ขึ้นสิบแปดค่ำเดือนหนึ่ง ห้ามออกเดินทางไปทางทิศตะวันตก ซ่อมแซมหลุมฝังศพ สร้างหลุมฝังศพ แต่งงาน ออกเดินทาง ค้าขาย รักษาโรคภัยไขเจ็บ ไม่ใช่ฤกษ์งามยามดี สร้างเรือน สงบสุข แยกกันอยู่ สินสอดทองหมั้น
รุ่งสาง ประตูจวนสกุลหลัวก็เปิดออก รถม้าที่ประดับประดาอย่างงดงามอยู่ข้างหน้าหนึ่งคัน ตามด้วยรถม้าหลังคาเรียบสีดำมากกว่ายี่สิบคัน องครักษ์ทั้งนอกและใน เสียงเกือกม้าและเสียงล้อเกวียน วิ่งออกไปทางทิศตะวันออก
ทั้งอวี๋หังถูกปลุกให้ตื่น มีคนที่ตื่นมาตั้งแต่เช้ามองดูความคึกคักอยู่ข้างถนน
“ดูนั่นสิ นั่นคือรถม้าของสกุลหลัว…”
“ยิ่งใหญ่จริงๆ!”
“พึ่งจะปีใหม่ พวกเขาจะไปที่ใดกัน”
“ได้ยินมาว่าจะไปหาบุตรสาวและลูกสะใภ้ที่เยี่ยนจิง!”
สืออีเหนียงนั่งอยู่ในรถม้า ไม่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายข้างนอก มืออยู่ในแขนเสื้อ ปลายนิ้วเลื่อนไปตามผิวของอัญมณีที่เยือกเย็นแต่กลับเรียบเนียนราวกับกระจก ในใจของนางกลับสงบนิ่งไม่ลงราวกับแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว
นี่คืออัญมณีสีฟ้าที่ใหญ่เท่าไข่นกพิราบ
อี๋เหนียงห้ามอบให้นางตอนที่นางไปบอกลาอี๋เหนียงห้าเมื่อคืนที่ผ่านมา
“ของในเรือนข้ามีแต่ของที่นายหญิงใหญ่มอบให้ ล้วนแต่เป็นของอยู่ในสมุดบัญชี แตะต้องไม่ได้ มีแค่อัญมณีเม็ดนี้ นายท่านใหญ่เอาให้ข้าตอนที่ข้าไปฝูเจี้ยนคราวก่อน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้…การที่เจ้าไปเยี่ยนจิงครั้งนี้ ออกเดินทางไกล ข้าไปกับเจ้าไม่ได้ เจ้าเก็บมันไว้ให้ดี เกิดอะไรขึ้นก็เอาไปแลกเป็นเงินมาป้องกันตัวได้ ระหว่างนี้เจ้าต้องเชื่อฟังนายหญิงใหญ่ อย่าทำให้นายหญิงใหญ่โกรธเคือง อยู่กับคุณหนูห้า อย่าโต้เถียงกัน ต้องรู้จักอดทน…ต้องรู้จักระวัง…” พูดถึงตรงนี้นางก็น้ำตาไหลออกมาเป็นสายฝน “ข้าก็เข้าใจแล้ว เจ้าไม่ต้องมาที่เรือนข้าบ่อยๆ หากนายหญิงใหญ่ชอบใจ เจ้าถึงจะมีอนาคตที่ดี…ทั้งชีวิตของข้า แค่ขอให้เจ้ามีครอบครัวที่ดี…”
เข้าใจเเล้วจริงๆ หรือ
เกรงว่ามันคงไม่มีทางเลือกเสียมากกว่า!
คิดเช่นนี้ สืออีเหนียงก็รู้สึกอยากร้องไห้
อี๋เหนียงห้าไม่ได้รับความโปรดปรานตั้งนานแล้ว ตอนที่ตัวเองป่วย ก็ใช้เงินส่วนตัวไปไม่น้อย อัญมณีเม็ดนี้ คงจะเป็นอัญมณีที่นางเก็บไว้ป้องกันตัวเอง…
“อี๋เหนียงไม่ต้องห่วง สองสามปีมานี้ท่านแม่ใจดีกับข้ามาก ยังสั่งทำเครื่องประดับให้ข้า ข้าไม่ขาดแคลนเงินทอง…อัญมณีเม็ดนี้ท่านเก็บไว้เถิดเจ้าค่ะ!”
ตัวเองครอบครองร่างกายของนางจนรู้สึกผิด แล้วยังจะอยากได้ของของนางได้เช่นไร!
แต่อี๋เหนียงห้ายืนกรานที่จะเอาให้นาง “…ถึงแม้ว่าสองปีมานี้เจ้าจะไม่ค่อยมาหาข้า แต่ทุกครั้งที่ถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง สิบห้าค่ำเดือนแปด เทศกาลตรุษจีนเจ้าก็มาคารวะข้าเสมอ ไม่เคยขาดไปแม้เพียงสักครั้ง เจอกับข้าเจ้าก็ดีใจไม่รำคาญ ถึงแม้ว่าข้าจะโง่แค่ไหนแต่ในใจของข้าก็เข้าใจ เจ้ากลัวว่าเราจะสนิทสนมกันเกินไปจนทำให้คนอื่นไม่พอใจ…ถึงตอนนี้แล้ว เจ้ามีอะไรก็ไม่เคยบอกข้า…” นางร้องไห้ราวกับหยดน้ำฝนที่หยดลงบนดอกลี่ฮวา “เจ้าโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง ในเมื่อเจ้าไม่ยอมพูด ข้าก็จะไม่ถาม เจ้าไปครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกหรือไม่…ข้าแค่อยากจะพูดความในใจกับเจ้า เจ้าไม่ต้องสนใจข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป มีชีวิตอยู่ต่อไปถึงจะไม่ผิดต่อข้าที่คลอดเจ้าออกมา…เจ้าจะได้มีชีวิตที่ดี”
ราวกับมีอะไรบางอย่างหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจ ซัดเป็นคลื่นๆ ทำลายกำแพงที่แข็งแกร่งของนาง ทำให้ความรู้สึกที่นางซ่อนอยู่ในหัวใจหลั่งไหลออกมา…น้ำตาของนางไหลออกมาโดยไม่มีสัญญาณเตือน
อี๋เหนียงห้าเช็ดน้ำตาให้นางอย่างลุกลี้ลุกลน “อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้ อัญมณีเม็ดนี้เอาไว้ที่ข้าก็ไม่มีประโยชน์ แค่ข้าเชื่อฟัง นายหญิงใหญ่ไม่มีทางทำอะไรข้า แต่เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าออกไปข้างนอก ไม่มีคนให้พึ่งพิง…สิ่งของที่นายหญิงใหญ่มอบให้ ล้วนแต่เป็นสิ่งของที่มองเห็นผิวเผิน เจ้ามีอัญมณีนี้ไว้ป้องกันตัว บางทีมันอาจจะช่วยชีวิตเจ้าได้ หากเจ้าไม่เก็บมันไว้ ข้าจะวางใจได้เช่นไร…เก็บไว้เร็วเข้า อย่าให้คนอื่นเห็น…”
สืออีเหนียงนั่งนิ่งอยู่ในรถม้า นึกถึงภาพตอนที่อี๋เหนียงห้ายัดอัญมณีให้ตัวเอง ในใจนางก็สับสน บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกเช่นไร
นางรู้แค่ว่า ตัวเองติดหนี้อี๋เหนียงห้ามากเกินไป…
หู่พั่วมองดูสืออีเหนียงที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ในใจของนางก็รู้สึกวุ่นวาย
เมื่อวานตอนเที่ยง จู่ๆ ป้าสวี่ก็มาบอกพวกนางว่า ปินจวี๋ก็สามารถไปกับพวกนางได้!
ตอนนั้นในเรือนเต็มไปด้วยความดีใจ
ถึงตอนนี้นางยังจำรอยยิ้มของสืออีเหนียงได้…มันไม่ใช่รอยยิ้มอันอ่อนโยนที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนลมฤดูใบไม้ผลิ แต่มันเป็นรอยยิ้มอันสดใสที่ราวกับท้องฟ้าหลังฝนตก สะอาดสะอ้าน ชัดเจนและแจ่มใส
ท่ามกลางสายฟ้าที่ผ่านวับไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นนางก็เข้าใจขึ้นมาทันที
ที่จริงแล้ว นั่นคือรอยยิ้มที่มาจากใจของคุณหนูสิบเอ็ด
หัวใจของนางรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ไว้ใจได้เท่านั้น สืออีเหนียงถึงจะเป็นเช่นนี้!
ดังนั้น หลังจากที่ป้าสวี่พูดจบ หู่พั่วจึงออกไปส่งป้าสวี่ด้วยตัวเอง อยากจะเปิดต้อนรับความสุขที่กำลังจะเข้ามาในเรือน
ใครจะรู้ว่า เดินออกมาจากหอลู่จวิน ป้าสวี่กลับจับมือนางเอาไว้ ยิ้มแล้วมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า มองนางอยู่นาน จากนั้นก็พูดประโยคที่ทำให้นางตกใจ “หู่พั่วโตเป็นสาวงามแล้ว แต่เจ้าก็ต้องจำเอาไว้ว่าเจ้ามีทุกวันนี้ก็เพราะใคร!”
ป้าสวี่ไม่มีทางพูดประโยคนี้ออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
พอคิดเช่นนี้ แผ่นหลังของนางก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่เยี่ยนจิง นายหญิงใหญ่พาพวกนางไปที่นั่นเพราะเหตุใดกันแน่ หากนายหญิงใหญ่กับคุณหนู…ไม่ว่าจะเป็นใคร หากเกิดอะไรขึ้น เกรงว่านางก็คือคนที่ซวยคนนั้น!
ในรถม้าเงียบสงัด เสียงม้าวิ่งข้างนอกดังเข้ามาอย่างชัดเจน สืออีเหนียงหลับตาสงบสติอารมณ์ แต่นางกลับรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก
******
รถม้าแล่นไปนานนับชั่วโมงถึงได้หยุดแล่น ป้าเจียงคนของนายหญิงใหญ่มาถามสืออีเหนียง “คุณหนูจะไปเข้าห้องน้ำหรือไม่เจ้าคะ”
สืออีเหนียงเปิดม่านออก นางเห็นร้านน้ำชาเรียบง่ายอยู่ข้างทาง ร้านน้ำชาร้านนั้นถูกล้อมรอบไปด้วยองครักษ์ของสกุลหลัว ป้าร่างใหญ่สองสามคนใช้ผ้าสีดำล้อมรอบร้านน้ำชาเอาไว้
“สถานที่ทรุดโทรม แต่หากอยากเข้าห้องน้ำอีก คงต้องรออีกหนึ่งชั่วโมง คุณหนูทนๆ เอาหน่อยนะเจ้าคะ!” ป้าเจียงบอกกับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงเห็นป้าสวี่พยุงนายหญิงใหญ่เดินลงมาจากรถม้า เดินไปทางร้านน้ำชา
“ขอบใจท่านป้าเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มและกล่าวขอบคุณป้าเจียง จากนั้นก็สวมหมวกคลุมหน้า ให้หู่พั่วพยุงลงมาจากรถม้า
ทันทีที่นางลงมา อู่เหนียงที่นั่งอยู่บนรถม้าข้างหน้า ก็ให้จื่อเวยพยุงลงมาจากรถม้าเช่นกัน
ทั้งสองคนยิ้มให้กันผ่านหมวกคลุมหน้า จากนั้นก็เดินไปทางร้านน้ำชา
ร้านน้ำชาถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ข้างนอกเป็นซุ้มที่ทำจากไม้ไผ่ ข้างในเป็นห้องเล็กๆ
ทั้งสองคนยืนอยู่รอในซุ้ม ป้าสวี่ก็พยุงนายหญิงใหญ่เดินออกมา นางเห็นอู่เหนียงและสืออีเหนียงสวมหมวกคุมหน้ายืนรออยู่อย่างเรียบร้อย นางก็พยักหน้าเบาๆ ยิ้มและพูดว่า “ระหว่างทางไม่ได้สบายเหมือนที่จวน พวกเจ้าต้องอดทนเอาหน่อย”
พวกนางคำนับและตอบรับ “เจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ขึ้นไปบนรถม้า สืออีเหนียงให้อู่เหนียงเข้าไปก่อน เมื่ออู่เหนียงออกมาแล้วนางถึงได้เข้าไปต่อ
ในห้องนั้นแบ่งออกเป็นสองห้อง ข้างหน้าเป็นห้องชาเล็กๆ ข้างหลังเป็นเตาไฟ โถส้วมสีแดงก็วางอยู่ตรงกลางห้อง
สืออีเหนียงพยายามอดทนต่อความไม่คุ้นชินจัดการเรื่องของตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินออกมารอหู่พั่วที่ห้องน้ำชา พวกนางกลับขึ้นรถม้าอีกครั้ง
ผ่านไปไม่นาน ก็มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากร้านน้ำชา สืออีเหนียงเปิดม่านออก นางก็เห็นตู้เจวียน ตู้เวย แล้วยังมีจั๋วเถา ซุ่ยเอ๋อร์สาวใช้ของอู่เหนียงและคนอื่นๆ ที่อยู่บนรถม้าข้างหลัง กำลังพูดคุยหัวเราะเดินเข้าไปในร้านน้ำชา
ที่นี่ค่อนข้างเหมือนจุดพักบริการบนทางด่วน…
สืออีเหนียงยิ้มมุมปากและหัวเราะออกมา
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงของป้าเจียง “เหล่าแม่นาง ระวังคนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้”
บรรดาสาวใช้แลบลิ้นปลิ้นตาบ้าง ทำหน้าบูดบึ้งบ้าง แต่สุดท้ายพวกนางก็เงียบลง
หยุดอยู่เช่นนี้ประมาณครึ่งก้านธูป จากนั้นรถม้าถึงได้ออกเดินทางต่อ
หลังจากเที่ยงวัน รถม้าของพวกนางก็มาถึงที่หังโจว แต่ไม่ได้เข้าเมือง พวกนางวนรอบเมืองไปทางทิศเหนือ กระทั่งถึงท่าเรือ
ที่นั่นมีเรือใบสีแดงที่มีเสากระโดงสามเสาจอดรออยู่ บรรดาพ่อบ้านล้อมรั้วทางเดินไว้แล้ว ส่งท่านป้าออกไปยืนปรนนิบัติรับใช้คอยช่วยพวกนางขึ้นเรืออยู่บนบันไดสีแดง
รถม้าจอดอยู่บนลานโล่งที่ว่างเปล่าข้างหน้า มีชายในวัยสามสิบปีพาชายเฒ่าที่หนวดเคราและผมสีขาว กับชายหนุ่มรูปงามอายุยี่สิบต้นๆ เข้ามาคารวะนายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่พูดคุยกับพวกเขาผ่านม่านรถม้า จากนั้นชายเฒ่าและชายหนุ่มคนนั้นก็ก้าวถอยหลังออกไปด้วยความเคารพ
หู่พั่วอธิบายให้สืออีเหนียงฟังว่า “ชายวัยกลางคนคนนั้นคือคนแซ่เถา เขาเป็นผู้ดูแลจวนสกุลหลัวในหังโจว ส่วนชายผมหงอกคนนั้นคือพ่อบ้านหนิว…เขาเปิดร้านผ้าไหมเล็กๆ อยู่ในหังโจว รับสินค้ามาจากร้านหลักของสกุลหลัว ในช่วงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เทศกาลไหว้พระจันทร์และเทศกาลตรุษจีนพวกเขาก็จะมาคารวะนายหญิงใหญ่ทุกปี คนที่อยู่ข้างหลังของเขาคือหนิวจิ่นลูกชายคนเล็กของเขา เป็นคนดูแลร้านผ้าไหมของสกุลหนิว”
คนจากไปแล้วแต่ชากลับยังคงร้อนอยู่ แสดงว่าพ่อบ้านหนิวคนนี้คงจะเป็นคนมีความสามารถจริงๆ…
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ เปิดผ้าม่านออกแล้วดูข้างนอกต่อ
นางก็เห็นคนหามเสลี่ยงสองคน หามเสลี่ยงที่มีหลังคาเดินเข้ามา มีป้าอายุราวสี่สิบเดินอยู่ข้างเสลี่ยง ข้างหลังและหน้าเสลี่ยงยังมีคนรับใช้ที่ใส่ชุดจ้าวอีอีกเจ็ดแปดคน
หู่พั่วยิ้มและบอกว่า “คนนั้นคือฮูหยินของใต้เท้าโจวเมืองหังโจว”
ทันทีที่นางพูดจบ สืออีเหนียงก็เห็นป้าสวี่พยุงนายหญิงใหญ่ลงมาจากรถม้า เดินไปหาเสลี่ยงหลังนั้น ป้าที่อยู่ข้างเสลี่ยงเห็นเช่นนี้จึงพูดกับคนที่อยู่ในเสลี่ยงเบาๆ เสลี่ยงก็หยุดเดิน คนรับใช้ที่อยู่รอบๆ ก็กระจายกันออก ผู้หญิงอายุราวสี่สิบที่สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีฟ้าลายดอกไม้และสวมเครื่องประดับมรกตดอกไม้บนหัว เดินลงมาจากเสลี่ยง พวกนางคำนับให้กันอยู่ไกลๆ ยิ้มและจับมือกัน พูดคุยกันสองสามประโยค ป้าสวี่มอบกล่องของฝากให้นาง นายหญิงใหญ่ส่งผู้หญิงคนนั้นขึ้นเสลี่ยง มองดูเสลี่ยงเคลื่อนจากไป จากนั้นก็หันไปสั่งป้าเจียงสองสามคำแล้วเดินขึ้นเรือไปกับป้าสวี่
ป้าเจียงวิ่งไปพูดอะไรกับอู่เหนียงที่รถม้าของอู่เหนียงก่อน จากนั้นก็วิ่งมาที่รถม้าของสืออีเหนียง “คุณหนูสิบเอ็ด นายหญิงใหญ่บอกให้ไปขึ้นเรือเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงมองดูจื่อเวยพยุงอู่เหนียงลงมาจากรถม้า นางก็ให้หู่พั่วพยุงตัวเองลงมา
พวกนางเดินตามหลังนายหญิงใหญ่ไป เดินขึ้นเรือไปทีละคน
เรือลำใหญ่ แบ่งเป็นสองชั้น ท่านป้าอยู่ข้างบน พวกนางอยู่ข้างล่าง นายหญิงใหญ่มีห้องสี่ห้อง นางกับอู่เหนียงมีห้องคนละสองห้อง
บนเรือมีคนเตรียมอาหารร้อนๆ ไว้อยู่แล้ว
นายหญิงใหญ่บอกกับพวกนาง “…อีกครึ่งชั่วโมงเราจะออกเดินทาง”
พวกนางทั้งสองคนไม่ค่อยหิว เพราะกินของว่างระหว่างทางมาแล้วนิดหน่อย แต่ก็ไม่กล้าขัดใจนายหญิงใหญ่ พวกนางจึงกินกันไปครึ่งชาม ระหว่างที่กินอาหาร ก็มักจะได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินผ่านทางเดินบนเรือเป็นระยะ เมื่อวางชามและตะเกียบลง เสียงนั้นก็หายไป ป้าสวี่ออกไปดูแล้วกลับมารายงานนายหญิงใหญ่ “กล่องสัมภาระถูกเก็บเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่พยักหน้าแล้วพูดกับป้าสวี่ “เช่นนั้นก็ออกเดินทางเถิด! คืนนี้จะได้พักที่ซูโจว”
ป้าสวี่ตอบรับแล้วเดินออกไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงว่า “อีกก้านครึ่งธูปก็ออกเดินทางได้”
นายหญิงใหญ่พยักหน้าและบอกกับพวกนางว่า “พวกเจ้าก็คงเหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ!”
สืออีเหนียงย่อคำนับและเดินออกไป แต่อู่เหนียงกลับพูดว่า “ท่านแม่ก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน ข้านวดขาให้ท่านดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร!” นายหญิงใหญ่ยิ้ม “พวกเจ้านั่งเรือครั้งแรก ไม่รู้ว่าจะเมาเรือหรือไม่ ดูแลตัวเองให้ดีก็พอ”
อู่เหนียงเห็นว่านายหญิงใหญ่ยืนหยัดเช่นนั้น นางจึงขอตัวออกมา
ลั่วเชี่ยวยุ่งอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้นายหญิงใหญ่พักผ่อน แต่ป้าสวี่กลับจะตรวจสอบกล่องข้าวของกับซานหู ใต้เม่าและคนอื่นๆ
เมื่อสืออีเหนียงกลับมาที่ห้อง ตงชิงก็กำลังตรวจสอบกล่องข้าวของ
นางก็นึกขึ้นได้ว่าพวกนางขึ้นเรือมาพร้อมกับป้าเจียง นางอดไม่ได้ที่จะถามว่า “พวกเจ้ากินข้าวกันแล้วหรือยัง”
ใบหน้าที่มีความสุขที่ได้ไปเยี่ยนจิงของปินจวี๋ นางยิ้มและพูดว่า “ยังไม่ได้กินเจ้าค่ะ แต่ว่าพวกเราไม่หิว กินของว่างระหว่างมาทางแล้ว”
ตงชิงก็ยิ้มและพูดว่า “คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราหรอกเจ้าค่ะ ป้าเจียงบอกแล้วว่า อีกครึ่งชั่วโมงจะให้พวกบ่าวไปที่เรือเล็ก…มีอาหารให้พวกบ่าวกิน ให้พวกบ่าวไปตรวจสอบข้าวของของตัวเองให้ละเอียดก่อน”
สืออีเหนียงเห็นว่าพวกนางจัดการได้อย่างเป็นระเบียบ จึงก็ไม่เอ่ยอะไรอีก ให้ปินจวี๋และชิวจวี๋พานางไปพักผ่อน นอนหลับให้สบายสักหนึ่งตื่น