ออกมาจากเรือนของหยวนเหนียง พวกนางยังคงนั่งเกวียนเดิมที่พวกนางนั่งมา แล่นไปทางทิศตะวันตกประมาณหนึ่งก้านธูป จากนั้นก็เลี้ยวไปทางซ้ายเข้าไปถนนแคบๆ ออกมาจากถนนแคบๆ นั้น หยุดลงอยู่ที่หน้าประตูก่วงเลี่ยง
กระเบื้องกึ่งทรงกระบอกสีเทา ผนังอิฐ ประตูสีดำ นอกประตูมีกำแพงประติมากรรมที่สูงกว่าคน ด้านซ้ายแกะสลักตัวอักษรคำว่า ‘มั่งคั่ง’ ด้านขวาแกะสลักตัวอักษรคำว่า ‘อายุ’ หน้าประตูเป็นบันไดหินห้าขั้น แกะสลักเป็นลวดลายมงคลต่างๆ นาๆ สาวใช้น้อยสองคนที่ไม่มีผมกำลังเล่นอยู่บนบันได เห็นรถม้าหยุดแล่น คนหนึ่งวิ่งเข้าไปข้างใน อีกคนเดินออกมาคารวะต้อนรับ
จุนเกอตะโกนใส่สาวใช้น้อยคนนั้น “เสี่ยวเสา”
เห็นได้ว่าเขาสนิทสนมกับคนในเรือนของไท่ฮูหยินเป็นอย่างดี
เสี่ยวเสายิ้มตอบรับ ท่านป้าสวี่ก็ล้วงเงินในแขนเสื้อออกมาให้กับสาวใช้น้อย สาวใช้น้อยเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็มีสาวใช้สองสามคนที่สวมเสื้อกั๊กสีเขียวล้อมรอบสาวใช้ที่สวมเสื้อกั๊กสีเหลืองเดินออกมา
“นายหญิงใหญ่ บ่าวคือเว่ยจื่อคนรับใช้ของไท่ฮูหยินเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่สวมเสื้อกั๊กสีเหลืองคารวะนายหญิงใหญ่และคนอื่นๆ ด้วยความเคารพ จากนั้นก็ยิ้มและคารวะจุนเกอ “คุณชายจุน ท่านมาหาไท่ฮูหยินกับท่านยายหรือเจ้าคะ?”
จุนเกอยิ้มอย่างเขินอาย
ป้าสวี่หยิบถุงผ้าออกมาให้เป็นรางวัลแก่พวกนาง เว่ยจื่อและคนอื่นๆ ก็รับรางวัลไปอย่างนอบน้อมและพากันเดินเข้าไปข้างใน
ข้างหน้าคือภูเขาหินปลอมรูปร่างแปลกๆ ทั้งสองข้างทางคือทางเดิน
บนเขามีต้นเถิงหลัวสีเขียวที่แกว่งวนไปๆ มาๆ ตีนเขาเต็มไปด้วยเขียวหญ้าเขียวขจีที่ประดับไปด้วยดอกไม้สีเหลือง สีแดง สีฟ้าสองสามดอก ถึงแม้ว่าจะดูธรรมชาติ แต่กลับเป็นภาพของดอกไม้บานในฤดูใบไม้ผลิ
สืออีเหนียงตกใจ มองดูอย่างละเอียดอีกครั้งถึงได้เห็นว่า กอหญ้าพวกนั้นแอบซ่อนกระถางเครื่องปั้นดินเผาขนาดใหญ่สีแดงเข้มที่ราวกับกระดานหมากรุกเอาไว้ ที่แท้แล้วกอหญ้าพวกนี้ไม่ได้ปลูกบนดินแต่กลับปลูกในกระถางเครื่องปั้นดินเผาทรงสี่เหลี่ยม
น่าจะปลูกในเรือนกระจกแล้วย้ายออกมา
นางครุ่นคิด ยิ้มและเดินตามนายหญิงใหญ่ไปบนทางเดินด้านขวา เดินไปถึงห้องโถง
ห้องโถงใหญ่มีสามห้อง ตรงกลางมีม่านกันลมไม้จื่อถานประดับแก้วลายต้นสนและนกกระเรียนสี่บานวางอยู่ เดินผ่านม่านกันลมไป ด้านซ้ายและด้านขวาล้วนแต่เป็นทางเดิน ตรงกลางมีห้องโถงเล็กๆ อีกสามห้อง
เหยาหวงยิ้มและพูดว่า “ลำบากท่านป้าแล้ว ไปดื่มชากับข้าเถิดเจ้าค่ะ!”
กลับกลายเป็นว่า คนที่ไม่สำคัญก็ไม่ต้องตามไปด้วย
ป้าสวี่ขยิบตาให้กับจื่อเวย หู่พั่วและคนอื่นๆ ยิ้มและพูดว่า “รบกวนแม่นางเหยาหวงแล้ว” จากนั้นนางก็พาพวกนางเดินตามเหยาหวงจากมุมประตูของห้องโถงเล็กไปที่ห้องข้างหลัง จุนเกอมีแม่นมคอยอุ้มอยู่ นายหญิงใหญ่ อู่เหนียง สืออีเหนียง เหวินอี๋เหนียงและสาวใช้อีกสองสามคนของจุนเกอ พากันเดินตามเว่ยจื่อไปยังเรือนที่อยู่ข้างหลัง
ชั้นบนมีห้าห้อง เสาและพื้นเป็นสีดำ หน้าต่างกระจกบานใหญ่ ผ้าม่านสีขาวราวกับหิมะ และผ้าม่านลายดอกสีเขียว ทั้งสองด้านมีลวดลายนกสีต่างๆ นาๆ ตรงกลางลานปูด้วยหินสีฟ้าที่มีตัวอักษรเลขสิบ มุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีต้นไม้ใหญ่ที่สูงเด่นเป็นสง่า กิ่งก้านปกคลุมหลังคาเรือนราวกับร่ม มุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีต้นไม้ใหญ่ แต่กลับไม่มีใบไม่มีดอก กิ่งก้านสีน้ำตาล มุมทิศตะวันออกเฉียงใต้มีชั้นวางดอกไม้ เต็มไปด้วยต้นเถิงหลัวสีเขียว ด้านล่างเป็นโต๊ะหิน เก้าอี้หิน มีกลิ่นอายของความสง่างามและเรียบง่าย
สาวใช้ที่ได้รับความไว้วางใจยืนอยู่หน้าบันได เห็นพวกนางเดินเข้ามา บางคนก็ช่วยเปิดม่าน บางคนก็รายงานให้กับข้างในเรือน “คุณชายจุนกับนายหญิงใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ”
พวกนางเดินเข้าไปในห้อง หญิงกลุ่มใหญ่ที่สวมชุดสีแดงสีเขียว ล้อมรอบหญิงรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้ามา
จุนเกอตะโกน “ท่านย่า!”
สืออีเหนียงจึงรู้ว่านี่คือแม่สามีของหยวนเหนียง ไท่ฮูหยินของจวนหย่งผิงโหว นางจึงอดไม่ได้ที่จะลอบมองอย่างระมัดระวัง
ดูแล้วไท่ฮูหยินเหมือนจะอายุน้อยกว่านายหญิงใหญ่สองสามปี นางสวมเสื้อกั๊กยาวสีเขียวลายผีเสื้อ และกระโปรงสีเหลือง ผมสีดำสนิทหวีม้วนเป็นมวยและประดับด้วยไข่มุกปะการังสีเขียวสองดอกข้างๆ ผิวขาว รูปร่างอวบอิ่ม บนใบหน้าที่กลมและขาวมีดวงตาที่ดูอ่อนโยน
นางยิ้มให้จุนเกอ จากนั้นก็เดินเข้ามาคำนับนายหญิงใหญ่ “น้องหญิง ให้เจ้าเดินมาหาข้า ช่างน่าละอายใจยิ่งนัก”
นายหญิงใหญ่ย่อคำนับตอบกลับไท่ฮูหยิน “พี่หญิงพูดเช่นนี้ช่างทำให้ข้าลำบากใจ” จากนั้นนางก็แนะนำอู่เหนียงและสืออีเหนียงให้กับไท่ฮูหยิน “นี่บุตรสาวสองคนที่ยังไม่ได้ความของข้า คนโตอู่เหนียง คนเล็กสืออีเหนียง”
อู่เหนียงและสืออีเหนียงรีบเดินเข้ามาคำนับไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินยิ้มและมองพวกนาง “ดวงตาราวกับไข่มุกที่สดใส ช่างเป็นบุตรสาวที่งดงาม”
“ไท่ฮูหยินกล่าวชมเกินไปเจ้าค่ะ” นายหญิงใหญ่ถ่อมตัว
ไท่ฮูหยินแนะนำหญิงผู้หนึ่งอายุราวสี่สิบกว่า สวมชุดสีเขียวรากบัวลายนกกระเรียนที่อยู่ข้างๆ ตัวเอง“ท่านผู้นี้คือเฉียวฮูหยินของจวนเฉิงกั๋วกง”
ทั้งสองคนคำนับให้กันและกัน
ไท่ฮูหยินก็ชี้ไปยังเด็กหญิงที่หน้าตางดงามที่อยู่ข้างๆ เฉียวฮูหยิน “นี่คือคุณหนูหกของจวนเฉิงกั๋วกง”
นายหญิงใหญ่ยิ้มและพยักหน้าให้เด็กหญิงคนนั้นแล้วพูดว่า “คุณหนูเฉียว” อย่างสุภาพ
คุณหนูเฉียวคำนับนายหญิงใหญ่ จากนั้นก็คำนับอู่เหนียงและสืออีเหนียง
เฉียวฮูหยินจึงชี้ไปยังเหวินอี๋เหนียงและพูดว่า “ท่านนี้คือ…”
ไท่ฮูหยินยิ้ม ตอบ “ท่านนี้คืออนุภรรยาของคุณชายสี่”
เหวินอี๋เหนียงรับเดินเข้าไปคำนับเฉียวฮูหยิน เฉียวฮูหยินยิ้มและพยักหน้า ให้ถุงผ้าเป็นรางวัลแก่นางแล้วพูดว่า “ท่านโหวช่างมีบารมีเสียจริง ดูอี๋เหนียงสิ ตัวเล็กๆ เช่นนี้ ช่างเป็นที่รักของทุกคนเสียจริงๆ!”
ไท่ฮูหยินยิ้ม จากนั้นก็เชิญนายหญิงใหญ่และเฉียวฮูหยินไปที่ห้องผักพ่อนในวันปกติทางทิศตะวันตก ไท่ฮูหยินและนายหญิงใหญ่แยกกันนั่งตามลำดับแขก และเจ้าบ้านบนเตียงอุ่นใกล้หน้าต่าง จากนั้นก็มีสาวใช้ยกเก้าอี้ไท่ซือมาวางไว้ใกล้ไท่ฮูหยินให้สำหรับเฉียวฮูหยิน ยกเก้าอี้จิ่นอู้มาให้คุณหนูเฉียว อู่เหนียง สืออีเหนียงและเหวินอี๋เหนียง
จุนเกอคารวะไท่ฮูหยินและเฉียวฮูหยิน เฉียวฮูหยินอุ้มเขามามองซ้ายมองขวา ชื่นชมเขา ให้ถุงผ้าเป็นรางวัลแก่เขา แล้วยังยื่นจุนเกอให้คุณหนูเฉียว ให้คุณหนูเฉียวอุ้มจุนเกอไปให้ไท่ฮูหยิน
ไม่รู้ว่าถุงผ้าที่เฉียวฮูหยินเอาให้มีอะไรสนุกดึงดูดความสนใจของจุนเกอ หรือเพราะว่าประเดี๋ยวก็จะได้เข้าไปอยู่ในอ้อนแขนของท่านย่าแล้ว จุนเกอดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวฮูหยิน แต่เมื่อคุณหนูเฉียวอุ้มเขาอยู่ในอ้อมแขน เขาไม่ขยับเลยแม่แต่น้อย
เฉียวฮูหยินจึงยิ้มและพูดว่า “จุนเกอช่างถูกชะตากับคุณหนูหกของเราเสียจริง”
ไท่ฮูหยินก็ไม่ได้พูดอะไร นางแค่ยิ้มและลูบหัวจุนเกอเบาๆ แล้วบอกกับเว่ยจื่อ “พาจุนเกอจะไปเล่นที่เรือนหน่วนเก๋อเถิด!”
เว่ยจื่อตอบกลับและอุ้มจุนเกอ เหวินอี๋เหนียงก็ยิ้มและลุกขึ้นยืน “ไท่ฮูหยิน ข้าไปอยู่เป็นเพื่อนจุนเกอดีกว่าเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินยิ้ม มองไปที่นางและพูดว่า “เช่นนั้นต้องระวังหน่อย อย่าให้เขาไปกระแทกกับอะไรล่ะ!”
เฉียวฮูหยินที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขัดจังหวะขึ้นมา “เช่นนั้น คุณหนูหกเจ้าก็ไปเล่นกับจุนเกอเถิด” จากนั้นก็พูดกับไท่ฮูหยิน “คุณหนูหกของเรารักเด็ก หลานชายหลานสาวที่เรือนเห็นนางก็เอะอะโวยวายอยากจะเล่นกับนาง”
คุณหนูเฉียวหน้าแดง นางพูดเบาๆ ว่า “ท่านป้า…ท่านก็จริงๆ เลย …”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูหกเป็นแขก! จะรบกวนนางได้เช่นไรกัน”
“ท่านเป็นผู้อาวุโส นางเป็นหลาน ท่านบอกนางก็ต้องไปทำ จะมีคำว่ารบกวนได้เช่นไร!” นางทำท่าทางยืนกรานที่จะให้คุณหนูเฉียวไปเล่นกับจุนเกอที่หน่วนเก๋อ
ไท่ฮูหยินยิ้มและพูดว่า “เช่นนั้น คุณหนูเฉียวก็ช่วยข้าอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูทั้งสองคนดีกว่า คนแก่อย่างพวกเราอยู่พูดคุยกัน เด็กๆ จะได้ไม่เบื่อ!”
คุณหนูเฉียวรีบลุกขึ้นยืนอย่างเชื่อฟังและตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ย้ายเก้าอี้ไปนั่งกับอู่เหนียงและสืออีเหนียง ไท่ฮูหยินจึงพูดคุยเรื่องระหว่างทางกับนายหญิงใหญ่ ออกมาจากอวี๋หังเมื่อไร ไปถึงที่ไหนเมื่อไร และมาถึงถงโจวเมื่อไร…
บอกให้นางมาคุยเป็นเพื่อนอู่เหนียงและสืออีเหนียง แต่ว่าผู้ใหญ่กำลังพูดคุยกันอยู่ ไม่มีใครกล้าพูดแทรก ยิ่งไม่กล้ากระซิบกระซาบอยู่ข้างๆ คุณหนูเฉียวก็แค่ย้ายมานั่งข้างอู่เหนียงกับสืออีเหนียงก็แค่นั้น
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ไท่ฮูหยิน หลินปัวคนของท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ แต่ฮ่องเต้ให้ท่านโหวอยู่พูดคุยเป็นเพื่อน เกรงว่าวันนี้คงจะกลับดึก ฝากบอกให้เขามาบอกนายหญิงใหญ่ ว่าหากเขาว่างแล้วเขาจะไปเยี่ยมที่จวนด้วยตนเอง”
“เด็กคนนี้ ไม่รู้ว่ายุ่งอยู่กับอะไร!” ไท่ฮูหยินถอนหายใจ จากนั้นก็หันไปพูดกับนายหญิงใหญ่ “นายหญิงใหญ่อย่าได้ถือสาเลยเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่กำลังจะพูดอะไร แต่เฉียวฮูหยินกลับยิ้มและพูดขึ้นมา“ท่านโหวเป็นคนสำคัญของประเทศชาติ แน่นอนว่าเขาจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของประเทศชาติ นายหญิงใหญ่จะโทษเขาได้เช่นไรเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มให้นายหญิงใหญ่ด้วยความรู้สึกผิด “จวนเฉิงกงกั๋วกงกับสกุลข้าเราเป็นสหายกัน” ราวกับว่านางกำลังอธิบายความเป็นกันเองของเฉียวฮูหยินให้นายหญิงใหญ่ฟัง
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” เฉียวฮูหยินยิ้ม “ตอนที่กั๋วกงของเราเข้าไปอยู่ในกองทัพทหารอวี้หลินของค่ายหู่เวย ท่านโหวคนก่อนยังเป็นผู้นำกองทัพ กั๋วกงของเราเป็นยามของกองทัพ คอยติดตามท่านโหวคนก่อนทุกวัน ตอนนั้น สกุลเรายังไม่ได้แต่งงานกัน เขาไม่ยอมกลับบ้าน ตามท่านโหวคนก่อนมากินข้าวที่เรือนพี่หญิงทุกวัน…” นางพูดแล้วหัวเราะขึ้นมา “ต่อมาสกุลเราแต่งงานกัน เขามักจะบอกว่าเนื้อกวางรมควันที่เรือนของพี่หญิงอร่อย แล้วยังเคยส่งคนมาเอาที่พี่หญิง พี่หญิงจำได้หรือไม่เจ้าคะ”
“จำได้สิ” ไท่ฮูหยินแค่ยกยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้ดูเป็นกันเองเหมือนเฉียวฮูหยินขนาดนั้น
เฉียวฮูหยินถอนหายใจเบาๆ “ต่อมา ท่านโหวคนก่อนเสียชีวิต กั๋วกงของเราก็ถูกส่งตัวไปซีเป่ย พี่หญิงปิดจวนไม่ต้อนรับแขก เราจึงไม่ได้มาที่นี่บ่อยๆ…”
นายหญิงใหญ่ได้ยินเบาะแสอะไรบางอย่าง
ในเมื่อเป็นสหายกันมาหลายชั่วอายุ ทำไมถึงได้ไปมาหาสู่กันน้อยลงเพราะสามีของตัวเองถูกส่งตัวไปที่ซีเป่ย ยิ่งไปกว่านั้น ท่านโหวคนก่อนเสียชีวิต สวีลิ่งอานบุตรชายคนโตที่เป็นความหวังสูงสุดของสกุลสวีก็มาล้มป่วยตาย ภรรยาของสวีลิ่งอานที่กลายเป็นแม่หม้ายและไท่ฮูหยินของสกุลต่างพากันตรอมใจจนล้มป่วย ทันใดนั้นบุตรสาวก็กลายเป็นผู้ดูแลจวน สะใภ้กานคุณนายสามของจวนสกุลสวีไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แล้วยังมีครรภ์ ไม่ต้องพูดว่าจะช่วยอะไร แม้แต่คอยดูแลแม่สามีที่นอนอยู่บนเตียงก็ยังทำไม่ได้ แต่นางยังตั้งใจพาลูกพี่ลูกน้องของไท่ฮูหยินมาอยู่เป็นเพื่อนไท่ฮูหยินที่จวนตั้งครึ่งปี
คิดเช่นนั้น นางก็เหลือบไปมองไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินรู้สึกถึงสายตาของนายหญิงใหญ่ นางจึงหันมามองนายหญิงใหญ่และยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
นายหญิงใหญ่ก็เข้าใจขึ้นมาทันที
ปีนั้นยังเกิดเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง
‘คดีอูจง’ ของฮ่องเต้เจี้ยนอู่ในปีสี่สิบหกเข้าไปพัวพันกับราชวงค์หลายคน หลังจากที่ฮองเฮาและรัชทายาทดื่มยาพิษสิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้ไม่ยอมแต่งตั้งฮองเฮาและรัชทายาท ปีนั้นมีคนเขียนกีฏาแนะนำว่าให้แต่งตั้งองค์ชายสิบของสนมกุ้ยเฟยสกุลเยี่ยเป็นรัชทายาท ฮ่องเต้ทรงพิโรธสั่งให้หลี่ชิงของกรมรัฐมนตรีสืบสวนเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน หลังจากนั้นทุกคนถึงได้รู้ว่า หลี่ชิงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์ชายเก้า ถือโอกาสนี้โจมตีองค์ชายคนอื่น แต่ตอนนั้น ในเวลานั้น ‘คดีอูจง’ ได้รับการสืบสวนเป็นเวลาห้าปี ไม่รู้ว่ามีเชื้อพระวงศ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกี่คน สกุลสวีในฐานะสกุลพ่อตาขององค์ชายเจ็ดก็เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย หากไม่ใช่เพราะพ่อสามีของตนคอยปกป้อง ตอนนั้นท่านโหวคนก่อนก็ป่วยตาย เกรงว่าเรื่องราวพวกนี้คงจะไม่สงบลงง่ายเช่นนี้
ตอนนั้นนางปรนนิบัติรับใช้แม่สามีที่ป่วยอยู่ที่อวี๋หัง มาที่เยี่ยนจิงไม่ได้ ข่าวก็ถูกปิด ใจของนางก็กระวนกระวาย แล้วยังเคยบ่นพ่อสามีว่าไม่ควรให้บุตรสาวของตนไปแต่งงานกับสกุลสวี…
หากสกุลเฉียวและสกุลสวีไม่ได้ไปมาหาสู่กันช่วงนั้น เช่นนั้นก็หมายความว่า ตอนนั้นสกุลเฉียวสนับสนุนองค์ชายคนอื่น!
นายหญิงใหญ่อดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มเหยเกอยู่ในใจ
ตอนนี้รู้ว่าตัวเองเข้าข้างคนผิดจึงรีบมาประจบสอพลอ หรือว่าไม่เคยได้ยินว่าคำที่ว่า ‘ปักดอกไม้บนผ้านั้นง่าย แต่มอบถ่านไฟให้กับผู้คนที่อยู่ท่ามกลางหิมะนั้นยาก’ หรือ?
สืออีเหนียงก็สังเกตเห็นปัญหาบางอย่างเช่นกัน
เฉียวฮูหยินคนนี้ ถึงแม้ว่าจะดูใจกว้าง แต่อากัปกิริยากลับประจบสอพลอไท่ฮูหยิน หรือว่ามีเรื่องอะไรจะขอร้อง?
นางเกิดความสงสัยขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเฉียวฮูหยิน