ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 19 ตัดสินใจ (ปลาย)

ตอนที่ 19 ตัดสินใจ (ปลาย)

สืออีเหนียงหยิบภาพปักตัวอักษรอายุร้อยปีที่อาจารย์เจี่ยนเป็นคนปักออกมาจากถุงผ้า จากนั้นก็มองดูม่านกันลมที่ตนเองพึ่งปักเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งบนราวแขวน นางถอนหายใจเบาๆ 

“คุณหนู แล้วเราควรปักต่อไปหรือไม่เจ้าคะ” ตงชิงพูดด้วยความลังเล 

“แน่นอนว่าต้องปักต่อไป” สืออีเหนียงยิ้ม “ถึงแม้ว่าฝีมือการปักและความเร็วของข้าจะด้อยกว่าอาจารย์เจี่ยน แต่ว่าพวกเจ้าเห็นหรือไม่ ตัวอักษรคำว่า ‘อายุ’ ที่ข้าปักออกมาตอนนี้ เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่พึ่งเริ่มปัก มันพัฒนาขึ้นมากเลยใช่หรือไม่?” 

ตงชิงหยิบตะเกียงขึ้นมาส่องดู พิจารณาอย่างเนิ่นนานแล้วพยักหน้า “ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนจริงๆ บ่าวรู้สึกว่ามุมเข็มของท่านนุ่มนวลและแน่นขึ้นกว่าเดิมเจ้าค่ะ…” 

สืออีเหนียงพยักหน้าและยิ้ม “ดังนั้น นี่ก็เป็นโอกาสฝึกฝนฝีมือของข้า!” 

ตงชิงยิ้มและพูดว่า “เช่นนั้นวันนี้คุณหนูเข้านอนเร็วหน่อยนะเจ้าคะ…มีม่านที่อาจารย์เจี่ยนช่วยปัก ถึงตอนนั้นท่านก็มีของขวัญให้นายหญิงใหญ่แล้ว” 

ช่วงนี้เอาแต่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนี้ทั้งวันทั้งคืน ตาก็ปวดไปหมด ไม่น่าแปลกที่ช่างเย็บปักจำนวนมากอายุสามสิบปีก็ตาบอดกันแล้ว นี่เป็นงานที่กัดกินความอ่อนเยาว์จริงๆ เช่นเดียวกับอาจารย์เจี่ยน ออกไปสอนบรรดาฮูหยินเย็บปักถักร้อย ถึงแม้ว่าจะเป็นงานที่ดี แต่เงื่อนไขของการเย็บปักถักร้อยก็สูงมากเช่นกัน… 

สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วยกยิ้ม “วันนี้เข้านอนเร็วหน่อยก็ได้ วันนี้เป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนหนึ่งตรงกับเทศกาลหยวนเซียว คนอื่นออกไปเที่ยวเล่น เราก็หยุดพักผ่อนสักหนึ่งวัน!” 

ตงชิงปิดปากยิ้ม บอกให้จู๋เซียงเฝ้ายามตอนกลางคืน นางพาสืออีเหนียงเข้านอนด้วยตัวเอง จากนั้นถึงได้กลับไปที่ยังที่พักของตัวเอง  

หลังจากที่หู่พั่วมา ตงชิงและชิวจวี๋ยกห้องข้างหน้าต่างให้นาง หู่พั่วก็เคยปฏิเสธ แต่หนึ่งคือตงชิงกับปินจวี๋อยู่ด้วยกันจนชิน สองคือนางยังไม่ไว้ใจหู่พั่ว ยืนกรานที่จะเอาห้องนั้นให้หู่พั่ว ส่วนนางก็ไปเบียดอยู่กับชิวจวี๋และจู๋เซียง  

เมื่อนางเดินเข้ามา ปินจวี๋และชิวจวี๋ยังไม่นอน กำลังนั่งดูลายปักที่สะสมไว้บนเตียงของปินจวี๋ พูดคุยกันว่าฤดูใบไม้ผลิปีหน้าควรจะปักชายกระโปรงแบบไหน 

เห็นตงชิงเดินเข้ามา ชิวจวี๋ก็กระโดดลงจากเตียงทันที “คุณหนูนอนแล้วหรือ!” 

ตงชิงพยักหน้า 

ชิวจวี๋ถามนาง “อาจารย์เจี่ยนส่งอะไรมาให้คุณหนู?” 

ตงชิงยิ้มและพูดว่า “แค่เขียนจดหมายมาถามไถ่คุณหนู” 

ชิวจวี๋ตาเป็นประกาย “ความสัมพันธ์ของคุณหนูกับอาจารย์เจี่ยนดีจังเลย!” 

“แน่นอนอยู่แล้ว” ตงชิงยิ้ม “ไม่เช่นนั้น คนที่เรียนกับนางมีตั้งเยอะแยะ แต่ทำไมถึงสืบทอดวิชา ‘งานปักสองด้าน’ ให้กับคุณหนูของเราคนเดียว!” 

ชิวจวี๋พยักหน้าและพูดว่า “พี่ตงชิง ท่านคิดว่า หากข้าตั้งใจปรนนิบัติรับใช้คุณหนู ขอให้คุณหนูสืบทอดวิชาให้ข้า คุณหนูจะรับปากหรือไม่” 

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจ!” ตงชิงยิ้ม “แต่ว่า ปกติใครในจวนมาขอคำแนะนำจากคุณหนู คุณหนูก็ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ หากเจ้าสนใจจริงๆ ก็ลองไปถามคุณหนูดูสักวันสิ!” 

ชิวจวี๋พยักหน้า เหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ปินจวี๋ที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า “ดึกแล้ว พรุ่งนี้เช้าพี่ตงชิงยังต้องไปคอยช่วยคุณหนูปักม่าน พวกเจ้าพูดให้มันน้อยๆ หน่อย พักผ่อนกันเถอะ!” นางพูดพร้อมกับเก็บลายปักบนเตียง 

ชิวจวี๋ตอบรับ ทั้งสามคนก็พากันเข้านอน 

เช้าของวันต่อมา ฟ้ายังไม่สว่าง ป้าชินกับป้าถังก็ตื่นนอนแล้ว ไปต้มน้ำร้อนที่ห้องครัว พอถึงตีสี่สืออีเหนียงก็ตื่นนอน ปินจวี๋คอยปรนนิบัติรับใช้ล้างหน้าแปรงฟัน ชิวจวี๋ต้มโจ๊กเรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงกินโจ๊กกับหน่อไม้ดองไปครึ่งชาม จากนั้นก็มานั่งปักม่านต่อ 

เมื่อเห็นท้องฟ้าข้างนอกสว่าง มีสาวใช้คนหนึ่งมารายงานว่า “คุณหนูสิบเอ็ด นายหญิงใหญ่ให้ท่านไปที่เรือนจืออวิ๋นประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” 

สืออีเหนียงตกใจ  

เวลานี้ นายหญิงใหญ่เรียกนางไปทำไม? 

ในใจสับสนแต่มือเท้ากลับไม่กล้ารอช้า บอกให้ตงชิงเอาลูกกวาดให้เป็นรางวัลสาวใช้คนนั้น เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง นางพาหู่พั่วออกไปหานายหญิงใหญ่ด้วย 

เดินมาถึงใต้ชายคา นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงของอู่เหนียง 

ดูเหมือนว่านายหญิงใหญ่จะอารมณ์ดีไม่น้อยเลย 

สืออีเหนียงสงบสติอารมณ์ สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ เปิดม่านออกและรายงาน “คุณหนูสิบเอ็ดมาแล้วเจ้าค่ะ!” 

ทุกคนในห้องหยุดหัวเราะ สืออีเหนียงก็เดินเข้ามา 

นายหญิงใหญ่สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวลายผีเสื้อสีองุ่นนั่งยิ้มอยู่บนเตียงหลัวฮั่นในห้อง อู่เหนียงสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวลายไม้ไผ่นั่งตัวตรงอยู่บนเตียง รอยยิ้มบนใบหน้าของนางยังไม่หายไป มุมปากและคิ้วเต็มไปด้วยความสุข 

เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา นางก็ปิดปากยิ้มและพูดว่า “กำลังพูดถึงน้องหญิง น้องหญิงก็มาพอดี!” 

สืออีเหนียงยิ้มและเดินเข้าไปคารวะนายหญิงใหญ่ 

นายหญิงใหญ่ชี้ไปที่เก้าอี้จิ่นอู่ข้างเตียง “นั่งลงสิ!” 

สืออีเหนียงยิ้มและนั่งลง 

อู่เหนียงรีบยิ้มและพูดว่า “น้องหญิงสิบเอ็ด ท่านแม่จะพาพวกเราไปหาพี่หญิงใหญ่ที่เยี่ยนจิง” 

สืออีเหนียงมองไปที่นายหญิงใหญ่ด้วยความตกใจ 

นายหญิงใหญ่พอใจกับความตกใจของสืออีเหนียงเป็นอย่างมาก นางยิ้มและพยักหน้า “ปีก่อน พี่หญิงใหญ่ของเจ้าส่งท่านป้ามาคารวะข้า บอกว่าท่านปู่ท่านย่าของพวกเจ้าเสียชีวิตแล้ว หากนายท่านใหญ่ยังทำงานอยู่ที่เยี่ยนจิง พี่ใหญ่ของพวกเจ้าก็จะต้องเข้าไปเรียนหนังสือในสำนักศึกษา ถือโอกาสนี้ ข้าก็จะไปเยี่ยนจิง ไปอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา” พูดจบ นายหญิงใหญ่ก็ถอนหายใจ “จะว่าไป ตั้งแต่พี่หญิงใหญ่ของพวกเจ้าแต่งงานออกเรือนไป ข้าไม่ได้เจอนางสิบกว่าปีแล้ว คิดถึงนางไม่น้อย ได้ยินนางพูดเช่นนี้ข้าก็จิตใจสั่นไหว แต่พี่หญิงใหญ่ของพวกเจ้ากลัวว่าข้าจะทิ้งเรื่องในจวนไม่ลง นางเขียนจดหมายมาเร่งข้าไปเยี่ยนจิงอยู่บ่อยๆ ข้าคิดดูแล้ว วันเกิดของไท่ฮูหยินสกุลสวี ตรงกับเดือนสี่พอดี ข้าไปอวยพรวันเกิดให้ไท่ฮูหยินก็ไม่เลว แต่หากไปคนเดียวก็คงไม่สนุก จึงอยากจะพาพวกเจ้าสองคนไปด้วย” 

เรื่องที่ควรจะมาในที่สุดก็มาแล้ว… 

แต่สืออีเหนียงกลับไม่สะทกสะท้าน 

“น้องหญิงสิบเอ็ด” อู่เหนียงยิ้ม “เรามีวาสนาจริงๆ เลย” 

สืออีเหนียงสีหน้าลังเลและพึมพำว่า “ม่านกันลมยังปักไม่เสร็จเลย…” 

นายหญิงใหญ่ยิ้ม “เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะเอาของขวัญส่งไปให้เท่านั้น แต่ตอนนี้ในเมื่อพาพวกเจ้าไปด้วย ของขวัญที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ก็ไม่สำคัญอะไรแล้ว ม่านกันลมก็หยุดไว้ก่อนชั่วคราวก็ได้!” 

สืออีเหนียงคำนับและตอบรับ “เจ้าค่ะ”  

“เราฉลองตรุษจีนเสร็จก็ออกเดินทาง” นายหญิงใหญ่ยิ้ม “พวกเจ้าไปเก็บข้าวเก็บของเถิด! หากอยากได้อะไรก็ให้ป้าสวี่ช่วยเหลือ” 

สืออีเหนียงยิ้มและยืนขึ้น “ปกติท่านแม่มอบให้ข้าตั้งมากมาย ข้าคิดว่าคงไม่มีอะไรอยากได้แล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าข้าเปลือกตาบาง อยากขอให้ป้าสวี่ไปดูที่เรือน ไปดูว่ามีอะไรผิดพลาดหรือไม่ เพราะว่าไปอวยพรวันเกิดให้ไท่ฮูหยินที่จวนของพี่หญิงใหญ่ เรื่องหน้าตาก็ต้องให้ความสำคัญ!” 

นายหญิงใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า “เด็กน้อยของข้า เจ้าพูดถูก นี่ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้าคนเดียว ยังต้องเป็นหน้าเป็นตาให้พี่หญิงใหญ่ของพวกเจ้าด้วย” พูดจบ นายหญิงใหญ่ก็เรียกป้าสวี่เข้ามา “เรียกเถ้าแก่ร้านเหล่าจี๋เสียงมาทำเครื่องประดับให้กับคุณหนูทั้งสองเพิ่ม” 

ป้าสวี่ยิ้มและพยักหน้า 

สืออีเหนียงถามเรื่องที่ต้องคอยระมัดระวังตอนเข้าเมืองหลวง เห็นอู่เหนียงที่ลุกลี้ลุกลนอยู่ข้างๆ นางจึงลุกขึ้นขอตัวกลับหอลู่จวิน  

ทันทีที่นางก้าวข้ามผ่านประตู อู๋เซี่ยวเฉวียนก็เดินตามเข้ามา 

นางถือกระป๋องเล็กๆ อยู่ในมือ 

“คุณหนูสิบเอ็ด บ่าวมีเรื่องจะขอให้หู่พั่วช่วย” 

แน่นอนว่าสืออีเหนียงไม่ห้ามนางไว้ นางยิ้มและพูดว่า “ท่านป้ามีเรื่องอันใดก็เรียกนางไปทำได้เลย” 

“ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอกเจ้าค่ะ” อู๋เซี่ยวเฉวียนชี้ไปที่กระป๋องเล็กๆ ในมือของตัวเอง “บ่าวรู้ว่าท่านกำลังจะไปเยี่ยนจิง บ่าวอยากให้หู่พั่วช่วยนำปลากระป๋องนี้ไปให้หลูหย่งกุ้ยคนรับใช้ของคุณหนูใหญ่” 

สีหน้าของสืออีเหนียงดูไม่ค่อยดี “ไม่รู้ว่านายหญิงใหญ่จัดการคนเช่นไร…” 

ไม่รอให้นางพูดจบ อู๋เซี่ยวเฉวียนก็ยิ้มและตอบว่า “นายหญิงใหญ่พาป้าสวี่ไปด้วย เรื่องลานข้างในฝากไว้กับป้าเหยา เรื่อนของลานข้างนอกฝากไว้กับสามีของบ่าว เหลียนเฉียวป่วยอยู่ให้อยู่ที่จวน ส่วนลั่วเชี่ยวกับซานหูก็ไปด้วย ท่านกับคุณหนูห้า พาสาวใช้ใหญ่ไปด้วยคนละสองคน สาวใช้น้อยสองคน ท่านป้าอีกสองคน…” 

สืออีเหนียงแอบยิ้มอย่างขมขื่นในใจ 

เรือนของนางมีสาวใช้ใหญ่สามคน หู่พั่วเป็นคนที่นายหญิงใหญ่มอบให้ เช่นไรก็ต้องพานางไปด้วย ไม่แปลกที่อู๋เซี่ยวเฉวียนมาขอให้หู่พั่วช่วยเอาของไปให้ 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้หู่พั่วช่วยท่าน!” อู๋เซี่ยวเฉวียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว หากยังจะปฏิเสธ เกรงว่าอู๋เซี่ยวเฉวียนจะเปลี่ยนความคิด “แต่ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นเราจะไปหาหลูหย่งกุ้ยได้เช่นไร ท่านก็รู้ว่าเราเป็นหญิง แล้วยังไปเป็นแขกอีกด้วย…” 

“คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ บ่าวไม่มีทางทำเรื่องโง่ๆ เช่นนั้น” อู๋เซี่ยวเฉวียนยิ้มและรีบพูดต่อ “หลูหย่งกุ้ยผู้นี้คอยช่วยท่านป้าดูแลเรื่องสินสอดทองหมั้น ปกติเขาออกไปข้างนอกบ่อย อยู่ที่จวนน้อย จะไปเยี่ยนจิงท่านต้องให้เวลาเดินทางกว่ายี่สิบวัน ถึงตอนนั้นก็คงเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว เกรงว่าเขาจะออกไปจากจวนตั้งนานแล้ว ถึงตอนนั้นท่านก็ให้ตงชิงเอาของสิ่งนี้ให้กับหลูหย่งฝูน้องชายของหลูหย่งกุ้ยก็ได้เจ้าค่ะ พ่อของหลูหย่งกุ้ยเดิมเป็นผู้ดูแลบัญชี สามีของบ่าว ตอนนั้นโชคดีที่มีเขาคอยช่วยเหลือเอาไว้ ดังนั้นเราจึงไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง ครั้งก่อนที่หลูหย่งกุ้ยกลับมาอวี๋หัง บอกว่าอยากกินปลากระป๋องนี้ เดิมทีบ่าวรับปากเขาไว้ว่าจะหมักให้เขา แต่เยี่ยนจิงอยู่ไกลเกินไป บ่าวไม่ได้ส่งคนไป ครั้งนี้เพราะว่าท่านไปเยี่ยนจิง บ่าวจึงนึกขึ้นมาได้” 

ทำไมซับซ้อนขนาดนี้… 

สืออีเหนียงยิ้มและพูดว่า “แล้วข้าจะไปหาหลูหย่งฝูได้เช่นไรเจ้าคะ?” 

อู๋เซี่ยวเฉวียนยิ้มและพูดว่า “ตอนนี้เขาเป็นผู้ดูแลคอกม้าในจวนหย่งผิงโหว ที่นั้นคือลานข้างนอก ถึงตอนนั้นท่านถามคนรับใช้ก็จะทราบเองเจ้าค่ะ” 

สืออีเหนียงยิ้มและรับปาก ให้ตงชิงรับปลากระป๋องมาเก็บไว้ 

ปินจวี๋พูดเล่นกับอู๋เซี่ยวเฉวียน “หากหาคนไม่เจอ ปลากระป๋องนี้พวกเราไม่คืนนะเจ้าคะ” 

อู๋เซี่ยวเฉวียนหัวเราะ “เหล่าแม่นางกินกันเถิด ข้ายังมีอีกตั้งเยอะแยะ” 

ทุกคนพากันหัวเราะ 

****** 

ถึงตอนบ่าย เรื่องที่อู่เหนียงและสืออีเหนียงจะไปเยี่ยนจิงกับนายหญิงใหญ่ก็แพร่ออกไป  

บรรยากาศในเรือนของสืออีเหนียงค่อนข้างหดหู่ 

พาสาวใช้ใหญ่ไปด้วยสองคน สาวใช้น้อยสองคน ป้าอีกสองคน… สาวใช้น้อยกับป้าไม่ได้เลือกยาก แต่สาวใช้ใหญ่ จะพาใครไปด้วยดี 

สืออีเหนียงตัดสินใจไปหานายหญิงใหญ่ 

เพราะว่าเรื่องนี้ออกมาจากปากของอู๋เซี่ยวเฉวียน…ถึงแม้ว่านายหญิงใหญ่จะจัดการแล้วจริงๆ แต่ก่อนหน้าที่นางยังไม่ได้ป่าวประกาศ ยังพอมีโอกาสเอาคนไปด้วยเพิ่มอีกสักคน  

หลังจากตัดสินใจแล้ว สืออีเหนียงก็ยืนขึ้นมา จู่ๆ ม่านหน้าประตูก็เปิดออกอย่างไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ใบหน้าที่โมโหของสือเหนียงปรากฏขึ้นมาตรงหน้าสืออีเหนียง  

“ไม่เลว ไม่เลว ไม่เลว” นางเดินเข้ามาช้าๆ ด้วยรอยยิ้มที่กำลังโมโห “เจ้าไม่เลวจริงๆ! ไปเยี่ยนจิง…” 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท