่ออกไปทันที
ปินจวี๋กลับมาเล่าให้สืออีเหนียงฟัง สืออีเหนียงยิ้ม นางรู้สึกว่าป้าสวี่กลัวเหมือนคนชนบทเข้าเมืองหลวง “ต้องระมัดระวัง บางทีพวกเจ้าอาจจะเดินไปชนกับผู้ดูแลของจวนท่านโหวหรือจวนท่านอ๋องคนไหน…
ชิวจวี๋เบิกตาโต “ท่านบุตรเขยใหญ่ของตระกูลเราเก่งมากไม่ใช่หรือเจ้าคะ เช่นนั้น บุตรชายของท่านโหวคนนั้นทำไมต้องมอบของขวัญชดใช้ให้เรา!”
ทันใดนั้น สีหน้าของทุกคนก็เย่อหยิ่งขึ้นมา
สืออีเหนียงรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ดีและรู้สึกหวั่นใจ
นางตำหนิชิวจวี๋ก่อน “นั่นเพราะว่าจวนเจิ้นหนานโหวสนิทคุ้นเคยกับท่านบุตรเขยของสกุลเรา นายหญิงใหญ่ก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ดังนั้นฮูหยินคนนั้นจึงมาคารวะนาง พวกเจ้าอย่าคิดว่าเราจะโชคดีเช่นนี้ไปตลอด ไม่เช่นนั้น ป้าสวี่ก็คงจะไม่ตักเตือนพวกเจ้าเคร่งครัดเช่นนี้” จากนั้นก็ให้ตงชิงกับปินจวี๋พานางไปที่ห้องของอู่เหนียง
แต่ว่ามันค่อนข้างไกล นางหยุดพักกลางคัน
ตั้งแต่ขึ้นเรือมานางก็เมาเรือ กินอะไรไม่ลง นอนจนหน้าบวมไปหมดแล้ว
เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา อู่เหนียงตกใจเป็นอย่างมาก นางรีบเข้าไปช่วยปินจวี๋พยุงสืออีเหนียง “ประเดี๋ยวก็จะถึงทงโจวแล้ว ถึงทงโจวเราจะเปลี่ยนไปนั่งรถม้า เจ้าก็คงจะรู้สึกดีขึ้น”
นางปลอบสืออีเหนียงเบาๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกอวี้จานบนตัวของนางดมแล้วรู้สึกสบาย
“พี่หญิงห้า พี่เขยคนโตของเรา เป็นคนที่เก่งมากเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ!” สายตาของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยความอิจฉา
อู่เหนียงตกใจ นางค่อยๆ ตัวแข็งทื่อ ถึงแม้ว่าหน้าจะยิ้มอยู่แต่นางก็ยิ้มอย่างผิวเผิน “เจ้ามาหาข้าถึงที่นี่เพียงเพราะเรื่องนี้? ไม่กลัวเหนื่อยหรือเช่นไร!” ประโยคสุดท้าย จู่ๆ นางก็พูดเสียงดังอย่างคมชัด
สืออีเหนียงยิ้ม “พี่หญิงยังพูดคุยเป็นเพื่อนท่านแม่ทุกวัน ไปชมทิวทัศน์ข้างเรือ ขับท่องบทกวี แต่ข้าเอาแต่นอน แม้แต่เข็มกับด้ายก็จับไม่อยู่…น่าเบื่อจริงๆ พี่หญิงห้า ท่านพูดคุยเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ!” นางพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่หาได้ยาก
สายตาของอู่เหนียงเย็นชาขึ้น “ใช่แล้ว พี่เขยคนโตของเราเป็นคนที่มีอำนาจ เจ้าเห็นฮูหยินที่มาคารวะนายหญิงใหญ่หรือไม่ นางไม่ใช่แค่ลูกสะใภ้ของจวนเจิ้นหนานโหว แต่ยังเป็นคุณหนูของสกุลตงหยางเจียง”
“สกุลตงหยางเจียง?” สืออีเหนียงพบว่าอู่เหนียงค่อนข้างจะรู้จักตระกูลในเจียงหนานเป็นอย่างดี
“ใช่แล้ว!” อู่เหนียงพยักหน้า “สกุลตงหยางเจียงเหมือนสกุลหลัวของเราที่อวี๋หัง ล้วนแต่เป็นสกุลที่ใหญ่โต ถึงแม้ว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไม่โดดเด่นเท่าบรรพบุรุษของเรา แต่สกุลของพวกเขาแต่งงานกับสกุลใหญ่สกุลโตในเยี่ยนจิงมาตลอด ยังเคยมีคนถูกแต่งตั้งเป็นไท่เฟย[1]อีกด้วย…”
“หา! แม้แต่คนเช่นนี้ได้ยินชื่อของพี่เขยยังต้องยอมให้เรา พี่หญิงใหญ่ช่างมีวาสนาจริงๆ เลย!”
อู่เหนียงพยักหน้าอย่างส่งๆ บนใบหน้าที่งดงามและสดใสร่าเริงมาโดยตลอดของนางกลับใจลอย นี่เป็นครั้งแรกที่นางไม่เชิญให้สืออีเหนียงนั่งลงพูดคุยกัน แต่ให้นางยืนห่างจากประตูแค่ห้าหกก้าว และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่สืออีเหนียงมาที่ห้องของอู่เหนียง ยังไม่ทันได้นั่งก็ขอตัวออกไป
จื่อเวยมองดูสืออีเหนียงที่เดินโซซัดโซเซออกไป สีหน้าของนางสับสน “คุณหนูห้า คุณหนูสิบเอ็ดนาง…”
อู่เหนียงได้สติกลับมา เก็บอาการใจลอยของตัวเองแล้วพูดว่า “ผ้าไหมทำให้คนจิตใจสั่นไหว แม้แต่สืออีเหนียงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้!”
“เช่นนั้นพวกเรา…”
“ไม่ต้องสนใจนาง” อู่เหนียงยิ้มอย่างเย็นชา “ไม่ว่าท่านแม่กับพี่หญิงใหญ่จะตัดสินใจเช่นไร…ปีนี้นางอายุแค่สิบสามปี ยังเด็กเกินไป”
จื่อเวยนึกถึงหน้าของสืออีเหนียง นางไม่วางใจ “แต่ว่านายหญิงใหญ่พานางมาด้วย…”
“หากไม่พานางมาด้วย จะให้ตีฆ้องเปล่าประกาศคนอื่นว่าเรามาทำอะไรที่เยี่ยนจิงเช่นนั้นหรือ”
จื่อเวยถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่ตงชิงที่กลับมาถึงห้องกลับถามสืออีเหนียงเบาๆ “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ เมื่อครู่ท่านยังตักเตือนชิวจวี๋อยู่เลย…เหตุใดตัวเองถึงไปทำเองเล่า”
สืออีเหนียงถอนหายใจแล้วเอนตัวลงนอน พูดเบาๆ ว่า “บนโลกนี้ไม่เคยมีอะไรได้มาฟรีๆ!”
ตงชิงไม่เข้าใจจึงถามว่า “ท่านพูดอะไรนะเจ้าคะ”
สืออีเหนียงยิ้มและพูดว่า “ข้าบอกว่า ยิ่งเป็นสิ่งของที่มีแต่คนแย่งก็ยิ่งเป็นสิ่งของที่มีค่า หากข้าไม่ใส่ฟืนเข้าไปในกองไฟ ถึงตอนนั้นข้าจะถอยออกมาได้เช่นไร”
ตงชิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งสับสนมากกว่าเดิม นางพึมพำเบาๆ “ไม่รู้ว่าเป็นอะไร… ขึ้นมาบนเรือก็แปลกไป…”
สืออีเหนียงยิ้มแต่ไม่สนใจนาง หันไปนอนตะแคง
แค่นอนหลับ ท้องถึงจะไม่รู้สึกหิว…
นางอยากจะเจอกับหลัวหยวนเหนียงเร็วๆ ผ่านด่านไปเร็วๆ เช่นนี้นางจะได้กินอะไรก็ได้ที่อยากกิน!
ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัวของนาง ผ่านไปสองสามวันพวกนางก็มาถึงทงโจว
เวลานี้เป็นตอนเย็น เมฆบนท้องฟ้าหนาแน่น รอบตัวมืดมิดราวกับว่าฝนหรือหิมะกำลังจะตก ทำให้ผู้คนรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก
ถึงแม้ว่าระหว่างทางจะใช้ชื่อของสวีลิ่งอี๋ผ่านภัยพิบัติเหล่านั้นมาได้ แต่ว่าตอนนี้ นายหญิงใหญ่ไม่กล้าที่จะประมาท นางบอกให้กัปตันเรือต่อแถวเข้าท่าเรือตั้งนานแล้ว หากมีคนขอไปก่อน ก็ให้พวกเขาไปก่อน…เพราะว่าสกุลหลัวแค่ไปเยี่ยมญาติ ไม่ได้รีบเข้าไปรายงานตัวในเมืองหลวง แล้วก็ไม่ได้รีบเข้าไปค้าขายสินค้าในเมืองหลวง…
อู่เหนียงไม่เห็นด้วยกับความระมัดระวังของนายหญิงใหญ่ “เรามีเหตุผลที่จะยอมให้เหล่าขุนนางไปก่อน แต่ทำไมแม้แต่พ่อค้าก็ต้องยอมกันเล่า ”
ป้าเจียงยิ้ม “คุณหนูคงจะไม่ทราบ คนที่เข้าไปทำกิจการในเมืองหลวง หากไม่มีใครคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังพวกเขาก็อยู่ไม่ได้…เรายอมได้ก็ยอมไปเถิดเจ้าค่ะ”
อู่เหนียงครุ่นคิด “เช่นนั้นคนที่อยู่ที่เยี่ยนจิงได้ ก็ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ!” ป้าเจียงหวังว่าทุกคนจะไม่คัดค้านเจตนาของนายหญิงใหญ่ ไปรวมตัวกับคุณชายใหญ่หลัวเจิ้นซิ่งที่มารับที่ท่าเรืออย่างเงียบๆ “เยี่ยนจิงเป็นเมืองของเมืองหลวง เป็นเมืองสำคัญ…”
เมื่อเรือเทียบท่า ก็ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วโมง ฝนก็เริ่มตกหนัก
ทันทีที่วางบันไดเรือลง ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่สวมเสื้อคลุมสีดำก็กระโดดขึ้นมา รีบเดินเข้ามาหาหัวเรือที่นายหญิงใหญ่ยืนอยู่
สายตาที่เฉียบแหลมของซานหูที่กำลังถือร่ม นางตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น “นายหญิงใหญ่ ท่านดูสิ คุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ที่ถูกซานหูพยุงอยู่ก็หันไปมอง “ซิ่งเกอเอ๋อร์จริงๆ ด้วย”
“ท่านแม่!” เขาเดินผ่านสายฝนที่ตกหนักมาหยุดอยู่ที่เสากันสาดหัวเรือแล้วคุกเข่าลง
นายหญิงใหญ่รีบเดินเข้าไปพยุงเขาขึ้นมา สาวใช้และป้าที่อยู่ข้างหลังนายหญิงใหญ่ก็พากันย่อคำนับ “คุณชายใหญ่!”
เขาลุกขึ้น ยิ้มแล้วตะโกนออกมาว่า “ป้าสวี่”
ป้าสวี่น้ำตาไหล จากนั้นก็ย่อคำนับอีกครั้งอย่างสุดซึ้ง เรียก“คุณชายใหญ่” ด้วยความซาบซึ้ง
นายหญิงใหญ่รอไม่ไหวที่จะพูดคุยกับบุตรชายของตัวเอง “ฝนตกหนักเช่นนี้ เจ้ารออยู่ที่โรงเตี๊ยมก็ได้ วิ่งมาที่นี่ทำไมกัน หากไม่สบายขึ้นมาจะทำเช่นไร แล้วซิวเกอเป็นเช่นไร พวกเจ้าอยู่ที่เยี่ยนจิงสบายดีหรือไม่”
“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกสบายดี ซิวเกอก็สบายดีขอรับ…”
แม่ลูกพูดคุยกัน สายตาของทุกคนบนเรือจ้องมองไปที่หลัวเจิ้นซิ่งคุณชายใหญ่สกุลหลัว
สืออีเหนียงก็เช่นกัน
ตอนที่นางกลับไปจวนสกุลหลัว หลัวเจิ้นซิ่งย้ายออกไปอยู่ที่เรือนตีหมิงข้างนอกตั้งนานแล้ว พวกเขาเจอกันไม่บ่อย ครั้งสุดท้ายที่เจอกันคือตอนพิธีไหว้บรรพชนวันที่สิบสามเมื่อปีก่อน เขาสวมเสื้อแพรยืนอยู่หน้าป้ายจารึกบรรพชนของสกุลหลัว รับเครื่องไหว้ที่นายหญิงใหญ่ยื่นให้เขามาจัดอย่างระมัดระวัง ใบหน้าอันหล่อเหลาท่ามกลางแสงยามเช้าของเขาเผยให้เห็นความเงียบสงบและสดใสของชายหนุ่มที่ไม่รู้จักความกังวล…แต่เจอกันวันนี้ หลัวเจิ้นซิ่งไม่ใช่คนที่นางจำได้อีกต่อไป… สายตาของเขาอ่อนโยน ท่าทางของเขาใจกว้าง คิ้วที่งดงามมีความแข็งแกร่งจางๆ ซ่อนอยู่ ราวกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ในสุดก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
สืออีเหนียงตกใจ
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมหลัวเจิ้นซิ่งถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้
******
แม่น้ำของต้าโจวไหลจากตอนเหนือไปตอนใต้ และทงโจวคือจุดสิ้นสุด ที่นั่นไม่ได้มีแค่โรงเตี๊ยมต่างๆ นาๆ แต่ยังมีสถานีส่งสารที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็มีแต่ผู้คนและรถม้า
สกุลหลัวเข้าไปพักในโรงเตี๊ยมระดับกลางที่ไม่เด่นสะดุดตา เหมาฝั่งตะวันตกทั้งหมด หลัวเจิ้นซิ่งที่มากับนายหญิงใหญ่อธิบายด้วยความไม่สบายใจ “ฤดูใบไม้ผลิ มีผู้คนเข้าไปรายงานตัวในเมืองหลวงจำนวนมาก…สถานีส่งสารเต็มไปด้วยผู้คน แม้แต่โรงเตี๊ยมก็หายาก ท่านแม่ทนๆ เอาหน่อยนะขอรับ”
นายหญิงใหญ่ยิ้มและพูดว่า “เวลาผ่านไปเร็วเสียจริง แค่ชั่วพริบตา ฮ่องเต้ก็ครองบัลลังก์มาสามปีแล้ว”
เหล่าขุนนางของต้าโจวจะต้องเข้าไปรายงานตัวในเมืองหลวงทุกๆ สามปี
หลัวเจิ้นซิ่งยิ้มและพูดว่า “ใช่แล้ว! ปีหน้าท่านแม่ก็อายุห้าสิบปีแล้ว”
นายหญิงใหญ่ยิ้มอย่างมีความสุข “เจ้ายังจำได้” จากนั้นก็พูดต่อว่า “เราแค่พักอยู่ในโรงเตี๊ยมแค่คืนเดียว เจ้าไม่ต้องโทษตัวเอง ทงโจวผู้คนแออัด ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้น หาโรงเตี๊ยมที่สะอาดสะอ้านเช่นนี้ได้ก็ไม่ง่ายแล้ว แล้วอีกอย่าง ตอนที่ข้าเด็กๆ ข้าติดตามท่านตาของเจ้าไปทุกแห่ง เคยอยู่มาแล้วทุกที่ ข้าไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าพูด” จากนั้นนางก็ชี้ให้อู่เหนียงและสืออีเหนียงมาคารวะพี่ชาย
หลัวเจิ้นซิ่งคารวะตอบกลับ มอบปิ่นปักผมดอกอวี้เหลียนให้เป็นของขวัญอู่เหนียงและสืออีเหนียง
พวกนางกล่าวขอบคุณและแยกย้ายกลับไปยังห้องใครห้องมัน
ผ่านไปไม่นานก็มีป้าท่านหนึ่งยกอาหารเข้ามา ชี้ไปที่ชามอาหารทะเลใบใหญ่ “นี่คือปลาดุกย่างที่ขึ้นชื่อของเรา คนที่มาพักที่นี่ต้องลองชิมทุกคน คุณหนูก็ลองชิมรสชาติใหม่ๆ ดูสิเจ้าคะ” สำเนียงของนางมีความเป็นคนในเมืองหลวง
ที่แท้ก็จากบ้านมาแล้วหลายพันไมล์!
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว สืออีเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
ตั้งแต่เมื่อไรกัน ที่นางคิดว่าที่นั่นคือบ้านของนาง!
[1] ไท่เฟย เป็นการเรียกแบบย่อจาก “หวงไท่เฟย” หมายถึง ตำแหน่งพระมเหสีหรือพระชายาที่ให้กำเนิดพระโอรสของจักรพรรดิองค์ก่อน