ด้านหน้าห้องโถงมีแท่นบูชาพระโพธิสัตว์กวนอิมหน้าตักกว้างสามไม้บรรทัดนั่งประดิษฐานอยู่ ข้างหน้ากระถางธูปทองสามขาขนาดเล็ก มีธูปกำยานปักอยู่สามก้าน
ท่ามกลางควันธูป พระโพธิสัตว์กวนอิมราวกับกำลังเฝ้ามองสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงด้วยความรักความเมตตา
ได้ยินสาวใช้รายงานว่าสืออีเหนียงนำงานถักมาส่งด้วยตัวเอง อี๋เหนียงทั้งสองก็เดินตามกันมา
ใบหน้ากลมของอี๋เหนียงใหญ่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและดูเป็นมิตร กำชับไฉ่สยาเสียงดังว่า “เร็วเข้า รีบไปยกน้ำชามาให้คุณหนูสิบเอ็ด!”
ใบหน้าซูบผอมของอี๋เหนียงสองก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นเช่นกัน ชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ “นั่งลงคุยกันก่อนเถิด”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วคำนับอี๋เหนียงทั้งสอง จากนั้นก็นั่งบนเก้าอี้ ส่งสัญญาณให้หู่พั่วนำกล่องมามอบให้อี๋เหนียงทั้งสองแล้วพูดอย่างสุภาพว่า “ไม่รู้ว่าจะใช่แบบที่ท่านต้องการหรือไม่”
อี๋เหนียงใหญ่รับกล่องมากับมือ ยังไม่ทันดูก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ต้องใช่สิ จะไม่ใช่ได้อย่างไร”
เหล่าสาวใช้ยกน้ำชามาวาง อี๋เหนียงใหญ่ยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้ข้าไปหอลู่จวินแต่เช้า ได้ยินว่าเจ้ากำลังทำงานถักจึงไม่ไปรบกวน ก็เลยไปหาคุณหนูสิบ”
ในเมื่อตัวเองนำงานถักมาส่งด้วยตัวเอง ก็จะถือโอกาสนี้พูดคุยบางเรื่องให้ชัดเจน ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่มีข้อห้าม ก็หมายความว่าไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยง
หากอ้อมค้อมไปเรื่อยๆ ก็จะดูเหมือนแสแสร้ง
สืออีเหนียงยิ้มอ่อน “ได้ยินว่าท่านไปหาสือเหนียง ข้าจึงให้ตงชิงไปเชิญ แต่ใครจะไปรู้ว่าท่านได้กลับไปเสียแล้ว ข้าคิดว่าอย่างไรเสียเมื่อทำงานถักเสร็จก็ต้องนำมาส่งอยู่ดีจึงไม่ได้ให้นางไปตาม”
อี๋เหนียงใหญ่ยิ้มอย่างมีเมตตา “ข้าต้องเลยไปหาคุณหนูห้าน่ะ”
สืออีเหนียงอดที่จะแปลกใจไม่ได้ นางเม้มปากเล็กน้อย กำลังคิดว่าจะพูดอะไรดี อี๋เหนียงใหญ่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเจ้ายังเด็ก จึงไม่รู้ถึงบางเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ครอบครัวฝั่งแม่สามีของคุณหนูใหญ่ของพวกเจ้า หย่งผิงโหวแห่งสกุลสวีเป็นคนพื้นเมืองของเหอเป่ย เนื่องจากว่าได้ผลงานจากการติดตามฮ่องเต้จึงได้รับการสืบทอดตำแหน่งขุนนาง ได้เป็นผู้บัญชาการกองทัพของประเทศ และสามารถเข้าไปสักการบูชาในวัดไท่เมี่ยวได้ ในสมัยเจิ้งอาน สกุลสวีได้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีสมรู้ร่วมคิดก่อกบฏของเจิ้งอานอ๋องจึงถูกยึดตำแหน่ง แม้ว่าจะฟี้นคืนตำแหน่งในสมัยปีเหยียน แต่ว่าอำนาจและชื่อเสียงกลับไม่ยิ่งใหญ่เท่าเมื่อก่อน ตอนที่นายท่านใหญ่ของตระกูลเราคนก่อนเป็นขุนนางในเมืองหลวง ก็ได้มีสัมพันธ์อันดีกับท่านโหวสกุลสวีคนก่อน ท่านจึงให้คุณหนูใหญ่แต่งกับสกุลสวี ในตอนนั้นคุณหนูใหญ่ของสกุลสวีก็เป็นเพียงพระชายาเจี่ยนที่ไร้อำนาจ ส่วนคุณชายไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ ยังมีทั้งพี่ชายและน้องชายที่เป็นองครักษ์ระดับเจ็ดในกองทัพองครักษ์ นายหญิงใหญ่จึงไม่ค่อยพอใจ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเมื่อถึงเวลาโชคกลับเข้าข้างเขา พี่ชายของคุณชายเสียชีวิตด้วยอาการป่วย คุณชายจึงได้รับสืบทอดตำแหน่งต่อ คุณหนูใหญ่จึงได้เป็นฮูหยินของหย่งผิงโหว ต่อมาเจี่ยนอ๋องได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ ก็ได้แต่งตั้งให้คุณหนูใหญ่สกุลสวีเป็นฮองเฮา และต่อมาคุณชายได้ปราบปรามกบฏเหมียวสือและเป่ยเจียงจึงถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ กลายเป็นผู้ว่าราชการระดับสาม ความมั่งคั่งที่เหลือเฟือเช่นนี้ไม่ใช่ว่าใครก็มีได้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้แววตาของอี๋เหนียงใหญ่มีความเย็นชาปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณหนูใหญ่คลอดลูกคนแรกแล้ว ฮูหยินคนก่อนของสกุลสวีเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง ก่อนที่จะให้คุณหนูใหญ่แต่งเข้ามา นางจึงให้คุณชายหยุดยากำหนัดที่ต้องร่วมห้องกับหญิงสาวสกุลฉินและหญิงสาวสกุลถง หลังจากนั้นก็ได้รับคุณหนูใหญ่จากสกุลเหวินแห่งหยางโจว เข้ามาเป็นอนุภรรยาของคุณชาย ปีต่อมาหญิงสาวสกุลฉินได้คลอดบุตรชายจึงถูกแต่งตั้งเป็นอี๋เหนียง แม้ว่าเหวินอี๋เหนียงจะไม่ได้โชคดีเหมือนหญิงสาวสกุลฉิน แต่ว่าก็ได้ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคน ทางด้านคุณหนูใหญ่ของพวกเราหลายปีมาแล้วก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย จึงให้สาวใช้ส่วนตัวอย่างชิวหลัวไปเป็นอนุภรรยา ชีวิตนางนั้นไม่ง่ายเลย ชิวหลัวเองก็ได้ตั้งครรภ์ ปีต่อมาก็คลอดบุตรชายหนึ่งคน ทว่าเด็กเสียชีวิตก่อนครบเดือน ด้วยเหตุนี้ นายหญิงใหญ่ของพวกเราจึงได้ไปขอพรกับเทพเจ้าไม่รู้กี่องค์ ไปไหว้พระไม่รู้กี่รูปแล้ว ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ไปหาสูตรลับมาแล้วเท่าไร กินยาไปไม่รู้เท่าไร ในที่สุดก็มีข่าวดีหลังจากแต่งงานได้แปดปี ใครจะไปรู้ว่าตั้งครรภ์ถึงเดือนที่เจ็ดก็รีบคลอดออกมาแล้ว ให้กำเนิดบุตรชายที่อ่อนแอแม้แต่แรงจะร้องไห้ก็ยังไม่มี ตั้งชื่อให้ว่าจุนเกอ”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความสงสัย
ในสายตาของหญิงในสกุลหลัว ในบรรดาพี่สาวน้องสาวในสกุลหลัว หลัวหยวนเหนียงเป็นเหมือนพระเจ้าที่อยู่สูง
รูปลักษณ์และความสามารถโดดเด่น แต่งงานกับขุนนางที่มีอำนาจในราชสำนักแล้วยังให้กำเนิดบุตรชาย… ความสุขทั้งหมดที่อยากมีในโลกใบนี้สามารถหาได้จากตัวของนาง แต่ว่า…สิ่งที่ทำให้นางคิดไม่ถึงก็คือตระกูลเหวินซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในสี่ของตระกูลพ่อค้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งแม่น้ำเจียงหนานกลับยอมให้บุตรสาวของตัวเองมาเป็นอนุภรรยาของหย่งผิงโหว
นางนึกถึงคำพูดของอี๋เหนียงสองในวันนั้น ‘จุนเกอเป็นบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอกแต่กลับไม่ใช่ผู้สืบทอด’ หรือว่านี่จะเป็นเรื่องราวภายในที่คนนอกไม่รู้
สืออีเหนียงรู้สึกคอแห้ง อยากจะถามแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร
“เพราะคลอดก่อนกำหนดจึงต้องคอยบำรุงด้วยโสมและรังนก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แข็งแรงวิ่งเล่นไปทั่วเหมือนบุตรชายของหญิงสาวสกุลฉิน แต่ว่าฉลาดเป็นอย่างมาก สามขวบก็สามารถรู้ตัวหนังสือ ห้าขวบก็สามารถวิเคราะห์บทความ เจ็ดขวบสามารถออกนโยบายได้ ตอนนี้พึ่งจะเก้าขวบ เห็นบอกว่าปีหน้าก็จะเข้าร่วมการสอบนักวิชาการ” พูดพลางชำเลืองมองสืออีเหนียง “ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้คุณหนูใหญ่ของพวกเรากินไม่ได้นอนไม่หลับ…ร่างกายจึงไม่แข็งแรงแล้ว”
สกุลสวีช่างซับซ้อนเสียจริง…
สืออีเหนียงยิ้มแห้ง ไตร่ตรองแล้วพูดว่า “ตระกูลเหวินทำไมถึงยอมยกบุตรสาวให้คนอื่นเพื่อไปเป็นอนุภรรยากันเล่า…เสียศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว”
อี๋เหนียงสองที่ไม่ได้พูดอะไรได้ส่งเสียง เหอะ ออกมาอย่างเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงเสียดสีว่า “ศักดิ์ศรีแล้วอย่างไร กินได้หรือ ดื่มได้หรือ เมื่อตระกูลเหวินมีความสัมพันธ์นี้ ปีนี้จึงได้ดูแลกิจการเครื่องลายครามของภายใน เมื่อเทียบกับกำไรจากเครื่องลายคราม ศักดิ์ศรีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด”
สืออีเหนียงหยุดสิ่งที่อยากจะพูดออกมาได้แต่คิดขึ้นในใจ
เป็นอย่างที่อี๋เหนียงสองพูด ศักดิ์ศรีทั้งกินไม่ได้และดื่มไม่ได้ แต่ในช่วงเวลาสำคัญ มันก็ทำให้คนยืดอกเอาชนะสภาวะที่ไม่มีกินไม่มีดื่มไม่ใช่หรือ
แต่ว่านางไม่ได้มาเพื่อโต้เถียงกับท่านป้าทั้งสอง และไม่ได้ต้องการที่จะไปเปลี่ยนแนวคิดของใคร
นางยิ้มแล้วพูดว่า “หากเป็นเช่นนี้ ชิวหลัวของพวกเราก็มีคุณหนูตระกูลเหวินเป็นเพื่อน ก็จะได้ไม่เหงาจนเกินไป”
อันที่จริงนางต้องการจะถามอี๋เหนียงใหญ่อ้อมๆ ว่าชิวหลัวที่เคยให้กำเนิดลูกของหย่งผิงโหวเป็นอย่างไรบ้าง
อี๋เหนียงใหญ่ก็เป็นคนฉลาด ยิ้มแล้วตอบทันทีว่า “หญิงสาวสกุลฉินได้รับการฝึกฝนจากฮูหยินคนก่อนของสกุลสวีมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ตระกูลเหวินเป็นบุตรสาวคนโตของภรรยาเอก แม้ว่าชิวหลัวของพวกเราจะหน้าตาสะสวย หากหญิงสาวเหล่านี้พึ่งพาเพียงแค่ความสวยก็พอจะสู้ได้ แต่หากเป็นเช่นนั้นทำไมถึงมีคำว่า ‘กิ่งทองใบหยก’ กันล่ะ” พูดพลางปิดปากหัวเราะ มุมตาและหางคิ้วเผยให้เห็นความมีเสน่ห์อยู่บ้าง
หมายความว่าชิวหลัวไม่ได้เป็นแม้แต่อี๋เหนียง
สืออีเหนียงหน้าซีดเล็กน้อย
แม้ว่าอี๋เหนียงทั้งสองจะแก่มากแล้ว ใบหน้าเหี่ยวย่น แต่เสน่ห์ที่พวกนางแสดงออกมาทำให้สืออีเหนียงพอเดาได้ว่าตอนนั้นพวกนางสวยแค่ไหน แม้แต่พวกนางเองก็ยังมีจุดจบเช่นนี้ นี่ไม่ใช่หลักฐานที่ดีที่สุดสำหรับหัวข้อที่ว่า ‘หญิงสาวไม่สามารถพึ่งพาเพียงแค่ความงามอย่างเดียวได้’ หรอกหรือ
นางถอนหายใจเบาๆ
“แต่สกุลหลัวของพวกเราเป็นสกุลขุนนางมาทุกยุคทุกสมัย นายท่านใหญ่คนก่อนเป็นขุนนางระดับสูง ใช่ว่าตระกูลพ่อค้าอย่างตระกูลเหวินจะเทียบได้” สืออีเหนียงกวาดตามอง “การจุดตะเกียงอายุยืนไม่ใช่เรื่องทั่วไปของชาวพุทธใช่หรือไม่”
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้เรื่องการจุดตะเกียงอายุยืน” อี๋เหนียงสองที่เย็นชาตอนนี้ในแววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เมื่อหม่าจื่อฟูอดีตรองเจ้ากรมมหาดไทยคนก่อนไปร่วมการเมืองที่มณฑลส่านซี เคยมีภรรยาและลูกข้างนอกบ้าน ฮ่องเต้องค์ก่อนก็ยังเรียกเขาว่า ‘ขุนนางที่ดี พรสวรรค์ยอดเยี่ยม’ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าทั้งสามคนไม่ได้อยู่ในลำดับวงศ์สกุล!”
ในเวลานี้สืออีเหนียงไม่สามารถปกปิดการสั่นไหวในหัวใจของนางได้อีกต่อไป ใบหน้าของนางซีดลงในทันที
“ไม่ได้อยู่ในลำดับวงศ์สกุลหรือเจ้าคะ”
นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในลำดับวงศ์สกุล
อี๋เหนียงใหญ่ถอนหายใจยาว มองตานางด้วยความสงสาร “ตอนที่พวกเจ้าพึ่งกลับมาจากฝูเจี้ยน นายท่านสองและนายท่านสามก็ได้พาคนในครอบครัวกลับมาจากการทำหน้าที่เช่นกัน เดิมทีในเรือนก็มีเรื่องเยอะอยู่แล้ว แล้วเจ้ายังมาล้มอีก…นายหญิงใหญ่ก็เลยลืมเรื่องนี้ไปเลย”
******
สืออีเหนียงกลับมาที่หอลู่จวินด้วยอารมณ์สับสน
สือเหนียงยังไม่กลับมา
นางให้ตงชิงไปหาข่าว ไป่จือบอกว่าสือเหนียงออกไปตั้งแต่ตอนบ่ายยังไม่ได้กลับมาเลย
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็เงียบอยู่นาน ให้หู่พั่วนำตัวอักษรที่อู่เหนียงเขียนเสร็จแล้วมาเปิดให้ตงชิงดู
“ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งคืน เจ้าใช้กระดาษใสคัดลอกออกมาหนึ่งแผ่น”
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าสืออีเหนียงจะทำอะไร แต่ตงชิงก็ยังตอบรับด้วยความเคารพเช่นเคย
สืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไรอีก มีหู่พั่วเป็นคอยรับใช้ในยามพักผ่อน
เช้าตรู่วันต่อมาตงชิงนำงานที่นางมอบหมายให้มาส่งในสภาพที่ขอบตาดำคล้ำ
สืออีเหนียงหยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียดอยู่นาน จากนั้นพยักหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “ทักษะการเขียนของตงชิงดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวานทำงานหนักแล้ว เจ้ารีบไปพักผ่อนเถิด”
ตงชิงตอบรับแล้วเดินถอยออกไป สืออีเหนียงเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ จากนั้นก็นำจดหมายกับกระดาษใสลงในซองปิดผนึกแล้วส่งให้ชิวจวี๋ “เจ้านำสิ่งนี้ส่งไปยังที่อยู่ของอาจารย์เจี่ยนในเมืองหังโจว” แล้วให้หู่พั่วให้เงินนางห้าตำลึง “อย่าให้ใครรู้เด็ดขาด”
เมื่อเข้าสู่เดือนในฤดูหนาว อาจารย์เจี่ยนก็กลับไปที่หังโจวเพื่อฉลองตรุษจีน เดือนสามปีหน้าถึงจะกลับมาที่จวนสกุลหลัว
ชิวจวี๋รับจดหมายมาใส่ไว้ในแขนเสื้อ “คุณหนูต้องการจะปรึกษาอาจารย์เจี่ยนเรื่องปักม่านกันลมใช่หรือไม่ บ่าวจะไม่บอกใครแน่นอนเจ้าค่ะ”
นางมีพี่ชายหนึ่งคนทำงานเป็นคนรับใช้ในคอกม้า เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวเรือขนส่งของสกุลหลัวเหล่านั้น
สืออีเหนียงไม่ได้อธิบายอะไร ยิ้มแล้วเดินไปที่เรือนนายหญิงใหญ่
“เมื่อคืนหลับอย่างสบาย อีกสักพักกลับไปข้าจะเริ่มปักม่านกันลม”
นางพยายามมาให้เช้ากว่าเมื่อวาน แต่นางก็ยังเจอกับอู่เหนียงอยู่ดี
นายหญิงใหญ่รีบให้คนนำนมแพะมาให้นาง รอนางดื่มเสร็จก็ให้นางปักม่านกันลมอย่างสบายใจ กลางคืนไม่ต้องมาคารวะ แล้วยังกำชับว่า “การปักม่านกันลมให้เสร็จตามเวลาจึงจะเป็นความกตัญญูที่แท้จริง”
คราวที่แล้วนายหญิงใหญ่ก็เคยพูดเช่นนี้ ดูแล้วนายหญิงใหญ่คงจะต้องการเช่นนั้นจริงๆ
สืออีเหนียงครุ่นคิด ยิ้มแล้วตอบรับ พูดคุยกับนายหญิงใหญ่เล็กน้อย จากนั้นก็กลับไปที่หอลู่จวินเริ่มรวบรวมสมาธิเพื่อปักม่านกันลม
ผ่านไปสองสามวันนายหญิงใหญ่ได้ส่งคนมาทำเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิให้สืออีเหนียง
ตงชิงรู้สึกประหลาดใจ
การทำเสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ผลินั้นมีกำหนดว่าจะต้องทำหลังจากวันที่สองของเดือนกุมภาพันธ์
ตอนนี้ยังไม่ทันข้ามปีเลย
เมื่อสืออีเหนียงรู้ก็เพียงเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “ทำให้แค่ข้าหรือว่าทำให้ทุกคน”
คนที่มาวัดขนาดเสื้อยิ้มแล้วตอบว่า “แน่นอนว่าทำให้ทุกคนเจ้าค่ะ แต่ว่านายหญิงใหญ่บอกว่าปีนี้คุณหนูสิบเอ็ดโตขึ้นเยอะกว่าเดิม จึงให้พวกเราทำเพิ่มสักสองสามชุดเจ้าค่ะ”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็พยักหน้าโดยไม่ได้ใส่ใจ จากนั้นก็ก้มหน้าปักม่านกันลมต่อ
แต่เมื่อหู่พั่วได้ยินกลับรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ดึงปินจวี๋ออกไป “อาศัยตอนที่คุณหนูมีตงชิงคอยรับใช้ พวกเราไปที่เรือนคุณหนูห้าสักหน่อย เมื่อก่อนข้าอยู่กับนายหญิงใหญ่ ไม่ค่อยได้พูดคุยกับจื่อเวยและจื่อย่วน ตอนนี้ข้าเป็นคนของคุณหนูสิบเอ็ดแล้ว ควรจะสนิทสนมกับคนของคุณหนูทั้งหลายจะดีกว่า”
ปินจวี๋สนับสนุนความคิดของนางเป็นอย่างมากจึงไปที่เรือนของอู่เหนียงกับหู่พั่ว