สกุลหลัวได้สั่งทำกุญแจแต่ละห้องเป็นพิเศษตั้งแต่ต้นปี
ลั่วเชี่ยวได้กลับไปที่เรือนจืออวิ๋นตอนดึก
เหล่าสาวใช้น้อยพากันไปหยิบร่มแล้วคุกเข่าถอดรองเท้าออกให้นาง ต้อนรับนางเข้าไปในเรือน
สาวใช้น้อยคนหนึ่งยื่นเตาผิงมาให้
นางส่ายหน้าแล้วกำชับว่า “ไปตักน้ำมาให้ข้าล้างหน้า ข้ายังต้องไปรายงานกับนายหญิงใหญ่”
เหล่าสาวใช้น้อยไม่กล้าละเลยคำสั่ง รีบไปหยิบเสื้อผ้าที่ซักแล้วมาให้นางเปลี่ยน ไปตักน้ำอุ่นมาให้นางล้างหน้า ทำผมใหม่อีกครั้ง ลั่วเชี่ยวเห็นว่าจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว นางจึงหยิบเตาผิงที่อยู่ข้างๆ มาอุ่นมือสักครู่แล้วจึงไปที่ห้องนายหญิงใหญ่
อี๋เหนียงสามกำลังนั่งล้อมเตาอั้งโล่ทำงานเย็บปักอยู่กับสาวใช้น้อยสองสามคน เมื่อเห็นลั่วเชี่ยวจึงยิ้มแล้วถามว่า “งานเลี้ยงเลิกแล้วหรือ ทำไมจึงกลับมาเร็วเช่นนี้”
ลั่วเชี่ยวยิ้มแล้วพูดว่า “ยังไม่เลิกเจ้าค่ะ ซานหูและคนอื่นๆ กำลังดื่มเหล้าอย่างสนุกสนาน” ตอบพลางเดินไปข้างหน้ามองดูงานในมือของอี๋เหนียงสาม “นี่คือปลาคาร์ฟที่ปักได้ดูมีชีวิตชีวามากๆ เลยเจ้าค่ะ ปักให้คุณหนูห้าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ดวงตาของเคออี๋เหนียงแสดงถึงความอ่อนโยน “ข้าว่างไม่มีอะไรทำจึงทำชุดให้นาง จะได้ใส่ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า”
ลั่วเชี่ยวพูดคุยกับเคออี๋เหนียงสองสามประโยค จากนั้นก็ขึ้นไปที่ห้องนอนของนายหญิงใหญ่ “…บ่าวจะไปคารวะนายหญิงใหญ่เจ้าค่ะ”
“นายหญิงใหญ่กำลังพูดคุยอยู่กับป้าสวี่” เคออี๋เหนียงก้มหน้าก้มตาปักปลาคาร์ฟในมือ “บอกว่ามีเรื่องอะไรก็ให้รอก่อน”
จริงๆ แล้วนางคงพูดว่า ‘ไม่พบใครทั้งนั้น’
ลั่วเชี่ยวยิ้มเยาะในใจ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของนางกลับสดใสเป็นอย่างมาก “คงจะมีสาวใช้น้อยอยู่ข้างๆ คอยรับใช้ บ่าวจะไปเสนอหน้าสักหน่อยเจ้าค่ะ หากนายหญิงใหญ่ถามขึ้นมาจะได้ไม่คิดว่าบ่าวไปเล่นอยู่ที่นั่นจนไม่รู้กลางวันกลางคืน”
เคออี๋เหนียงเงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้ม “ก็จริงอยู่” จากนั้นก็ก้มหน้าทำงานในมือต่อ
ลั่วเชี่ยวเดินขึ้นไปบนเรือนเบาๆ
ชั้นบนของเรือนนั้นเงียบสงบ มีเพียงสาวใช้น้อยนั่งอยู่ตรงบันไดล้อมรอบเตาอั้งโล่พร้อมถือเตาผิงในมือ แสงสลัวจากใต้ผ้าม่านในห้องนอนด้านทิศตะวันออกถูกทอดยาวออกไปสะท้อนบนพื้นไม้สีน้ำตาลเข้มทำให้รู้สึกเงียบเหงา
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ สาวใช้น้อยก็เงยหน้าขึ้นทันที เมื่อเห็นว่าเป็นลั่วเชี่ยวนางก็ยิ้มขึ้นมา
ลั่วเชี่ยวไม่ได้รอให้นางพูดก็ได้กำชับนางว่า “เจ้ารีบไปรายงานเร็วเข้า นายหญิงใหญ่กำลังรอรายงานจากข้า”
สาวใช้น้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปรายงานที่หน้าผ้าม่าน
“ให้นางเข้ามา” มีความเหนื่อยล้าซ่อนเร้นอยู่ในน้ำเสียงของนายหญิงใหญ่
ลั่วเชี่ยวจัดเครื่องแต่งกายของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วจึงเดินเข้าไป
สาวใช้ที่ปกติคอยรับใช้อยู่ในบ้านได้หายไปจนหมด มีเพียงโคมไฟแปดเหลี่ยมจากในวังที่ถูกจุดอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง แสงสว่างสีแดงส่องบนรองเท้าปักลายค้างคาวสีแดงตัวใหญ่ห้าตัว ตู้สูงเคลือบสีแดงที่วางอยู่รอบๆ กลายเป็นเงาสะท้อนดำมืดพุ่งเข้าหาแสงเหมือนกับสัตว์ร้ายกินคนที่น่ากลัว
“กลับมาแล้วหรือ” นายหญิงใหญ่เอนศรีษะลงบนหมอนขนาดใหญ่ ใบหน้าขาวถูกผ้าม่านสีแดงบดบังครึ่งหนึ่ง มองดูเลือนลางเป็นอย่างมาก “ป้าสวี่ ช่วยหาที่นั่งให้นางที”
ป้าสวี่ที่นั่งอยู่ข้างเตียงยิ้มแล้วยกเก้าอี้เล็กมาวางไว้ตรงหัวเตียง
ลั่วเฉียวย่อเข่าคำนับขอบคุณนายหญิงใหญ่ จากนั้นก็ไปนั่งบนเก้าอี้เล็ก
“ทางนั้นสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
นายหญิงใหญ่นั่งตัวตรง นัยน์ตาคมเป็นประกายท่ามกลางความมืด
ลั่วเชี่ยวนิ่งไปชั่วครู่ หลังจากพิจารณาแล้วจึงเอ่ย “ตอนที่บ่าวไปก็ได้เห็นอู๋เซี่ยวเฉวียน…” นางเหลือบมองนายหญิงใหญ่ พยายามมองให้ชัดว่านายหญิงใหญ่มีท่าทีอย่างไร ไม่รู้ว่าแสงมืดเกินไป หรือว่านายหญิงใหญ่ไม่ได้แสดงท่าทีผิดปกติอะไรเลย ลั่วเชี่ยวไม่พบอะไรทั้งนั้น “แล้วยังมีคนของเราอย่างซานหู เฝ่ยชุ่ย ใต้เม่า ตู้เจวียน และตู้เวย คนของคุณหนูสิบสองก็มีอวี่ถง อวี่ไหว ไป๋จู และจินจู คนของคุณหนูสิบเอ็ดก็มีตงชิงที่อยู่กับอู๋เซี่ยวเฉวียน และหู่พั่วที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับซานหู แล้วยังมีปินจวี๋ ชิวจวี๋ และจู๋เซียงที่อยู่ข้างๆ คอยรับใช้ อาหารทั้งหมดมีเครื่องเคียงสี่อย่าง อาหารเย็นสี่อย่าง อาหารร้อนสี่อย่าง ผักสิบอย่าง และน้ำซุปอีกหนึ่งอย่าง บ่าวกลับมาก่อนที่งานเลี้ยงจะเลิก จึงไม่รู้ว่าอาหารหลักคืออะไรเจ้าค่ะ”
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทางฝั่งของอู่เหนียงกับสือเหนียงหรือ” เสียงของนายหญิงใหญ่แฝงไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย
ลั่วเชี่ยวรีบตอบว่า “ได้ยินมาว่าคุณหนูห้าส่งจื่อเวยมาให้นำชาซิ้นหยางเหมาเจียนสองห่อมาส่งให้เป็นของขวัญ ส่วนคุณหนูสิบได้ให้ไป่จือนำกระเป๋าและผ้าขนหนูมาให้”
นายหญิงใหญ่เงียบไปนานแล้วพูดขึ้นมาว่า “เจ้าออกไปได้แล้ว”
ลั่วเชี่ยวลุกขึ้นคำนับก้มหัวแล้วเดินออกไป
นายหญิงใหญ่ถามป้าสวี่ว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“ใจของนายหญิงใหญ่ชัดเจนราวกับกระจก” ป้าสวี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่จำเป็นต้องให้บ่าวพูดหรอกเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ถอนหายใจ แตะมือป้าสวี่เบาๆ “ตั้งแต่ต้นจนมาถึงตอนนี้ ก็ยังเหลือเพียงแค่พวกเราสองคนนายบ่าว”
ป้าสวี่ยิ้ม ดวงตาของนางเป็นประกาย “นายหญิงใหญ่ตัดพ้ออีกแล้ว สกุลของท่านมีกิจการที่ดี ลูกหลานมากมาย ทั่วอวี๋หังนี้ก็ไม่พบใครที่โชคดีไปกว่าท่านแล้วเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ถอนหายใจ เอนกายลงพิงหมอนใบใหญ่ “ก็ไม่รู้ว่ามีประโยชน์หรือไม่”
ป้าสวี่พยุงหลังนายหญิงใหญ่แล้วดึงหมอนออกมา ค่อยๆ ให้นายหญิงใหญ่นอนลง
“ในโลกใบนี้ไม่มีใครไร้ค่าหรอก เพียงแต่ต้องดูว่าท่านจะใช้ประโยชน์อย่างไรเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของนางอ่อนโยน ไม่เร็วไม่ช้าก็ทำให้ใจคนฟังสงบนิ่ง “คุณหนูใหญ่เป็นคนที่ฉลาดที่สุดที่บ่าวเคยพบในโลกใบนี้ สิ่งที่ท่านคิดได้ นางก็ต้องคิดได้เช่นกัน สิ่งที่ท่านคิดไม่ได้ นางจะต้องคิดได้อย่างแน่นอน ท่านเป็นคนที่คลอดและเลี้ยงดูนางมา บ่าวได้เฝ้ามองดูนางเติบโต ในเวลานี้หากพวกเราไม่ช่วยนางแล้วใครจะช่วยนาง ต่อให้ท่านไม่เชื่อในสายตาของตัวเอง แต่ก็ต้องเชื่อในสายตาของคุณหนูใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่กี่ปีนี้คุณหนูใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ไปๆ มาๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนรวยที่มีเกียรติ วิสัยทัศน์จึงได้แตกต่างจากเดิมไปนานแล้ว ท่านเพียงแค่นำหัวใจดวงนี้กลับคืนสู่ที่เดิม แล้วใช้ชีวิตให้สบายอย่างอุ่นใจ” ขณะที่พูดก็จัดมุมผ้าห่มให้เรียบร้อย
“ป้าสวี่ วันนี้เจ้านอนกับข้าเถิด!” รอยยิ้มเผยขึ้นที่มุมปากนายหญิงใหญ่ “เราไม่ได้คุยกันเช่นนี้นานแล้ว”
ป้าสวี่ยิ้ม “หลายปีแล้วที่บ่าวไม่ได้นอนข้างๆ เตียงนายหญิงใหญ่ บ่าวคิดถึงเป็นอย่างมาก” พูดพลางเดินออกไปเรียกให้สาวใช้น้อยนำเครื่องนอนเข้ามา
******
ณ เวลานี้ ศาลาหน่วนถิงกำลังครึกครื้น ตงชิงส่งสายตาให้ปินจวี๋ แล้วเดินกลับมาที่หอลู่จวินอย่างเงียบๆ
“…นายหญิงใหญ่ได้รับจดหมายจากนายท่านใหญ่หลังจากนอนกลางวัน ไม่ถึงหนึ่งเค่อ[1]คุณนายสามจวนตะวันตกก็มาปรึกษานายหญิงใหญ่เรื่องการจำนองที่ดิน ตู้เวยเป็นคนเข้าไปรายงานเจ้าค่ะ” ตงชิงกับสืออีเหนียงนั่งล้อมเตาอั้งโล่ “วันนั้นลมเหนือพัดมา ไม่รู้ว่าใครเปิดหน้าต่างด้านหลังบันได ตอนที่นางเดินเข้ามา ผ้าม่านตีเข้ากับวงกบประตูจนเกิดเสียงดัง นายหญิงใหญ่ขว้างถ้วยชาทิ้งเกือบจะโดนหัวของตู้เวยเจ้าค่ะ”
จวนสกุลหลัวเคยถูกนายท่านใหญ่คนก่อนแบ่งเขตเรือนไปหนึ่งครั้ง นายท่านใหญ่คนก่อนได้เรือนเดิมฝั่งด้านตะวันออกของจวนสกุลหลัว น้องชายของนายท่านใหญ่คนก่อนได้เรือนเดิมฝั่งตะวันตกของจวนสกุลหลัว ทุกคนจึงเรียกว่าจวนตะวันออกกับจวนตะวันตก
สืออีเหนียงใช้ที่คีบถ่านดึงถ่านไฟที่กำลังลุกไหม้ในเตาอั้งโล่ออกมา
กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า หลังจากที่นายหญิงใหญ่ได้รับจดหมายจากนายท่านใหญ่ ก็เอาความโกรธไปลงกับสาวใช้ที่ทำหน้าที่เปิดม่าน
“ได้รับจดหมายของนายท่านตอนที่กำลังทานอาหารเย็นอยู่” ตงชิงกำลังจัดเรียงข่าวสารที่ตัวเองได้ยินมา “เนื่องจากว่านายหญิงใหญ่อารมณ์ไม่ดีในตอนบ่าย ทุกคนจึงกลัวจนตัวสั่น ขณะนั้นเฝ่ยชุ่ยได้ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างๆ หลังจากที่ได้รับจดหมาย นายหญิงใหญ่ก็เอาแต่บีบจดหมายไม่ได้พูดอะไร ลุกขึ้นแล้วเดินไปมาอยู่ในห้อง จากนั้นก็เรียกให้คนไปเชิญป้าสวี่มา ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ในห้องเกือบทั้งคืนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงรู้สึกประหลาดใจ
หรือว่านายหญิงใหญ่เป็นคนที่ยิ่งเผชิญกับเรื่องใหญ่ก็ยิ่งสงบนิ่ง หรือว่าตัวเองจะเดาผิดไป ไม่…แม้ว่านางจะเดาผิด แต่ว่าที่อี๋เหนียงใหญ่กับอี๋เหนียงสองเดาก็ผิดอย่างนั้นหรือ และอู๋เซี่ยวเฉวียนเองก็เดาผิดเช่นกันหรือ
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็อดไม่ได้ที่จะลุกเดินไปรอบๆ เรือน
งานเลี้ยงครั้งนี้เดิมทีก็เพียงแค่ต้องการจะยืนยันบางอย่าง ท่าทีของอู่เหนียง สือเหนียง สือเอ้อร์เหนียงยังปกติเหมือนเดิม คนที่ผิดปกติคืออู๋เซี่ยวเฉวียนกับลั่วเชี่ยว ทั้งคู่ดูเป็นมิตรมากเกินไป และเป็นสองคนนี้ที่สามารถเข้าใจสิ่งที่นายหญิงใหญ่คิดได้ดีที่สุด โดยเฉพาะอู๋เซี่ยวเฉวียน นางเดินไปที่ลานด้านในด้วยตัวเองและเป็นมิตรกับคนของทุกเรือน สามีก็เป็นหัวหน้าผู้ดูแลสกุลหลัว ดูแลกิจการภายนอกทั้งหมดของสกุลหลัว ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น นางก็ควรจะเป็นคนที่ได้รับข่าวสารมากที่สุด…
สืออีเหนียงหยุดเดินโดยไม่รู้ตัว
“แล้วป้าอู๋ล่ะ ป้าอู๋มีการเคลื่อนไหวเป็นพิเศษหรือไม่ หรือว่าพูดอะไรแปลกๆ บ้างหรือไม่”
ตงชิงประหลาดใจเล็กน้อย ก้มหัวครุ่นคิดอยู่นาน พูดอย่างลังเลว่า “ป้าอู๋ฟังพวกเราพูดคุยกันอยู่ตลอด…” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็ตกใจทันที “จริงด้วย ตอนที่งานเลี้ยงเริ่มไปได้ครึ่งทาง ป้าอู๋ก็ให้บ่าวไปที่ห้องทำความสะอาดเป็นเพื่อนนาง เบ้ปากแล้วพูดบางอย่างแปลกๆ กับบ่าว”
สืออีเหนียงเดินไปนั่งข้างๆ ตงชิง
“นางพูดว่าอะไร”
เห็นว่าสืออีเหนียงสีหน้าดูกังวล และให้ความสำคัญกับคำพูดของอู๋เซี่ยวเฉวียน ตงชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วทวนสิ่งที่อู๋เซียวเฉวียนพูดหนึ่งรอบ “นางบอกว่าอยู่ที่นี่มีความสุขดี เมื่อกลับไปเรือนก็ต้องอยู่คนเดียว อ้างว้างเดียวดาย ผู้ชายในเรือนวันๆ ก็เอาแต่ยุ่งเรื่องรื้อกำแพงตะวันออกและซ่อมแซมกำแพงตะวันตก ไม่มีเวลามาดูข้าบ้างแม้แต่นิดเดียว เมื่อได้ในสิ่งนี้ก็ต้องเสียในสิ่งนั้น เมื่อได้ในสิ่งนั้นก็ได้เสียในสิ่งนี้ ไม่สามารถได้ทั้งสองอย่างพร้อมๆ กัน เมื่อเช้านี้ก็ถูกลั่วเชี่ยวเรียกให้ไปพบนายหญิงใหญ่ กลับมาก็อารมณ์ไม่ดีมาจนถึงตอนนี้ ไม่เหมือนตอนไปอยู่หลูหย่งกุ้ยที่เยี่ยนจิงกับคุณหนูใหญ่ ไม่ได้เจอกันนานหลายปี คุณหนูใหญ่ได้ซื้อเรือนที่เยี่ยนจิงและใช้ชีวิตเป็นคนในเมืองไปแล้ว นั่นเป็นถึงเรือนของสมุหนายกขุนนางระดับเจ็ดเชียวนะ ข้าเบื่อที่จะมองหน้าเขาแล้ว จึงอาศัยโอกาสนี้ออกมาข้างนอกเพื่อหาความสุขใส่ตัว เขาจะได้ไม่คิดว่าวันๆ ข้าอยู่แต่ในเรือนเพราะไม่มีที่ไป”
รื้อกำแพงตะวันออกแล้วซ่อมแซมกำแพงตะวันตก…ไม่สามารถได้รับสองสิ่งพร้อมๆ กัน…ถูกลั่วเชี่ยวเรียกไปพบนายหญิงใหญ่…หลังจากกลับมาก็อารมณ์ไม่ดี…ไม่เหมือนตอนไปอยู่หลูหย่งกุ้ยที่เยี่ยนจิงกับคุณหนูใหญ่…เบื่อที่จะมองหน้าเขา…อาศัยโอกาสนี้ออกมาหาความสุขใส่ตัว…
อู๋เซี่ยวเฉวียนต้องการจะสื่ออะไรกันแน่
พวกเขาสองคนสามีภรรยาเป็นถึงคนสนิทของนายหญิงใหญ่
มีอะไรที่คุ้มค่าที่ป้าสวี่จะเสี่ยงทำผิดต่อนายหญิงใหญ่เพื่อส่งสัญญาณบอกนางเป็นนัยๆ
สืออีเหนียงจมปลักอยู่กับการครุ่นคิด
“หลังจากนั้นพวกเราก็กลับมาที่ศาลาหน่วนถิง ลั่วเชี่ยวกลับไปแล้ว ส่วนเฝ่ยชุ่ยกำลังตำหนิเหลียนเฉียวอยู่เจ้าค่ะ”
“อ้อ!” สืออีเหนียงได้สติกลับมา “นางพูดอะไรบ้าง”
ตงชิงยิ้มพลางตอบ “ท่านก็รู้ว่าพวกนางสองคนไม่ถูกกันมาตลอด ดูเหมือนว่าเหลียนเฉียวจะทำงานบางอย่างผิดพลาด ถูกป้าสวี่ตบหน้าจนเห็นเป็นรอยบนใบหน้า ช่วงนี้จึงไม่กล้าไปให้ใครเห็นหน้า เฝ่ยชุ่ยดูเหมือนว่าจะมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น”
สืออีเหนียงจมปลักอยู่กับการครุ่นคิดอีกครั้ง
——————-
[1] เค่อ หน่วยนับเวลาจีน 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที