คนว่างงาน?
การเป็นคนว่างงานนี่ช่างดีเสียจริง!
เดี๋ยวก็ไปหานายหญิงใหญ่ เดี๋ยวก็ไปหาคุณหนูห้า เดี๋ยวก็มาที่ศาลาหน่วนถิงของหอลู่จวิน…เกรงว่าจะไม่มีใครว่างเท่านางแล้ว!
จื่อเวยยิ้มเย้ยในใจ แต่บนใบหน้ากลับยิ้มจนตาหยี พูดคุยสองสามคำกับอู๋เซี่ยวเฉวียน จากนั้นก็นำของที่ถือมาส่งให้หู่พั่ว “นี่คือชาซิ้นหยางเหมาเจียน คุณหนูกำลังยุ่งเรื่องม่านกันลม จึงให้ข้านำของขวัญมาให้พี่หู่พั่วแทนเจ้าค่ะ”
หู่พั่วรับใบชามา แล้วเชิญนางไปนั่งด้วยความเต็มใจ
จื่อเวยปฏิเสธคำเชิญของนางอย่างอ้อมค้อม “ข้าต้องไปอยู่เป็นเพื่อนคุณหนู มีสาวใช้น้อยคนใหม่มาแท้ๆ แต่นางกลับป่วย ข้าไม่ขอนั่งก็แล้วกัน ไว้วันหลังค่อยมารวมตัวกันกับพวกเจ้า”
ทุกคนต่างก็กำลังทำงานให้กับเจ้านาย งานของเจ้านายนั้นสำคัญที่สุด
หู่พั่วไม่อาจยื้อนางไว้ได้ พานางไปกล่าวลาอู๋เซี่ยวเฉวียนแล้วส่งนางกลับไป
ทั้งสองเดินมาถึงชายคาก็ได้พบซานหู เฝ่ยชุ่ย ใต้เม่า ตู้เวย ตู้เจวียนและคนอื่นๆ ถูกล้อมรอบด้วยสาวใช้น้อยที่ถือโคมแดง
ทุกคนกล่าวถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันสองสามประโยค
รู้ว่าจื่อเวยมาส่งใบชาแทนอู่เหนียง และเพราะว่าตอนนี้อู่เหนียงไม่มีคนคอยรับใช้จึงอยู่นานไม่ได้ ทุกคนพูดคุยกันอย่างเกรงใจ และให้หู่พั่วเป็นคนเดินไปส่งเช่นเดิม ส่วนซานหูได้รับการดูแลจากสาวใช้น้อยเปิดผ้าม่านพานางเข้าไปในศาลาหน่วนถิง
เจ้านายแบ่งออกเป็นระดับสาม ระดับหก และระดับเก้า บรรดาสาวใช้ก็เช่นกันและมีการจัดลำดับตามเจ้านาย ซานหูและคนอื่นเป็นสาวใช้ของนายหญิงใหญ่ จึงถือว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติ เมื่อพวกนางมาถึงบรรยากาศก็ได้เปลี่ยนไป
อู๋เซี่ยวเฉวียนเป็นคนเริ่มเข้ามาทักทาย อวี่ถงกับอวี่ไหวเข้าไปช่วยปินจวี๋ต้อนรับแขก ช่วยถอดเสื้อคลุม ช่วยเลื่อนเก้าอี้ แล้วยังช่วยนำชิวจวี๋ จู๋เซียง ไป๋จู จินจู และสาวใช้น้อยคนอื่นๆ ยกขอว่างและน้ำชามาวางไว้บนโต๊ะ เป็นเวลาช่วงหนึ่งที่มีเสียงจี้หยกกระทบกันดังกึกก้อง เสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันเพราะถูกลมพัดผ่านและเสียงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ถึงแม้ว่าเสียงจะพันกันจ้าละหวั่น แต่ก็ครึกครื้นเป็นอย่างมาก
หู่พั่วกลับมาจากที่ไปส่งจื่อเวย ซานหูและคนอื่นๆ จึงนำผ้าเช็ดหน้า ผ้าขนหนู และดอกไม้สีเขียวหยกมามอบให้นาง จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น เมื่อตงชิงนำกล่องอาหารมา ทุกคนก็หลีกทางให้และนั่งลงตามลำดับ
อู๋เซี่ยวเฉวียนนั่งอยู่ลำดับที่หนึ่ง หู่พั่วเป็นเจ้างานจึงนั่งอยู่ข้างๆ แล้วให้ตงชิงมานั่งเป็นลำดับถัดจากอู๋เซี่ยวเฉวียน ตงชิงยกถ้วยเนื้อรมควันที่อยู่ในมือขึ้นพลางยิ้มเอ่ย “แล้วใครจะคอยรับใช้สาวๆ กันล่ะ”
เฝ่ยชุ่ยเหลือบมองแล้วชี้ไปที่ปินจวี๋ทันที “วันนี้ให้เจ้าเป็นเจ้าภาพ”
ปินจวี๋ยิ้มแล้วเดินมารับเนื้อรมควันที่อยู่ในมือของตงชิง “พี่ตงชิงไปนั่งเถิด ข้าจะคอยรับใช้แขกผู้มีเกียรติเองเจ้าค่ะ”
อู๋เซี่ยวเฉวียนดึงมือนาง “นั่งเถิด คนกันเองทั้งนั้น”
เมื่อหู่พั่วได้เห็นก็ยืนขึ้น “วันนี้ท่านพี่ยุ่งทั้งวันก็เพื่อข้า ข้าไม่อยากให้ท่านพี่เสียน้ำใจจึงมานั่งตรงนี้ หากท่านพี่ไม่นั่ง ข้าเองก็จะยิ่งรู้สึกไม่สบายใจนะเจ้าคะ”
ตงชิงยืนกรานที่จะปฏิเสธ ซานหูคิดว่าทุกครั้งที่สาวๆ มารวมตัวกันตงชิงก็มักจะเป็นคนที่นั่งอยู่ระดับล่างคอยช่วยยกซุป ยกชาและของว่าง และยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้เป็นงานเลี้ยงในเรือนของนางเอง หากยังเกี่ยงกันเช่นนี้บรรยากาศคงจะพังทลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อคิดได้ว่าต่อจากนี้นางจะต้องอยู่เรือนเดียวกันกับหู่พั่ว หู่พั่วถูกนายหญิงใหญ่ส่งออกไปอย่างกะทันหัน ไม่ได้สนิทสนมกับคุณหนูสิบเอ็ดเท่านาง หากเกิดสถานการณ์คับขันแล้วนางช่วยพูดกับคุณหนูสิบเอ็ดให้หู่พั่วสักสองสามประโยค ชีวิตของหู่พั่วก็จะดีมากขึ้นกว่านี้ ดังนั้นจึงคิดที่จะประจบประแจงสักหน่อย
นางยิ้มแล้วดึงมือตงชิงมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่ตงชิงก็มานั่งกับข้าเถิดเจ้าค่ะ” พูดพลางไปนั่งเป็นลำดับถัดจากอู๋เซี่ยวเฉวียน
เช่นนี้แม้ว่าตงชิงจะไม่ได้เป็นลำดับที่สอง แต่ก็ได้นั่งเป็นลำดับที่สาม
เฝ่ยชุ่ยเป็นคนที่ฉลาดที่สุดคนหนึ่ง มองดูหู่พั่วที่กำลังยืนอยู่ แล้วมองดูซานหูที่กำลังนั่งอยู่ จึงไปนั่งลงเป็นลำดับต่อจากหู่พั่ว “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว ขอนั่งตรงข้ามกับพี่ซานหูก็แล้วกัน”
หากเลื่อนที่นั่งออกไปอีกจะดูตำแหน่งต่ำต้อยไปหน่อย ตงชิงต้องไปนั่งลำดับต่อจากซานหูอย่างไม่มีทางเลือก “พวกเจ้าเกรงใจกันเกินไปแล้ว”
คนที่ไปเป็นสาวใช้ของนายหญิงใหญ่ได้ล้วนแต่เป็นคนฉลาด
ตู้เวยดันใต้เม่าไปนั่งข้างๆ เฝ่ยชุ่ย “ท่านพี่รีบนั่งเร็ว พวกเรายืนจนเมื่อยขาไปหมดแล้วเจ้าค่ะ” กล่าวพลางไปนั่งอยู่ท้ายโต๊ะตรงข้ามกับอู๋เซี่ยวเฉวียน ตู้เจวียนเองก็ไม่เกรงใจแล้ว ยิ้มแล้วไปนั่งข้างๆ ตู้เวย
ปินจวี๋มองแล้วถอนหายใจ เชิญอวี่ถง อวี่ไหว ไป๋จู และจินจูไปนั่งอีกโต๊ะนึง
มีคนเปิดผ้าม่านขึ้นแล้วยื่นหัวเข้ามา
ชิวจวี๋ตาไวตะโกนว่า “ทำไมพี่ไป่จือพึ่งมาตอนนี้ล่ะเจ้าคะ!”
เมื่อทุกคนได้ยินก็หันไปมอง
เห็นผู้หญิงตัวสูงผอมเพรียวกำลังเดินเข้ามา
เป็นสาวใช้ใหญ่ของสือเหนียงนามว่าไป่จือ
นางเดินเข้ามาแล้วย่อคำนับบรรดาสาวใช้ในเรือน “ข้ามาสายแล้ว ขอพวกเจ้าโปรดอภัยให้ข้าด้วย”
หู่พั่วและตงชิงยืนขึ้น อวี่ถงก็ยืนขึ้นแล้วลากนางไปที่โต๊ะของตัวเอง “วันนี้บรรดาสาวๆ มาครบทุกคนแล้ว คราวนี้เจ้ามาสาย ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไรก็หนีไม่พ้น อีกสักครู่ต้องโดนลงโทษสามจอกใหญ่ๆ !”
ไป่จืออ้อนวอน “น้องสาวผู้แสนดีของข้า กว่าข้าจะหาเวลาออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”พูดพลางหยิบกระเป๋าลายดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่และผ้าขนหนูผืนสีเขียวออกมาจากแขนเสื้อ “นี่คือของขวัญที่ข้ากับจิ่วเซียงมอบเป็นของขวัญต้อนรับให้เจ้า” แล้วหันไปคำนับตงชิง “งานเลี้ยงวันนี้พวกเราคงอยู่กินไม่ได้ ไว้วันหลังพวกเราสองคนเป็นเจ้าภาพ จะเชิญสาวๆ มากินเลี้ยง ฝากคารวะคุณหนูสิบเอ็ดให้พวกเราด้วย บอกว่าพวกเราสองคนพี่น้องขอบคุณนางที่คิดถึงพวกเรา”
เฝ่ยชุ่ยเห็นว่านางพูดดี ก็นึกถึงครั้งที่แล้วที่นางสัญญาไว้ว่าจะปักด้ายสีทองลายดอกไม้บนกระเป๋าสีเงินให้ตัวเอง สุดท้ายเมื่อได้กระเป๋ามามีเพียงแค่ด้ายสีทองแวววาวเท่านั้น…ยกยิ้มแล้วเอ่ย “พี่ไป่จือคำว่า ‘ไว้วันหลัง’ ก็ไม่รู้ว่าเป็นวันไหน” แฝงความเยาะเย้ยในน้ำเสียงอยู่เล็กน้อย
ไป่จือหน้าแดง “เมื่อมีเวลาว่างข้าก็จะเชิญ”
นางเองก็อยากเป็นคนดีต่อหน้าบรรดาสาวๆ แต่ก็ไม่สามารถเป็นได้
“ก็ไม่รู้ว่าพี่ไป่จือจะว่างเมื่อไหร่” เฝ่ยชุ่ยเงยหน้าขึ้นมายิ้มแล้วมองไปที่นาง “ครั้งที่แล้วที่พี่ไป่จือไปคารวะนายหญิงใหญ่กับคุณหนูสิบ พี่ก็สัญญาว่าจะทำรองเท้าให้ตู้เวย…แต่ถึงตอนนี้พวกเราก็ยังไม่เห็นเลย”
ไป่จือหน้าเขียวหน้าแดง ขยับมุมปาก ได้ยินแต่เสียงพึมพำแต่ไม่มีใครได้ยินว่านางพูดอะไร
ซานหูขมวดคิ้ว ยิ้มแล้วเดินไปจับมือไป่จื่อ “เมื่อเห็นคนขี้เหนียวนางก็อยากจะถอนหงอก พวกเราใครก็ห้ามไม่ทัน เจ้าคงจะไม่รู้ว่านางเป็นคนเช่นนี้จึงให้นางว่าเอาได้” แล้วหันไปมองหู่พั่ว “ในเมื่อเจ้าไม่มีเวลา พวกเราก็จะไม่รั้งเจ้าไว้ ให้สาวใช้น้อยห่ออาหารให้เจ้ากลับไปสักสองสามอย่าง ก็ถือว่ารับน้ำใจที่ข้ามีให้เจ้า”
หู่พั่วไม่อยากโดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมาย กลัวว่าจะทำให้ตงชิงเสียหน้า
ตงชิงกลับคิดถึงคำพูดที่นายหญิงใหญ่ที่บอกว่าจะให้หู่พั่วมาดูแลเรื่องในเรือนของคุณหนูสิบเอ็ด ในเรือนได้มีสาวใช้ที่เคยทำงานให้นางเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ตัวเองต้องรักษาหน้านาง จึงยืนนิ่งไม่ขยับ
อู๋เซี่ยวเฉวียนตาเป็นประกายและหน้าแดงอย่างรวดเร็ว ในมือถือจอกเหล้าโยกไปโยกมา ราวกับว่าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ขณะนี้บรรยากาศเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก
ไป่จือหน้าเขียวหน้าแดง พูดเสียงเบาว่า “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ของกินของดื่มไม่เคยขาดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ายากที่พวกเราจะมีโอกาสมารวมตัวกัน…”
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมตงชิงกับหู่พั่วไม่พูดอะไร แต่ว่าชิวจวี๋ก็รับรู้ถึงความอับอายของไป่จือ นางไม่สนใจอะไรมากนักยิ้มแล้วบอกจู๋เซียงว่า “พี่ไป่จือชอบกินปลาขาวทอด พี่จิ่วเซียงชอบกินคอห่านย่าง เจ้ารีบไปเอาออกมา จะได้ให้พี่ไป่จือนำกลับไป ข้าเองก็ชอบกินคอห่านย่างเช่นกัน เดิมทีกะว่าจะเอาชื่อของพี่จิ่วเซียงมาอ้างเพื่อที่จะได้กินสักหน่อย…”
ทุกคนพากันหัวเราะดังลั่น
ผู้หญิงที่ถือกล่องอาหารอยู่ข้างๆ เมื่อได้ฟังก็นำอาหารทั้งสองชามวางลงบนโต๊ะทันที
ไป่จือเห็นว่าเป็นปลาขาวทอดกับคอห่านย่างจริงๆ จึงมองชิวจวี๋ด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความซาบซึ้ง
ทุกคนต่างก็ลำบาก…นางสามารถรับรู้ได้
โบกมือแล้วพูดว่า “วันนี้อากาศหนาว ข้าเอาตะเกียงมาด้วย…ข้าขอบคุณสำหรับความหวังดีของพวกเจ้าทุกคน” จับมือของชิวจวี๋ไว้ไม่ให้นางนำอาหารใส่กล่อง และไม่กล้าเอ่ยคำว่า ‘ไว้วันหลัง’ อีกต่อไป
ทุกคนต่างพูดอย่างเกรงใจว่าไม่เป็นไร และสุดท้ายก็ให้ชิวจวี๋นำอาหารทั้งสองอย่างใส่ในชามอย่างละครึ่งแล้วนำใส่กล่องส่งให้ไป่จือนำกลับไป
ซานหูบอกเฝ่ยชุ่ยว่า “ในบรรดาสาวใช้อย่างพวกเรา ไป่จือกับจิ่วเซียงคือคนที่ลำบากที่สุด ทำไมต้องไปถือสานางด้วย!”
เฝ่ยชุ่ยเป็นคนที่มีนิสัยแข็งกระด้าง จึงบ่นพึมพำต่อหน้าผู้คนมากมาย “ข้าก็ไม่ได้ใส่ร้ายนางสักหน่อย ตอนนั้นนางสัญญาว่าจะทำรองเท้าให้ตู้เวยจริงๆ…”
“คำพูดนี้ยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะ” ใต้เม่าก็คิดว่าเฝ่ยชุ่ยไม่ควรเอาเรื่องกับไป่จือในโอกาสเช่นนี้ “ไป่จือก็เป็นคนเช่นนั้น ชอบสัญญาว่าจะทำโน่นทำนี่ให้คนอื่น…”
เมื่อตงชิงเห็นความขัดแย้งเกิดขึ้น กลัวว่าจะเกิดการทะเลาะกันเลยหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “พวกเจ้าทั้งหลายอย่าเอาแต่คุยกันเลย อาหารจะเย็นชืดหมดแล้ว!”
ซานหูรู้ว่าเมื่อครู่เสียมารยาทแล้ว จึงยิ้มแล้วรับเหยือกเหล้าจากสาวใช้น้อยมารินให้อู๋เซี่ยวเฉวียน พูดติดตลกว่า “แม้ว่าจะไม่ดีเท่าเหล้าจินหวาราคาห้าตำลึงที่ท่านป้าดื่มเป็นประจำ รสชาติอาจจะแตกต่างกัน แต่นี่คือน้ำใจของคุณหนูสิบเอ็ดเจ้าค่ะ”
ป้าอู๋ยิ้มแล้วจิ้มไปที่หน้าผากซานหู “เจ้านี่ช่างแสนรู้เสียจริง”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะอีกครั้ง
มีเสียงดังมาจากนอกผ้าม่าน “ท่านป้าบอกว่าใครเป็นคนแสนรู้กันเจ้าคะ”
ยังไม่ทันได้พูดจบ ก็เห็นลั่วเชี่ยวที่ใส่เสื้อคลุมสีเทาขนกระรอกเดินเข้ามา ภายใต้แสงสว่างมีแสงแวววาวจากหยดน้ำบนผมสีดำคลับของนาง
คนทั้งห้องตกตะลึง ไม่นานทุกคนก็พากันยืนขึ้น
อู๋เซี่ยวเฉวียนดวงตาเป็นประกาย เป็นคนแรกที่ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางลั่วเชี่ยวมาสาย ต้องลงโทษโดยการให้ดื่มเหล้า!”
เมื่อได้ยินเสียงชิวจวี๋ก็ดึงสติกลับมา รีบเดินเข้าไปแล้วถอดเสื้อคลุมของลั่วเชี่ยวมาถือไว้ในมือ “พี่ลั่วเชี่ยว ข้างนอกหิมะตกหรือเจ้าคะ”
ทุกคนพึ่งจะพบว่าที่ขมับของนางมีเกล็ดหิมะที่ยังไม่ละลายติดอยู่
อู๋เซี่ยวเฉวียนตาเป็นประกายมากขึ้นกว่าเดิม แต่หู่พั่วที่อยู่ข้างๆ กลับหน้าซีดเล็กน้อย
“พี่ลั่วเชี่ยว ท่านถือว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติ” หู่พั่วลุกขึ้นมาต้อนรับ ดึงมือลั่วเชี่ยวไปที่ที่นั่งของตัวเอง แล้วให้จู๋เซียงนำจานชามมาใหม่
ลั่วเชี่ยวปิดปากหัวเราะ “ข้าจะมาแย่งตำแหน่งเจ้าภาพได้อย่างไร!”
ซานหูและคนอื่นๆ ก็พากันลุกจากที่นั่งของตัวเอง
ตงชิงฉวยโอกาสในความโกลาหลนี้เรียกปินจวี๋ออกไป “เร็ว รีบไปที่ห้องครัวให้ป้าเฉาทำปลาผัดซอสเปรี้ยวมา” ยิ้มแห้งแล้วพูดต่อว่า “ปกตินางไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลย ขนาดคุณหนูห้าเชิญนางก็ไม่เคยไป ใครจะคิดว่านางจะมา!”
ปินจวี๋บีบกระเป๋าที่อยู่ในแขนเสื้อ สีหน้าไม่ดี “ตอนนี้ก็หกโมงเย็นแล้ว เตาในห้องครัวก็ดับไปนานแล้ว ทางด้านป้าเฉา…เกรงว่าคงจะพูดลำบาก”
หู่พั่วแอบให้ความสนใจที่ตงชิงเรียกปินจวี๋ออกไป
หลังจากเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา ลั่วเชี่ยวก็ไปนั่งที่นั่งของซานหู ซานหูกลับไปนั่งที่นั่งของตู้เวย ตู้เวยไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งกับอวี่ถงและคนอื่นๆ แล้วนำถ้วยจานมาเปลี่ยนใหม่ ยกอาหารมาเต็มโต๊ะ
หู่พั่วกวาดตามองจึงเข้าใจอยู่เล็กน้อย นางเรียกปินจวี๋ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ค่อยๆ หันไปเอาชาซิ้นหยางเหมาเจียนที่จื่อเวยให้นางมา “อีกสักครู่ไปชงชานี้มา”
ปินจวี๋ตอบรับพร้อมรับใบชามา
พบว่ามีบางอย่างแข็งๆ อยู่ในมือ หู่พั่วได้ยัดของบางอย่างมาด้วย
สัมผัสดู แข็ง แม้ว่าขนาดเล็กแต่มีความหนักอยู่บ้าง
นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะบีบดู
หู่พั่วพยักหน้าแล้วยิ้มให้นาง “ทางที่ดีแช่ด้วยน้ำร้อนจะดีที่สุด…”
ปินจวี๋เข้าใจทันที พยักหน้าให้หู่พั่ว “เจ้าวางใจได้เลย ข้าจะให้คนในครัวเอาน้ำร้อนมาให้”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยกยิ้ม พวกนางมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษเพราะมีความลับร่วมกัน