สืออีเหนียงอยู่ด้านหลังอู่เหนียง เดินตามไท่ฮูหยินมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ มองเห็นป่าเหมยบนเขาลูกนั้น เพียงแต่ว่าดอกเหมยร่วงโรยหมดแล้ว เหลือเพียงใบสีเขียวเท่านั้น
ไท่ฮูหยินชี้ไปข้างหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นคือเรือนเซียงอวี้ สองเดือนก่อนหน้านี้สามารถมาชมดอกเหมยได้ที่นี่”
เดินไปข้างหน้าสองสามก้าวก็ได้เห็นดอกมะลิเหมันต์
ต้มไม้ ดอกไม้เป็นกระจุกๆ อยู่รวมกัน สีเขียวทึบเหมือนดังสีฟ้าคราม สุกใสดั่งทองคำเปลว ดั่งดวงดาวประปรายอยู่บนยอดเขา
“ช่างสวยงามจริงๆ” อู่เหนียงที่อยู่ข้างๆ พูดพึมพำออกมา
สืออีเหนียงตอบเพียงแค่ว่า “อืม”แสดงถึงความเห็นด้วย
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยเห็นดอกมะลิฤดูหนาว ในจวนตระกูลหลัวที่อวี๋หังได้ปลูกไว้หลายสิบชนิด แต่ว่าที่ที่มีดอกไม้ไปทุกที่เช่นนี้ ไม่เพียงแค่งดงามแต่ยังตระการตาเป็นอย่างมาก
ไท่ฮูหยินกับฮูหยินสองพยุงกันเดินไปข้างหน้า ข้างเนินเขามีศาลาแปดเหลี่ยมเคลือบสีดำเงา ด้านบนศาลามีตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่สองตัวอ่านว่า ‘ชุนเหยียน’
“ไปนั่งในศาลาพักดื่มชาสักหน่อย” ฮูหยินสามหันไปบอกคนข้างหลัง
ทุกคนเดินตามเข้ามาที่ศาลาชุนเหยียน มีบรรดาผู้หญิงหยิบเบาะรองนั่งอวิ๋นหลงสีแดงมาปูบนเก้าอี้ ทุกคนแยกย้ายกันไปนั่ง จากนั้นบรรดาสาวใช้ก็ยกชาขาวที่ชงด้วยน้ำร้อนจนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมเขียวมาวาง
เดินมาเหนื่อยๆ แล้วได้จิบชารสอ่อนเช่นนี้ทำให้รู้สึกสบายไปทั้งตัว
สืออีเหนียงถือถ้วยน้ำชา เห็นเหวินอี๋เหนียงที่อยู่ข้างๆ กำลังคอยดูแลอย่างระมัดระวัง สืออีเหนียงพยายามมองหาหู่พั่วในกลุ่มคนแต่ก็ไม่เห็นนาง แล้วก็ไม่เห็นคนที่ชื่อชิวหลิงด้วยเช่นกัน
นางยิ้มเบาๆ
ดื่มชาไปพลางคุยเรื่องทั่วไปในครอบครัวไปด้วย อู่เหนียงแอบชี้ไปที่ทะเลสาบครึ่งอ่าวและกระท่อมที่มุงด้วยหญ้าสามหลังริมทะเลสาบที่อยู่ฝั่งตรงข้ามศาลา “ที่นั่นใช่เรือนปั้นเย่ว์พั่นหรือไม่”
“คงจะใช่เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบนางด้วยรอยยิ้ม เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นคุณหนูหกสกุลเฉียวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกำลังเงี่ยหูฟัง…
นางยกยิ้ม
หรือว่าไม่ใช่แค่เฉียวฮูหยินที่สนใจสวีลิ่งอี๋!
หลังจากพักผ่อนเพียงพอแล้วไท่ฮูหยินก็นำพวกนางเดินรอบสวน มีศาลาท่าน้ำสี่ด้านสำหรับตกปลา ได้มีการปลูกต้นแพร์ ต้นเถา ต้นซิ่ง และมีห้องลี่จิ่งเซวียนที่ทำจากไม้ถง มีโถงจ้าวจวงถังที่ปลูกไห่ถังอยู่รอบๆ มีลานหนงเซียงที่กำแพงทาด้วยสีเหลืองโคลน มีท่าเรือหลิวฟังที่สามารถพายเรือไปได้ สุดท้ายเมื่อเดินตามบันไดหินด้านหลังภูเขาก็จะไปถึงหมู่บ้านหลิงชยง และมองเห็นทัศนียภาพของสวนดอกไม้ที่อยู่หลังจวนตระกูลสวี เมื่อลงเขาก็จะมีรถลากขนาดเล็กจอดอยู่ที่ศาลาจวี้ฟังตรงเชิงเขา ทุกคนขึ้นรถลากแล้วกลับไปที่โถงบุปผา ที่นั่นได้จัดเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว
หลังจากทานอาหารเย็นแล้ว คนกลุ่มหนึ่งก็ไปหาไท่ฮูหยิน
จุนเกอกับซิวเกอเล่นกันอย่างสนุกสนาน ทั้งสองคนจูงมือกัน ไม่ยอมปล่อยแม้แต่เพียงครู่เดียว เจินเจี่ยเอ๋อร์มองอยู่ข้างๆ ปิดปากแล้วหัวเราะ
ทุกคนนั่งกันอยู่ครู่หนึ่ง พูดหยอกล้อเด็กๆ สองสามประโยค จากนั้นนายหญิงใหญ่ก็ลุกขึ้นแล้วกล่าวลา
ไท่ฮูหยินรั้งนายหญิงใหญ่ไว้ “อีกสองวันมาเที่ยวเล่นที่เรือนข้าอีกเถิด”
นายหญิงใหญ่ตอบรับด้วยรอยยิ้มแล้วพาคุณนายใหญ่สกุลหลัว อู่เหนียง สืออีเหนียง เหวินอี๋เหนียง ซิวเกอ จุนเกอและคนอื่นไปหาหยวนเหนียง ส่วนเฉียวฮูหยิน คุณหนูหกสกุลเฉียว ฮูหยินสองและฮูหยินสามยังคงอยู่พูดคุยกับไท่ฮูหยิน ส่วนเจินเจี่ยเอ๋อร์มีแม่นมและสาวใช้พาไปที่เรือนหน่วนเก๋อห้องนอนของไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองอีกครั้ง
เหวินอี๋เหนียงคอยอธิบายอยู่ข้างๆ “นางอยู่กับไท่ฮูหยินมาตั้งแต่เด็ก…”แววตามีทั้งความภูมิใจและความโศกเศร้าเล็กน้อย
เมื่อจุนเกอเห็นท่านแม่ก็รีบวิ่งเข้าไปทันที
รอยยิ้มของหยวนเหนียงเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู “เบาๆ หน่อย เดี๋ยวจะไปชนคนอื่นเข้า”
การเคลื่อนไหวของจุนเกอช้าลงมาก เขาพูดกับท่านแม่อย่างฉะฉานเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่ไปเดินเล่นกับไท่ฮูหยินในวันนี้ “…กินเค้กดอกซง จากนั้นพี่ๆ ก็เอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากข้า พี่จื่อเวยพาข้าไปดูปลาคาร์ฟ ซิวเกออยากจะลงไปจับปลา แต่ถูกพี่ๆ ลากกลับขึ้นมา…” หยวนเหนียงฟังจุนเกอพูดอย่างตั้งใจ ไม่มีความรำคาญเลยแม้แต่นิด
เมื่อจุนเกอพูดจบ นายหญิงใหญ่ก็กำชับหยวนเหนียงอีกครั้งทำนองว่า “อย่าให้ตัวเองต้องเหนื่อยจนเกินไป ข้าอยู่ที่เยียนจิง มีเรื่องอะไรก็ให้คนนำจดหมายมาส่งให้ข้า” หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นกล่าวลา
เมื่อเห็นว่าพวกนางกำลังจะไป จุนเกอก็หันไปมองซิวเกอ “เจ้าจะมาอีกเมื่อใด”
คุณนายใหญ่สกุลหลัวถอนหายใจเบาๆ
นายหญิงใหญ่ยิ้มปลอบโยน “อย่างไรเสียก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ต่อให้กระดูกหักออกจากกันแต่เอ็นยังคงเชื่อมต่อกัน เจอกันเพียงไม่นานก็เหมือนกับพี่น้องแท้ๆ ”ลูบหัวจุนเกอ “อีกสองวันยายจะมาเยี่ยมเจ้าอีก”
ไม่เหมือนกับการลาจากกันครั้งแรก ครั้งนี้จุนเกอไม่ได้หลบมือของนายหญิงใหญ่ ไม่เพียงแต่ยื่นนิ่งๆ ให้นางลูบหัวตัวเอง ซ้ำยังพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เหวินอี๋เหนียงกระตือรือร้นจะไปส่งนายหญิงใหญ่ แต่กลับถูกหยวนเหนียงเรียกไว้ “ให้ป้าเถาไปส่งก็พอแล้ว เจ้าอยู่นั่งคุยเป็นเพื่อนข้าเถิด”
นางตอบกลับด้วยความเคารพ “เจ้าค่ะ” นายหญิงใหญ่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก มีป้าเถาเป็นคนเดินมาส่งออกจากจวนสกุลสวี
******
เมื่อกลับไปถึงตรอกกงเสียน ป้าหังก็ได้ยืนรออยู่ที่หน้าประตูฉุยฮวาแล้ว “นายหญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
หลังจากเดินเล่นรอบสวนมาทั้งวัน นายหญิงใหญ่รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย นางพยักหน้าเบาๆ ป้าหังจึงพูดว่า “นายท่านสองและนายท่านสามมาแล้ว อยู่กับนายท่านใหญ่ที่ห้องหนังสือ”
นายหญิงใหญ่ประหลาดใจเล็กน้อย
ป้าหังยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านไปได้ไม่เท่าไร นายท่านสองและนายท่านสามก็มา อยู่ในห้องหนังสือมาตลอดช่วงบ่าย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมาเลยเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว”นายหญิงใหญ่ตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม จากนั้นก็รีบก้าวผ่านประตูฉุยฮวาไป
คนอื่นๆ อีกสองสามคนก็รีบตามเข้าไป เห็นว่านายหญิงใหญ่เดินไปที่ห้องหนังสือของนายท่านใหญ่อย่างเร่งรีบ
คุณนายใหญ่สกุลหลัวกับป้าหังมองหน้ากัน จากนั้นยิ้มแล้วพูดกับอู่เหนียงและสืออีเหนียงว่า “วันนี้ทุกคนเหนื่อยกันมามากแล้ว รีบไปพักผ่อนเถิด”
ทั้งสองคนย่อเข่าคำนับแล้วแยกย้ายกลับไปที่ห้องของตัวเอง
ตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้า หู่พั่วอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
สืออีเหนียงข่มอารมณ์ไว้ เมื่ออาบน้ำเสร็จก็ไปนั่งที่นั่งริมหน้าต่าง จิบชาที่ตงชิงยกมาให้ จากนั้นก็ถามหู่พั่วที่ยืนอยู่ข้างๆ “เป็นอย่างไรบ้าง”
หู่พั่วเหลือบมองตงชิง
“คนเรือนเดียวกันทั้งนั้น” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อ ว่า “ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าทุกคนจะไม่พูด แต่ก็รู้อยู่แก่ใจ”
ตงชิงรีบหยุดมือที่กำลังเก็บข้าวของ ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนู บ่าวจะไปดูที่ห้องครัวเสียหน่อยเจ้าค่ะว่าโจ๊กที่บ่าวสั่งให้ท่านทำเสร็จหรือยัง”
“นั่งฟังด้วยกันเถิด” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเรียกให้นั่ง “สองหมัดยากที่จะเอาชนะสี่มือ เจ้าอยู่ช่วยกันคิดหาวิธีเถิด”
ตงชิงตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ไปยืนอยู่ข้างๆ หู่พั่ว
หู่พั่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจนำข่าวที่ได้มาจากชิวหลิงบอกแก่สืออีเหนียง “…สกุลหวังภายนอกดูแข็งแกร่งแต่ข้างในช่างอ่อนแอเป็นอย่างมากและเป็นเช่นนี้มานานแล้ว รายได้ปกตินอกจากจะได้จากเงินเดือนและจากหมู่บ้านในซินโจวที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว ก็ยังมีรายได้จากร้านข้าวที่เปิดที่ตงต้าเหมิน”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
ร่ำรวยมาแค่ถึงรุ่นที่สาม สำหรับตระกูลที่อายุหนึ่งร้อยปี สามารถทำได้ขนาดนี้ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
“เม่ากั๋วกงมีลูกสาวหนึ่งคนและลูกชายหนึ่งคน ลูกสาวแต่งงานกับสกุลเจียงในเล่ออาน ส่วนลูกชายก็คือคุณชายหวังหลังเจ้าค่ะ” หู่พั่วกระซิบเบาๆ “คุณชายหวังผู้นี้กั๋วกงมีเขาตอนอายุเยอะแล้ว และเป็นที่โปรดปรานเป็นอย่างมาก ดังนั้น…” นางหยุดไปครู่หนึ่ง “ว่ากันว่าอารมณ์ร้ายเป็นอย่างมาก…สองปีก่อนเคยทำคนตายเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
จู่ๆ นางก็ตกใจขึ้นมา
นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือ ทำไมตัวเองถึงรู้สึกถึงความบังเอิญเช่นนี้ หรือว่าในใจลึกๆ แล้วที่นางหวังว่าจะมีคนที่สามารถพาตัวเองออกจากสถานการณ์เลวร้ายได้…และบังเอิญหวังหลังก็ปรากฏตัวขึ้น!
จู่ๆ นางก็ตัวเย็นและมีเหงื่อออก
หรือว่าเป็นเพราะโหยหามานานเกินไป ความหวังเล็กๆ น้อยๆ จึงถูกนางขยายออกไปไม่มีขอบเขต จึงได้ละเลยความกังวลในใจของตัวเองไป
หู่พั่วมองสืออีเหนียง ก้มหน้าครุ่นคิดแล้วเงียบไป
ทั้งห้องได้ตกอยู่ในความเงียบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
จากนั้นครู่หนึ่ง สืออีเหนียงก็ถอนหายใจยาว การแสดงออกของนางเริ่มแน่วแน่มากขึ้น “นอกจากจะบอกว่าคุณชายหวังเคยทำคนตายแล้วยังพูดอะไรอีกหรือไม่”
หู่พั่วส่ายหน้า “เมื่อก่อนคุณชายห้าสกุลสวีเคยไปเที่ยวเล่นกับคุณชายหวัง หลังจากที่เกิดเรื่องนี้ไท่ฮูหยินก็ได้สั่งว่าไม่อนุญาตให้คุณชายห้าสกุลสวีติดต่อกับคุณชายหวังอีก แล้วยังบอกอีกว่าหากคุณชายห้ายังกล้าไปหาคุณชายหวังก็จะให้ท่านโหวส่งคุณชายห้าไปรักษาชายแดนที่กานซู่ สิบปียี่สิบปีก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นกำแพงเมืองเยี่ยนจิงเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
ไท่ฮูหยินมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก…
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัวนางจึงถามว่า“ลูกสาวคนโตสกุลหวังแต่งงานกับใครในสกุลเจียง”
“แต่งงานกับลูกชายคนที่หกของเจียงเจี๋ย นามว่าเจียงกุ้ยเจ้าค่ะ” หู่พั่วบอกข่าวทั้งหมดที่ตัวเองได้ยินแก่สืออีเหนียง “เจียงกุ้ยเป็นบัณฑิตชั้นสูง ตอนนี้มีตำแหน่งอยู่ในจวนไท่หยวน มีน้องชายท้องเดียวกันนามว่าเจียงไป่เป็นบัณฑิตในสำนักศึกษาฮั่นหลินย่วน แล้วยังมีพี่ชายท้องเดียวกันนามว่าเจียงซง สอบจอหงวนได้เป็นอันดับหนึ่งของยุคฮ่องเต้เจี้ยนอู่ในปีที่สี่สิบหก จากนั้นก็เป็นนักประพันธ์ในสำนักศึกษาฮั่นหลินย่วนได้สามปีก็ลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดที่เล่ออาน เปิดสำนักศึกษาหนึ่งแห่งชื่อว่าหอตำราจิ่นสี รับลูกศิษย์จากครอบครัวยากจนมาเรียนโดยเฉพาะ ปู่ของเจียงเจี๋ยเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้องค์ก่อน ได้ยินว่าด้วยเหตุนี้เขาจึงได้เป็นหัวหน้าจอหงวน ส่วนทวดของเขาเคยเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้จิ่งจง”
ลูกศิษย์อันดับหนึ่งกลับบ้านเกิดเพื่อไปสอนเด็กยากจนให้เรียนหนังสือ…
แม้ว่าตระกูลหลัวก็เป็นตระกูลขุนนางที่สืบทอดด้านวรรณกรรมและกวีนิพนธ์ แต่ดูแล้วความใจกว้างและความสูงส่งนั้นน้อยว่าตระกูลเจียงเป็นอย่างมาก!
สืออีเหนียงใจเต้นแรง “หู่พั่ว เจ้าฟังชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่าเจียงซงเป็นลูกศิษย์อันดับหนึ่งของยุคฮ่องเต้เจี้ยนอู่ในปีที่สี่สิบหก”
หู่พั่วรีบพูดขึ้นมาว่า “บ่าวได้ถามชิวหลิงเป็นพิเศษว่าทำไมเจ้าจึงจำได้ชัดเจนขนาดนั้น ชิวหลิงบอกว่าเพราะว่านางเกิดตอนที่จอหงวนอันดับหนึ่งเดินขบวนตามท้องถนนในปีนั้นพอดี แม่ของนางจึงมักพูดถึงเรื่องนี้”
“ฮ่องเต้เจี้ยนอู่ปีที่สี่สิบหก” สืออีเหนียงพูดพึมพำ “นายท่านสองก็สอบได้ในปีนั้น…เช่นนี้พวกเขาก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน…”
หู่พั่วไม่รู้เรื่องเหล่านี้ นางยืนอยู่เฉยๆ ไม่ได้พูดอะไร
คนคนหนึ่งต้องการทำอะไรบางอย่างแสดงว่าต้องมีจุดมุ่งหมายอย่างแน่นอน
จุดประสงค์ของหยวนเหนียงคืออะไร
เกี่ยวอะไรกับเรื่องพวกนี้ด้วย
สืออีเหนียงเอนตัวลงบนหมอนสีเหลืองเบาๆ
นี่ก็เหมือนกับเกมเติมคำ ขอเพียงแค่เติมถูก คำตอบก็จะออกมา
แต่จุดเชื่อมตรงกลางที่ขาดหายไปคืออะไรกันแน่
มีบางอย่างผ่านเข้ามาในหัวของนาง อยากจะจับแต่ก็จับไม่ได้…
ฝั่งหนึ่งก็เป็นตระกูลหวังผู้ล้มเหลว อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นตระกูลเจียงผู้โด่งดัง
เหมือนมีแรงผลักดันเข้ามา นางรีบลุกขึ้นนั่งทันที “หู่พั่ว ตอนที่คุณชายหวังทำคนตายใครเป็นคนช่วยแก้ตัวให้”
หู่พั่วตอบ “คุณชายห้าตระกูลสวีเจ้าค่ะ”
“คุณชายห้าตระกูลสวี?” สืออีเหนียงตาเป็นประกาย “สวีลิ่งควน!”
“ชิวหลิงบอกว่าคุณชายห้าเป็นคนยื่นมือเข้ามา” หู่พั่วรีบพูดต่อว่า “เพราะเรื่องนี้ท่านโหวจึงได้หักเงินรายเดือนของคุณชายห้าเป็นเวลาหนึ่งปี ทั้งหมดต้องคอยอาศัยคุณชายสามคอยช่วยเรื่องเงินอย่างลับๆ”
“แล้วตระกูลเจียงล่ะ” สีหน้าของสืออีเหนียงค่อนข้างเคร่งขรึม “ในฐานะที่ดองกัน ตอนนั้นตระกูลเจียงไปทำอะไรอยู่”