หู่พั่วตอบด้วยความงุนงง “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”
นางไม่เคยคิดเกี่ยวกับคำถามนี้เลย
สืออีเหนียงตาเป็นประกาย
ในที่สุดก็เห็นแสงริบหรี่!
“สามารถนำคนในครอบครัวจากอวี๋หังมาด้วยได้ แต่กลับไม่ให้พาคนขับรถม้ามาจากบ้านเกิดด้วย” นางยิ้มให้หู่พั่วแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้เจ้านำเงินสองตำลึงไปให้คนขับรถม้าช่วยซื้ออาหารที่ขึ้นชื่อของเยี่ยนจิงมา อาศัยจังหวะนี้ถามเขาว่ารู้จักเล่อผิงสกุลเจียงหรือไม่”
หู่พั่วพูดอย่างลังเลว่า “เป็นแค่คนขับรถม้า จะรู้จักเล่อผิงสกุลเจียงได้อย่างไรเจ้าคะ”
“เจ้าเติบโตขึ้นมาภายในจวน จึงมีบางอย่างที่ยังไม่รู้” สืออีเหนียงยิ้ม “หากพูดถึงเรื่องข่าวสาร ไม่มีใครรู้ไปกว่าคนย้ายของ คนแบกเกี้ยว แล้วก็คนแบกของ พวกเขาเดินทางไปตามหมู่บ้าน รู้จักผู้คนมากมาย ได้เห็นสิ่งต่างๆ มากมาย เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเยี่ยนจิงไม่มีทางรอดพ้นสายตาและหูของพวกเขาไปได้ เจ้าแค่ไปถามก็พอแล้ว เจ้ายังสามารถไปสืบได้อีกว่าคนที่ถูกคุณชายหวังฆ่าตายเป็นใคร” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ในเมื่อสาวใช้ของตระกูลสวีทุกคนต่างก็รู้ เช่นนั้นก็ไม่มีทางที่คนเหล่านี้จะไม่รู้” เสียงของนางค่อยๆ เบาลง “หากโชคดี ไม่แน่คุณชายหวังผู้นั้น อาจจะยังไม่มีภรรยา…ต้องมีข่าวลือออกมาบ้างอย่างแน่นอน!”
หู่พั่วพยักหน้า รับคำสั่งแล้วถอยออกไป
ตงชิงกลับหดหู่เป็นอย่างมาก “คุณหนู คุณชายหวังผู้นั้น…ไม่ว่าเป็นเพราะเหตุผลอะไรเขาจึงได้ฆ่าคน แต่อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่คนดี ท่านล้มเลิกความคิดนั้นไปเสียเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้” สืออีเหนียงยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “คนมักจะมีความหวังเสมอ เมื่อรู้สึกว่ายังมีอนาคตที่จะได้พบสิ่งที่ดีกว่านี้ ดังนั้นจึงได้ลังเล สับสน ไม่แน่ใจ…แต่เมื่อไม่มีอนาคตให้หวังแล้วก็จะใส่ใจเพียงแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า”
ตงชิงไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก “คุณหนูเจ้าคะ ท่าน…”
“ไม่เป็นไรๆ” สืออีเหนียงโบกมือ “พวกเรารีบพักผ่อนเถิด วันนี้ไปเดินเล่นมาทั้งวัน เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
******
เช้าวันต่อมาอู่เหนียงและสืออีเหนียงได้ไปคารวะนายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่ตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว ในห้องมีหีบวางอยู่ระเกะระกะ นายหญิงใหญ่นั่งอยู่บนเตียงหลัวฮั่น ฟังคุณนายใหญ่กับป้าสวี่นำบัญชีมาเทียบดูกับของในหีบ อี๋เหนียงหกคอยรับใช้อย่างนอบน้อมอยู่ข้างๆ
เห็นพวกนางเดินเข้ามา นายหญิงใหญ่จึงเงยหน้าขึ้น “มากันแล้วหรือ”
อู่เหนียงและสืออีเหนียงรีบเดินเข้าไปคารวะนายหญิงใหญ่และคุณนายใหญ่
“ข้ากำลังยุ่ง พวกเจ้าไปพักผ่อนกันเถิด”นายหญิงใหญ่พูดอย่างอ่อนโยน
ทุกคนรู้ดีว่าตอนนี้หลิ่วเก๋อเหล่าได้เลื่อนตำแหน่ง แต่คุณชายทั้งสามของตระกูลหลัวยังว่างอยู่ที่บ้าน…แต่ละวันผ่านไปด้วยความตรึงเครียด ใครจะไปกล้าพูดมากกับนายหญิงใหญ่
ทั้งสองย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไป
อู่เหนียงถามตู้เจวียนที่ส่งพวกนางออกมา “พวกนางกำลังทำอะไรกันหรือ”
ตู้เจวียนตอบเสียงเบาว่า “มอบของขวัญเจ้าค่ะ”
อู่เหนียงแววตาเป็นประกาย “ส่งให้ท่านโหว?”
ตู้เจวียนส่ายหน้า “ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
แสงในดวงตาของอู่เหนียงได้หรี่ลง นางค่อนข้างผิดหวัง ให้จื่อเวยไปเดินอยู่ข้างหน้าลั่วเชี่ยว เพียงแต่ว่าข้างหน้าลั่วเชี่ยวมีเหลียนเฉียวอยู่ พวกนางเก็บความลับไว้ดีมาก ไม่สามารถถามอะไรได้เลย เห็นเพียงแต่ว่านายท่านใหญ่กับนายหญิงใหญ่ยุ่งเป็นอย่างมาก นายท่านใหญ่ออกไปแต่เช้าแล้วกลับดึกทุกวัน นายหญิงใหญ่ก็มักจะพาคุณนายใหญ่ไปตรวจของในหีบ
ในช่วงเวลานี้นายหญิงใหญ่เคยไปที่จวนหย่งผิงโหวแล้วสองครั้ง ให้อู่เหนียงและสืออีเหนียงอยู่ที่เรือนกันสองคน ไปกับป้าสวี่แค่สองคนหลังจากพักผ่อนตอนกลางวัน จากนั้นก็กลับมาก่อนอาหารเย็น ไปตามปกติเหมือนไปเยี่ยมญาติ บางครั้งก็นำขนมกลับมาสองสามชิ้น บางครั้งก็นำผ้ากลับมาสองสามหลา
ทำให้สืออีเหนียงให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ใครจะไปรู้ว่านายหญิงใหญ่ไปเพื่อจุดประสงค์อะไร
นางมักจะหยุดเข็มและด้ายในมือแล้วนั่งนิ่งเป็นพักๆ
โชคดีที่มีข่าวจากหู่พั่ว “…คุณชายหวังออกมาจากตรอกชุ่ยฮวาในตอนเช้า มีชายเฒ่าขายผักผู้หนึ่งเดินผ่านหน้าเขาพอดี ใครจะไปรู้ว่าภายใต้ความโกรธของคุณชายหวังทำให้ชายเฒ่าขายผักผู้นั้น…ต่อมาคุณชายห้าสกุลสวีก็ได้ออกรับหน้า ชดใช้ด้วยเงินหนึ่งพันตำลึง ราษฎรไม่เอาเรื่อง เจ้าหน้าที่ก็ไม่ตามสืบ ก็เลยปล่อยเลยตามเลยเจ้าค่ะ” ในขณะที่พูดนางดูมีสีหน้าลังเลอยู่เล็กน้อย “บ่าวบอกกับคนขับรถม้าผู้นั้นว่าบ่าวเป็นคนพื้นเพของเยี่ยนจิง เมื่อนายท่านใหญ่คนก่อนเสียชีวิตนายหญิงสองก็ได้พาข้ากลับไปที่อวี๋หัง ต่อมาได้ยกข้าให้แก่คุณหนู หลายปีมานี้จึงได้อาศัยอยู่ที่อวี๋หัง เดิมทีมีน้องสาวทำงานอยู่ในจวนเม่ากั๋วกง…”
ข้ออ้างนี้ไม่เลวเลยทีเดียว!
สายตาที่สืออีเหนียงมองหู่พั่วแอบมีความชื่นชมอยู่เล็กน้อย
“ใครจะไปรู้ว่าเมื่อคนขับรถม้าผู้นั้นได้ยินก็รีบบอกบ่าวว่าให้บ่าวรีบหาวิธีไปดูที่จวนของเม่ากั๋วกง เมื่อเดือนที่แล้วสาวใช้ในเรือนของพวกเขาตายไปสองคน บอกว่าป่วยตายหนึ่งคน สะดุดตกบ่อน้ำหนึ่งคน เจ้าไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวงมาสามสี่ปี ใครจะไปรู้ว่าน้องสาวของเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
สืออีเหนียงปกปิดความตกใจไม่อยู่
หน้าผากของหู่พั่วมีเหงื่อออกเล็กน้อย “คุณหนู พวกเราแอบไปที่จวนเม่ากั๋วกงสักหน่อยดีหรือไม่ บอกว่าไปหาน้องสาว คนขับรถม้าผู้นั้นบอกว่าหากบ่าวจะไปก็ให้เปลี่ยนเสื้อผ้า เขาจะไปยืมรถม้าของเพื่อนมา ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม ขอเพียงแค่จัดการเรื่องในจวนไว้เรียบร้อยแล้วก็จะไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้เจ้าค่ะ”
“ไม่ได้” สืออีเหนียงปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ถึงแม้ว่าความคิดของเขาจะดี แต่หากว่าพวกเขาเอาเจ้าไปไว้ที่อื่นก็จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้เช่นกัน”
หู่พั่วหยุดสิ่งที่อยากจะพูดออกมา
สืออีเหนียงสีหน้าเคร่งขรึม พูดอย่างจริงจังว่า “เรื่องนี้ให้หยุดอยู่แค่นี้ ไม่อนุญาตให้พูดถึงเรื่องที่จะไปหาข่าวที่จวนเม่ากั๋วกงอีก”
หู่พั่วทำได้เพียงตกลง
สืออีเหนียงดูออกว่านางกำลังลังเล จึงกำชับอีกสองสามประโยค “จะทำอะไรต้องระวัง” จากนั้นก็ถามเรื่องสกุลเจียง “…เจ้าได้ข่าวบ้างหรือไม่”
หู่พั่วรีบตอบว่า “สกุลเจียงมีเรือนห้าชั้นอยู่ที่ตรอกสือซือ ตอนนี้มีเจียงฮั่นหลินกับคนในสกุลเจียงสองสามคนอาศัยอยู่เนื่องจากว่าพวกเขาเป็นลูกศิษย์ของสถาบันศึกษา ครอบครัวของพวกเขาเข้มงวดและปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างสุภาพ เสี่ยวลิ่วจื่อบอกว่าเขามีคนขับรถม้าที่รู้จักเคยผ่านไปที่ตรอกสือซือหนึ่งครั้ง จู่ๆ ก็มีคนเดินออกมาจากตรอก เขาจึงรีบดึงบังเหียน ทำให้ชายผู้นั้นตกใจล้มลงไปนั่งที่พื้น เพื่อนของเขาเห็นว่าถึงแม้ว่าชายผู้นั้นจะแต่งตัวเรียบๆ แต่ว่าเขาฟันขาวปากแดง เวลายื่นมือออกมาขาวสะอาดและสวยกว่าผู้หญิงเสียอีก แค่ดูก็รู้ว่าต้องเป็นคุณชายอย่างแน่นอน เขาจึงรีบเข้าไปขออภัย ใครจะไปรู้ว่าคุณชายผู้นั้นนอกจากจะไม่ตำหนิแล้วยังให้เงินทำขวัญเขาสองตำลึง เขาไม่กล้ารับมา คุณชายผู้นั้นให้เงินเขาแล้วก็เดินจากไป เขากลัวว่าจะเป็นกลลวงหลอกเอาเงิน จึงตั้งใจไปสืบข่าวโดยเฉพาะถึงได้รู้ว่าเป็นคุณชายสกุลเจียง เพื่อนเขายังบอกอีกว่าในเมื่อคุณชายสกุลเจียงให้เงินมาเขาก็ทำหน้าที่รับไปก็พอแล้ว พวกเขาไม่ใช่คนที่ใช้อำนาจรังแกคนอื่น เขาจึงรับมันมาด้วยความยินดีแล้วยังไปเล่าให้กับญาติและเพื่อนๆ ฟังเจ้าค่ะ”
เพราะเหตุนี้สกุลเจียงจึงไม่อยากยุ่งกับหวังหลัง?
สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วถามหู่พั่วว่า “เสี่ยวลิ่วจื่อคือใคร เจ้ารู้จักกลลวงหลอกเอาเงินด้วยหรือ”
หู่พั่วหน้าแดงเล็กน้อย พูดด้วยความไม่สบายใจ “คนขับรถม้าที่พวกเราไปถามชื่อว่าเสี่ยวลิ่วจื่อ กลลวงหลอกเอาเงินก็เป็นเขาที่บอกกับข้า บอกว่าเป็นการวางกับดักให้คนโลภเหล่านั้นถูกหลอกจนสูญเสียเงินจำนวนมาก…”
สืออีเหนียงหัวเราะ เมื่อนึกถึงความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงของสกุลหวังและสกุลเจียงก็อดหุบยิ้มไม่ได้
แล้วทำไมสองสกุลถึงได้ดองกัน
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัวนางก็อยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง
การแต่งงานต้องดูเรื่องความเหมาะสมทางฐานะ การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การเห็นเป็นเสียงเดียวกัน…
แล้วทำไมสกุลหลัวถึงต้องดองกับสกุลหวังกันล่ะ
หากเป็นเพราะเพื่อที่จะให้บรรดาลูกสาวอนุทั้งหลายมีครอบครัวที่ดีเป็นของตัวเอง แต่จากที่ตัวเองไปสืบข่าวมาก็สามารถรู้ได้ว่าหวังหลังไม่ใช่คนดี แต่หากเป็นเพราะอำนาจ แม้แค่คนรับใช้ของสกุลสวีก็ยังรู้ว่าจวนเม่ากั๋วกงล้มละลายแล้ว หยวนเหนียงจะไม่รู้ได้อย่างไร ไม่สู้ไปแต่งกับขุนนางที่ยังมีอำนาจและภรรยาได้เสียชีวิตไปแล้วยังจะดีกว่าอีก
ยิ่งไปกว่านั้นตามสถานการณ์ทั่วไป ในตอนนี้สิ่งที่หลัวหยวนเหนียงต้องทำก็คือทุ่มเทแรงกายแรงใจทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะรับประกันได้ว่าจุนเกอจะได้รับประโยชน์สูงสุดหากนางไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ทำไมจึงได้เปลืองแรงคิดหาคู่สมรสให้น้องสาวต่างแม่ที่ตัวเองไม่ได้เจอมาสิบกว่าปี
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้สืออีเหนียงก็รู้สึกประหลาดใจ
ใช่แล้ว เวลานี้ที่หลัวหยวนเหนียงทำทุกอย่างก็เพื่อจุนเกอ…เช่นนั้นการแต่งงานนี้มีผลดีต่อจุนเกอตรงไหน
สกุลหลัว สกุลหวัง สกุลสวี สกุลเจียง…เหมือนกับโคมไฟม้าที่วิ่งวนอยู่ในหัวของสืออีเหนียง
นางถามตัวเองว่าหากตัวเองเป็นหลัวหยวนเหนียงจะทำเช่นไร
เมื่อความคิดทุกอย่างมารวมกันก็ไม่สามารถหยุดคิดต่อไปได้
เรื่องภายในก็หาภรรยาตัวแทนที่ตระกูลหลัวสามารถควบคุมได้ เพื่อให้แน่ใจว่าจุนเกอจะเติบโตอย่างราบรื่น ส่วนเรื่องภายนอกก็ขอการสนับสนุนที่แข็งแกร่งเพื่อจะได้แน่ใจว่าจุนเกอจะได้ตำแหน่งผู้สืบทอด อย่างไรเสียจุนเกอก็เป็นบุตรภรรยาเอกของสวีลิ่งอี๋ มีสถานะสูงศักดิ์กว่าบุตรที่เกิดจากภรรยาตัวแทน เป็นทายาทคนแรกที่จะได้สืบทอดตำแหน่งขุนนาง
ตอนนี้เรื่องภายในหยวนเหนียงได้วางแผนไว้แล้ว เช่นนั้นเรื่องภายนอก…
สืออีเหนียงกุมขมับ
สกุลเจียง…เป็นสกุลที่รักษาความบริสุทธิ์ เป็นสกุลที่ถ่อมตนและเก็บตัว เป็นสกุลที่มีชื่อเสียง…ไม่จำเป็นต้องให้เขาช่วยปิดบังความชั่ว เพียงแต่ว่าในยามวิกฤตต้องการให้เขาออกมาช่วยทวงความยุติธรรมให้จุนเกอก็พอ แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็เป็นสกุลที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ครอบครัวเช่นนี้มักจะมีขอบเขตในการพูด…จะทำอย่างไรให้สกุลดีๆ เช่นนี้เกี่ยวข้องกับจุนเกอ
วิธีที่ดีที่สุดแน่นอนว่าคือการแต่งงาน
พอดีเลย ลูกสาวของเม่ากั๋วกงแต่งกับตระกูลเจียง ลูกชายอีกหนึ่งคนก็ยังต้องแต่งภรรยา…
สืออีเหนียงยิ้มแหยๆ “สกุลเจียงมีลูกสาวหรือไม่ มีลูกสาวกี่คน” ไม่ทันรอให้หู่พั่วตอบก็พูดพึมพำขึ้นมาอีกว่า“แน่นอนว่าต้องมีลูกสาว มิเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องทำอะไรอ้อมค้อมเช่นนี้…”
หู่พั่วรีบพูดว่า “ให้บ่าวไปถามเสี่ยวลิ่วจื่ออีกรอบไหมเจ้าคะ”
สืออีเหนียงส่ายหัว “แค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องไปสืบหาข่าวอีกแล้ว” พูดพลางชี้ไปด้านตะวันออก“เดี๋ยวจะทำให้คนสงสัยเอาได้”
หู่พั่วรีบพยักหน้า “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไปพักผ่อนเถิด”
นางต้องคิดอย่างละเอียดว่าควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี
หู่พั่วเดินถอยออกไปแล้วได้มาพบกับเฝ่ยชุ่ย
“น้องเฝ่ยชุ่ยมาได้อย่างไร” นางยิ้มทักทายเฝ่ยชุ่ยขณะที่กลังมุ่งหน้าไปที่ห้องทางฝั่งด้านตะวันตกที่นางอาศัยอยู่
เฝ่ยชุ่ยยิ้มแล้วส่ายหน้า “ข้ามาเชิญคุณหนูสิบเอ็ด นายหญิงสามมาแล้ว พาคุณชายห้ากับคุณชายหกมาด้วย กำลังดื่มชาอยู่กับนายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่ให้ข้ามาบอกคุณหนูห้ากับคุณหนูสิบเอ็ดว่าให้ไปคารวะ”
หู่พั่วยิ้มพร้อมพยักหน้า เมื่อเฝ่ยชุ่ยนำคำของนายหญิงใหญ่ไปบอกแก่อู่เหนียง จากนั้นก็พานางไปหาสืออีเหนียง
เมื่อรู้จุดประสงค์การมาของเฝ่ยชุ่ย สืออีเหนียงจึงเก็บของแล้วพาหู่พั่วไปหานายหญิงใหญ่พร้อมกับเฝ่ยชุ่ย
เมื่อเทียบกับตอนที่อยู่ที่อวี๋หัง นายหญิงสามที่อายุยี่สิบเจ็ดปีดูแก่ขึ้นเยอะอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อสืออีเหนียงคำนับนาง คุณชายห้ากับคุณชายหกที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่หญิงสิบเอ็ด”