Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1801 แม่น้ำเก้าแคว้น

ตอนที่ 1801 แม่น้ำเก้าแคว้น
วาสนาอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการสร้างฐานมรรคของราชันอริยะหรือ
หลินสวินได้ยินดังนี้ แต่กลับไม่ถึงขั้นหวั่นไหวเท่าไหร่
เขารอแค่จุดเปลี่ยนเดียวก็จะทะลวงปราณบนมรรคาของตนได้แล้ว ไม่ต้องการวาสนาอะไรเลย
อวี่ชิงหยางเหมือนมองความคิดของหลินสวินออก “วาสนานี้เป็นสิ่งที่ ‘จักรพรรดิอวี่’ บรรพชนตระกูลอวี่ของข้าเหลือทิ้งไว้ แดนแห่งวาสนามีโครงสร้างเหมือน ‘เก้ากระถางสยบหล้า’ ขอเพียงเป็นผู้ที่มีความสามารถเข้าไปในนั้นได้ ล้วนย่อมได้รับการขัดเกลา ‘เขตแดนมรรค’ จากพลังของเก้ากระถาง”
“สหายน้อย บางทีเจ้าอาจไม่ต้องกังวลเรื่องการทะลวงปราณ แต่เจ้าเคยพิจารณาไหมว่าควรควบรวมเขตแดนมรรคของตนอย่างไร”
คำพูดพวกนี้ทำให้หลินสวินอดใจเต้นไม่ได้
ระดับราชันอริยะจะครอบครองเขตแดนมรรคได้ เมื่อสำแดงออกมา เขตแดนจะเหมือนโลกหล้า ยามสังหารศัตรู หากอยู่ในเขตแดนมรรคก็เหมือนผันตัวเป็นนายเหนือหัว อานุภาพยิ่งใหญ่มหัศจรรย์หาใดเปรียบ
ส่วนการควบรวมเขตแดนมรรคก็เป็นสิ่งที่หลินสวินขาดในยามนี้
หลินสวินกล่าว “ผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ”
อวี่ชิงหยางกล่าว “เขตแดนก็เหมือนโลกหล้า เขตแดนมรรคคือการใช้พลังมหามรรคที่ตนครอบครอง วิวัฒน์เป็นพลังที่เหมือนกฎระเบียบของโลก”
“การฝึกปราณของพวกเราคือหยั่งรู้ผืนฟ้าปฐพี เป้าหมายสุดท้ายก็คือควบคุมกฎระเบียบฟ้าดิน นำมาใช้งาน เขตแดนมรรคก็ถือกำเนิดด้วยเหตุนี้”
จากคำพูดของอวี่ชิงหยาง อานุภาพเขตแดนมรรค มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังมหามรรคที่ผู้ฝึกปราณครอบครอง
คุณลักษณะของมหามรรคที่ครอบครองยิ่งสูง อานุภาพของเขตแดนมรรคก็ยิ่งแข็งแกร่ง
ภายในนั้นมีข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ เขตแดนมรรคที่มกุฎราชันอริยะครอบครองจะมีอานุภาพเหนือกว่าเขตแดนมรรคของราชันอริยะทั่วไป!
และเขตแดนมรรคที่มกุฎราชันอริยะครอบครอง ก็มีอานุภาพที่ต่างกันไปเช่นกัน
“สหายน้อยโปรดดู”
อวี่ชิงหยางพูดพลางขับเคลื่อนความคิด
เบื้องหน้าหลินสวินพลันฝ้าฟาง ปรากฏตัวอยู่ในเขตแดนมรรคที่อัศจรรย์หาใดเปรียบแห่งหนึ่งทันที ภูเขาแม่น้ำเรียงราย ผืนฟ้ากว้างใหญ่ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของพลังชีวิต
ไหนเลยจะเหมือนเขตแดนมรรคแห่งหนึ่ง ช่างไม่ต่างอะไรกับโลกใบเล็กใบหนึ่งจริงๆ!
“ขอแค่ข้าขับเคลื่อนความคิด ทิวทัศน์นี้ก็จะกลายเป็นพลังมหามรรคที่เหมือนกฎเกณฑ์ของโลกหล้า สยบพิฆาตคู่ต่อสู้”
ขณะที่เสียงของอวี่ชิงหยางดังขึ้น ภูผาธารากว้างใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปนั้นเหมือนมีชีวิตขึ้นมาทันที กลายเป็นดาบเล่มหนึ่งพาดขวางเวิ้งฟ้า โชติช่วงชัชวาล คอมประกายอัดแน่นฟ้าดิน!
“หมอกเมฆ กระแสลม ต้นไม้ใบหญ้า ปฐพี เงาแสงนี้… ล้วนเปลี่ยนเป็นพลังให้ข้า สร้างประโยชน์แก่ข้าได้”
อวี่ชิงหยางกล่าว “สรุปง่ายๆ ก็คือ ในเขตแดนนี้ข้าเป็นเทพผู้สร้างสรรพสิ่ง เมื่อขับเคลื่อนความคิดก็ทำทุกอย่างได้ตามต้องการ ครอบครองความเป็นตายได้ดุจภาพฝันมายา!”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น เขตแดนมรรคที่เหมือนโลกใบเล็กนี้ก็หายไป
ในใจหลินสวินกลับไม่อาจนิ่งสงบ
ก่อนหน้านี้ยามที่เขากำราบหม่าไท่เจิ้น ฆ่าเหวยชงและไฉเฟิง… ก็เคยเจอเขตแดนมรรคที่พวกเขาครอบครองมาก่อน
แต่เปรียบเทียบกับอวี่ชิงหยางแล้ว เขตแดนมรรคของพวกหม่าไท่เจิ้นก็เหมือนกระท่อมมุงจากผุพังย่อยยับ
“พลังของเขตแดนดำรงอยู่ทุกแห่งหน สหายน้อยเจ้าดูนะ”
อวี่ชิงหยางพูดพลางยื่นนิ้วหนึ่งออกไป ปลายนิ้วพลันปรากฏแสงมรรคเพริศแพร้วเล็กน้อย
สายตาหลินสวินมองไป แค่แสงสายหนึ่งบนปลายนิ้วเท่านั้น แต่ภายในกลับเหมือนเต็มไปด้วยนัยเร้นลับแห่งมหามรรคนานัปการ วิวัฒน์ออกมาเป็นพลังกฎระเบียบนับไม่ถ้วน!
“เขตแดนมรรคไม่เพียงแต่ล้อมสังหารคู่ต่อสู้ได้ ยังควบรวมไว้ในแต่ละกระบวนท่าได้ด้วย ยามต่อสู้ทั้งปราณกระบี่ ปราณดาบ พลังหมัด พลังดรรชนี ประทับฝ่ามือ… ไม่ว่าจะสำแดงวิชาต่อสู้ใด ล้วนควบรวมพลังของเขตแดนมรรคไว้ในนั้นได้”
อวี่ชิงหยาง ‘จักรพรรดิดาบ’ คนหนึ่งที่เกริกก้องสะท้านฟ้าดารามานานมากแล้ว!
ด้วยการชี้แนะจากเขา ทำให้หลินสวินได้รับประโยชน์ไม่น้อย เข้าใจนัยเร้นลับของพลังเขตแดนมรรคอย่างลึกซึ้ง
การชี้แนะเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับถ่ายทอดวิชาไขข้อสงสัย!
“เจ้ามีร่างอริยบุคคลแล้ว ทั้งยังครองมกุฎมรรคาด้วย วันหน้ายามทะลวงปราณต้องบรรลุระดับมกุฎราชันอริยะได้แน่ ตอนนี้สิ่งเดียวที่ต้องพิจารณาก็คือควรควบรวมเขตแดนมรรคของตนอย่างไร”
อวี่ชิงหยางกล่าว “ดังนั้นข้าจึงแนะนำเจ้าให้มุ่งหน้าไปเยือนแดนลับต้าอวี่ โครงสร้างของเก้ากระถางสยบหล้าที่อยู่ในนั้น เดิมทีก็เป็นสิ่งที่บรรพชนตระกูลอวี่ของข้าเหลือทิ้งไว้ มีประโยชน์อย่างไม่อาจประเมินต่อการควบรวมและเคี่ยวกรำเขตแดนมรรค”
คราวนี้หลินสวินตอบรับอย่างยินดี “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ!”
อวี่ชิงหยางหัวเราะร่า “มาๆๆ ดื่มเหล้า”
ตั้งแต่วันนี้ไปหลินสวินจึงอยู่ที่ภูเขาเทพนพเลิศ สงบใจฝึกปราณ ถกมรรคสนทนานัยเร้นลับกับอวี่ชิงหยางเป็นครั้งคราว มีความรู้สึกว่าได้กระจ่างแจ้งอยู่บ่อยครั้ง
อวี่ชิงหยางก็ชี้แนะเพิ่มเติม พูดได้ว่าถ่ายทอดสิ่งที่ตนหยั่งรู้บนหนทางฝึกปราณออกมาจนหมด
สิ่งที่ทำให้หลินสวินปิติยินดีคือ เดิมทีเขายังกลัดกลุ้มว่าควรช่วยหนานชิวเลือกสำนักอย่างไร หลังจากอวี่ชิงหยางรู้เรื่องนี้ก็เอ่ยปากรับหนานชิวให้ติดตามฝึกปราณอยู่ข้างกายเขาตรงๆ
จักรพรรดิดาบชิงหยางที่ชื่อเสียงสะเทือนฟ้าดารา ถึงกับยอมรับตนให้ฝึกปราณอยู่ข้างกาย นี่ทำให้หนานชิวรู้สึกผิดคาดและประหลาดใจหาใดเปรียบ
เวลาผ่านเลยไปเรื่อยๆ
ในตระกูลอวี่ ภายใต้การจัดระเบียบครั้งใหญ่ของอวี่ปี้คง สถานการณ์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ มีเสถียรภาพอย่างสมบูรณ์
อวี่ปี้คงไม่ฉวยโอกาสนี้ดันบุตรชายอวี่อวิ๋นเหอขึ้นตำแหน่งผู้นำตระกูลน้อย แต่ยังเลือกจะจัดการทดสอบประจำตระกูลเหมือนเดิม อาศัยสิ่งนี้มาคัดกรองและเลือกสรรคนที่มีคุณสมบัติเป็นผู้นำตระกูลรุ่นต่อไป
นี่ทำให้คนในตระกูลอวี่ต่างโล่งอก
หลายวันต่อมา การทดสอบประจำตระกูลอวี่ได้เปิดม่านตามกำหนด
หลินสวินพาหนานชิวมาดูด้วย ได้การต้อนรับจากคนในตระกูลอวี่ทุกคนในที่นั้นเป็นอย่างดี
ในตระกูลอวี่ยามนี้ล้วนรู้ชัด ว่าชายหนุ่มที่มีชื่อว่าหลินเต้ายวนคนนี้มีความเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับผู้อาวุโสชิงหยางนานแล้ว ใครจะกล้ามองเขาเป็นคนธรรมดาได้อีก
สองวันต่อมา
การทดสอบประจำตระกูลปิดฉาก สุดท้ายมีอยู่สามคนที่โดดเด่นเหนือผู้อื่น
ได้แก่อวี่อวิ๋นเฟิงซึ่งเป็นพี่ใหญ่ในหมู่คนรุ่นเยาว์ อวี่อวิ๋นหลงที่เป็นพี่รอง รวมถึงอวี่อวิ๋นเหอที่เป็นน้องหก
ความสามารถที่แสดงออกมาของอวี่อวิ๋นเหอ อยู่เหนือความคาดหมายของคนในตระกูลอวี่ส่วนใหญ่อย่างสิ้นเชิง
พวกเขาเพิ่งตระหนักได้ว่า อวี่อวิ๋นเหอที่หลายปีมานี้ถูกพวกเขามองเป็นคนไร้ความสามารถเหมือนลูกผู้ดี ถึงกับมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
นี่ก็เป็นการยืนยันคำพูดของอวี่ปี้คงบิดาของเขา คนไร้ประโยชน์ที่ไม่เอาการเอางานคนหนึ่ง จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งคนแรกที่บรรลุมกุฎมหาอริยะในหมู่คนรุ่นเยาว์ได้อย่างไร
ส่วนอวี่อวิ๋นเจิงที่มุ่งเป้ามาที่อวี่อวิ๋นเหอตลอด ก็ไม่ปรากฏตัวที่การทดสอบประจำตระกูลเลย
เหตุผลนั้นง่ายมาก ด้วยเขาเคยร่วมมือกับหลันไฉ่อีเพื่อทำร้ายหลินสวิน ทั้งร่วมมือกับทายาทรุ่นเยาว์คนอื่นมุ่งเป้ามาที่หลินสวินและอวี่อวิ๋นเหอ จึงถูกอวี่ปี้คงกักขังไว้โดยไม่ลังเล เกรงว่าชีวิตนี้คงไม่มีวันได้เสนอหน้าออกมาอีก!
วันนั้นเองที่อวี่ปี้คงได้ประกาศว่าหลังจากนี้ครึ่งเดือน อวี่อวิ๋นเหอ อวี่อวิ๋นเฟิง อวี่อวิ๋นหลงสามคนจะมุ่งหน้าไปที่แดนลับต้าอวี่พร้อมกับหลินสวิน!
โลกต้าอวี่
ช่วงที่ผ่านมาในโลกต้าอวี่ก็มีคลื่นลมก่อตัว ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะแดนลับต้าอวี่ใกล้จะเปิดอีกครั้ง!
ครั้งนี้ยอดบุคคลของเก้าโลกใหญ่รวมถึงโลกต้าอวี่ในเขตแดนดาราจื่อเหิง ล้วนมาเข้าร่วมในงานนี้ด้วย
ฟุ่บ!
ยานสมบัติลำหนึ่งพุ่งแหวกอากาศ พาพวกหลินสวินและอวี่อวิ๋นเหอพุ่งห่างออกไป
แดนลับต้าอวี่ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำเก้าแคว้น นั่นเป็นอาณาเขตหนึ่งที่เหมือนเขตผนึก เต็มไปด้วยกระแสน้ำหลากเยียบเย็นที่ม้วนตัวลงมาจากเวิ้งฟ้า
ยามปกติต่อให้เป็นอริยะก็ไม่กล้าเข้าใกล้ง่ายๆ
เมื่อแดนลับต้าอวี่เปิดออก กระแสน้ำเยียบเย็นที่ปกคลุมอยู่บนแม่น้ำเก้าแคว้นนั้นจะมีทางเข้าสู่แดนลับต้าอวี่ปรากฏออกมา
“แดนลับต้าอวี่คือสิ่งที่บรรพชนตระกูลอวี่ของพวกเจ้าเหลือทิ้งไว้ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงอนุญาตให้ผู้แข็งแกร่งของเก้าโลกใหญ่เข้าไปในนั้นด้วย”
บนยานสมบัติหลินสวินใคร่รู้อยู่บ้าง
“เรื่องนี้ข้ารู้ดี ปีนั้นตอนที่จักรพรรดิอวี่บรรพชนตระกูลอวี่ของข้าหลอมศาสตราจักรพรรดิเก้ากระถางขึ้น เคยยืมพลังกฎเกณฑ์แรกกำเนิดของเก้าโลกใหญ่นี้ ตั้งแต่นั้นมาจักรพรรดิอวี่ก็รับปากว่าจะเปิดแดนลับต้าอวี่ให้เก้าโลกใหญ่ด้วย ผู้มีวาสนาล้วนเข้าไปเสาะหาศุภโชคในนั้นได้”
อวี่อวิ๋นเหอกล่าวอธิบายอย่างรวดเร็ว
หลินสวินพลันเข้าใจกระจ่าง
หลายวันต่อมา
พวกเขามาถึงหน้าแม่น้ำเก้าแคว้นอย่างราบรื่น
ครืนๆ
แม่น้ำเก้าแคว้นกว้างใหญ่ไพศาล เสียงคลื่นดั่งฟ้าคำรามเหมือนหลั่งลงมาจากฟากฟ้า ฟองคลื่นท่วมนภา กระแสน้ำหลากเยียบเย็นโหมกระหน่ำ ตระการตาและน่ากลัวหาใดเปรียบ
เมื่อพวกหลินสวินมาถึงก็มีผู้ฝึกปราณมากมายปรากฏตัวอยู่ก่อนแล้ว
“ทายาทตระกูลอวี่มาแล้ว!”
“อวี่อวิ๋นเหอ? ฮ่าๆ เจ้าลูกผู้ดีจอมอวดเบ่งนี่ก็มาด้วย คนรุ่นเยาว์ของตระกูลอวี่ไม่มีใครแล้วหรือ”
เมื่อเห็นพวกหลินสวินในที่นั้นก็เกิดความโกลาหล คนไม่น้อยต่างหัวเราะเยาะขึ้นมา ด้วยมองเห็นลูกผู้ดีอย่างอวี่อวิ๋นเหอ
ส่วนหลินสวิน เนื่องจากหน้าไม่คุ้นจึงไร้คนเหลียวแล
อวี่อวิ๋นเหอกล่าวอย่างราบเรียบ “พี่หลิน ไม่จำเป็นต้องใส่ใจพวกมีตาหามีแววไม่พวกนี้ พวกเราไปหาสถานที่พักผ่อนก่อน ยังเหลือเวลาก่อนวันที่ทางเข้าของแดนลับจะเปิดออกอีกสามวัน”
ขณะที่พวกเขาหาที่พักเท้าได้
วู้ม!
รุ้งเพลิงสายหนึ่งพุ่งผ่าอากาศมา
ในรุ้งเพลิงมองเห็นเงาร่างที่เหมือนเทพปีกอัคคีร่างหนึ่งอยู่รางๆ เปลวไฟอบอวลไปทั้งตัว คิ้วและเส้นผมล้วนเป็นสีชาด ปีกทั้งสองที่อยู่ด้านหลังโบกสะบัด ฝนเพลิงงามตระการไหลบ่า
ทันทีที่คนผู้นี้มาถึง อานุภาพกดดันที่ปกคลุมฟ้าดินก็เต็มแน่นไปทั่วลาน ทำให้ห้วงอากาศบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ส่งเสียงครวญไม่หยุด
“เป็นชื่อหลิงจื่อแห่งโลกใหญ่ขุมอัคคี ลือกันว่าเขามีร่างจริงเป็นเพลิงมรรคแต่กำเนิด พรสวรรค์โดดเด่น เป็นอันดับหนึ่งในระดับมกุฎมหาอริยะของโลกใหญ่ขุมอัคคี!”
มีคนตกตะลึง
“เป็นเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาด้วย ได้ยินว่าหลายปีก่อนหลังจากกระดานมหาอริยะฟ้าดาราจัดอันดับใหม่อีกครั้ง ชื่อหลิงจื่อได้ก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับที่เจ็ดสิบสาม ปั่นป่วนไปทั่วเขตแดนดาราจื่อเหิง”
คนไม่น้อยสูดหายใจเย็นเยียบ ก่อให้เกิดความแตกตื่นในที่นั้น
“ร้ายกาจ…”
“นี่คือคู่ต่อสู้คนหนึ่งที่ไม่อาจไม่ให้ความสำคัญและทวีความระวัง!”
อวี่อวิ๋นเหอ อวี่อวิ๋นเฟิง อวี่อวิ๋นหลงต่างไหวหวั่น เผยสีหน้าหวาดกลัว
คนที่ก้าวขึ้นไปอยู่ในร้อยอันดับแรกของกระดานมหาอริยะฟ้าดาราได้ ในโลกใหญ่มากมายทั่วเขตแดนดาราจื่อเหิงนี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นคนที่หายากดั่งขนหงส์เขากิเลน
ส่วนหลินสวินก็ไม่แม้แต่จะเหลือบมองสักนิด
ตอนอยู่ที่แหล่งสถานคุนหลุน เขาเคยฆ่ามกุฎมหาอริยะที่อันดับสูงกว่าชื่อหลิงจื่อมานับไม่ถ้วน อย่างเช่นซวีหลิงคุน กู่ฉางซิน เมิ่งอี้… ไหนเลยจะเห็นคนพวกนี้อยู่ในสายตา
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าต่อให้หลินสวินไม่สมัครใจ ก็ไม่อาจไม่ยอมรับความจริงเรื่องหนึ่ง
นั่นก็คือเขาในตอนนี้เป็นอันดับหนึ่งบนกระดานมหาอริยะฟ้าดาราแล้ว
……………………..
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท