ส่งลูกเขยออกไปแล้วนายท่านใหญ่ก็กลับมาที่เรือนหลัก นายหญิงใหญ่อดไม่ได้ที่จะยิ้มแห้ง “หรือว่าที่จวนโทรมเกินไป ท่านกั๋วจิ้ว[1]นั่งแล้วรู้สึกว่ามันไม่สะอาด?”
นายท่านใหญ่ขมวดคิ้ว “เจ้าพูดเหลวไหลอันใด ท่านโหวไม่ใช่คนเช่นนั้น ฮ่องเต้มีเรื่องจะปรึกษากับเขาจริงๆ เจ้าก็ใช่ว่าไม่รู้ หลิวเก๋อเหล่ากลับมารับตำแหน่ง ราชสำนักกำลังวุ่นวาย สำหรับประเทศชาติเขาเป็นขุนนางคนสำคัญของประเทศ สำหรับตัวเขาเองที่เป็นกั๋วจิ้ว จะไม่สนใจได้เช่นไร…”
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาเป็นมหาบัณฑิตตั้งแต่เมื่อใด” ถึงแม้ว่านายหญิงใหญ่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่เสียดสี แต่มันก็เบาลงกว่าเมื่อครู่ไม่น้อย
“เจ้ามาที่เยี่ยนจิงยังไม่ได้เจอกับหลิ่วฮูหยินเลยใช่หรือไม่” นายท่านใหญ่ไม่อยากพูดเรื่องนี้กับนายหญิงใหญ่ เขาจึงเตือนนาง “พวกนางจะออกเดินทางพรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่ เจ้าหาเวลาไปหานางซะเถิด! แล้วยังมีน้องหญิงสามกับน้องชายสามอยู่ที่นั่น ไปดูว่ามีอะไรที่พอจะช่วยได้หรือไม่”
“ข้ายังต้องให้เจ้าบอก?” นายหญิงใหญ่บ่น “ข้าเตรียมของเรียบร้อยแล้ว รอเจ้ากลับมาไปด้วยกัน” จากนั้นก็เรียกลั่วเชี่ยวมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นายท่านใหญ่ พวกเขาทั้งสองคนก็ออกเดินทางไปจวนสกุลหลิ่ว
อู่เหนียงล้างหน้าสระผมอยู่ในห้อง แต่สืออีเหนียงกลับกำลังปักเสื้อให้จุนเกอ
******
วันต่อมา รถม้าของสกุลสวีที่มารับพวกนางมาถึงในยามซื่อ[2]ตอนเริ่มเข้าสามเค่อ[3] นายหญิงใหญ่จัดการเรื่องในจวนเสร็จเรียบร้อยพอดี
คุณนายใหญ่สกุลหลัวและนายหญิงใหญ่ขึ้นไปบนรถม้าคันแรก อู่เหนียงและสืออีเหนียงขึ้นรถม้าคันที่สอง ป้าสวี่ ซิวเกอ และแม่นมของซิวเกอขึ้นรถม้าคันที่สาม หู่พั่ว ตงชิง จื่อเวย จื่อย่วนและคนอื่นๆ ขึ้นรถม้าคันที่สี่ ไท่ฮูหยินส่งรถม้าคันที่ห้าและคันที่หกมารับป้าของพวกนางและป้าสกุลหลัว บวกกับองครักษ์อีกสามสิบกว่าคน ออกไปจากตรอกกงเสียนไปยังเหอฮวาหลี่อย่างยิ่งใหญ่
เมื่อเข้ามาถึงจวนสกุลสวี ก็เป็นช่วงเที่ยงพอดี
พวกนางไปหาหยวนเนียงก่อน
เหวินอี๋เหนียงถึงตั้งนานแล้ว ทุกคนคำนับให้กัน จุนเกอและซิวเกอหัวเราะกอดกันกลมเกลียว พวกเขาสองคนจับมือกันกำลังจะไปดูปลาคาร์ฟที่สวนหลังบ้าน
“วันนี้เจ้าต้องพาซิวเกอไปกินข้าวที่เรือนของท่านย่า” หยวนเหนียงพูดอย่างอ่อนโยน “กินข้าวเสร็จแล้วค่อยให้พี่เว่ยจื่อพาพวกเจ้าไปดูปลาคาร์ฟดีไหม?”
จุนเกอพยักหน้าอย่างรู้ความ ซิวเกอก็บอกว่า“ขอรับ” ทำให้ทุกคนต่างชื่นชม
ทุกคนพูดคุยกันครู่หนึ่ง จากนั้นเหวินอี๋เหนียงก็พาพวกเขาไปเรือนไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินอยู่กับแม่นางน้อยตัวน้อยวัยแปดเก้าขวบที่สวมเสื้อกั๊กสีแดงสองสามคนในห้องโถง
จุนเกอเห็นแม่นางตัวน้อยคนนั้น เขาก็ตะโกนด้วยความดีใจ “เจินเจี่ยเอ๋อร์” จากนั้นก็ดิ้นออกมาจากอ้อมแขนของแม่นม วิ่งเข้าไปหาแม่นางตัวน้อยคนนั้น
แม่นางตัวน้อยยิ้มและเดินเข้ามาจับมือเขา “เจ้าทำไมทิ้งซิวเกอซะแล้วล่ะ?”
จุนเกอก้มหน้าลงอย่างเขินอายและเรียกเบาๆ ว่า “ซิวเกอ”
ซิวเกอก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาวิ่งเข้ามาจับมือจุนเกอและเรียกแม่นางตัวน้อยคนนั้น “พี่หญิง”
สกุลสวีมาถึงรุ่นของจุนเกอ ก็มีแค่เหวินอี๋เหนียงที่มีลูกสาวหนึ่งคน ไม่ต้องคิดอะไรมาก สืออีเหนียงก็รู้ว่าแม่นางตัวน้อยคนนี้คือลูกสาวคนโตของสวีลิ่งอี๋
นางอดไม่ได้ที่จะมองเจินเจี่ยเอ๋อร์ตั้งแต่หัวจรดเท้า
รูปร่างของนางดูเหมือนจะสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ผิวขาว คิ้วหนาตาโต หน้าตาไม่ค่อยเหมือนเหวินอี๋เหนียงเอาเสียเลย
หรือว่า หน้าตาเหมือนท่านพ่อ?
สืออีเหนียงครุ่นคิด เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็วิ่งเข้ามาตะโกนเรียกเหวินอี๋เหนียงว่า “อี๋เหนียง”
เหวินอี๋เหนียงยิ้มและพูดว่า “คุณหนูใหญ่”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วบอกให้คนมอบรางวัลให้ซิวเกอ
ซิวเกอเอ่ยขอบคุณไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินอุ้มซิวเกอมาชื่นชมไม่หยุด “เด็กคนนี้ น่ารักจริงๆ เลย!”
สายตาของนายหญิงใหญ่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางถ่อมตนอยู่ครู่หนึ่ง คุณนายใหญ่หลัว อู่เหนียง สืออีเหนียงและเหวินอี๋เหนียงก็เดินเข้ามาคำนับไท่ฮูหยิน พวกนางพูดคุยหัวเราะกันเดินไปที่ห้องรับรองของไท่ฮูหยิน
ทันทีที่ทุกคนนั่งลง สาวใช้ก็มารายงาน “เฉิงกั๋วกงฮูหยินและคุณหนูมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เชิญเข้ามาเร็วเข้า!” ทันทีที่ไท่ฮูหยินพูดจบ เฉียวฮูหยินก็พาคุณหนูหกของสกุลเฉียว ที่เจอกันครั้งก่อนเดินเข้ามา
วันนี้เฉียวฮูหยินสวมเสื้อกั๊กสีแดงตัวใหญ่ ม้วนผมดอกโบตั๋น ประดับด้วยอัญมณีสีสดใสสี่เม็ด ข้างขวามีอัญมณีสีแดงเม็ดใหญ่ แต่งตัวอย่างสง่างาม ส่วนคุณหนูเฉียวสวมเสื้อกั๊กยาวสีเหลือง ม้วนผมมวยเอียง ปักปิ่นปักผมจินปู้เหยาและไข่มุกขี้ผึ้ง สวมต่างหูจี้หยกสีม่วงบนหู ช่างเป็นการแต่งตัวที่อ่อนโยนและมีเสน่ห์
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองอู่เหนียงที่อยู่ข้างๆ
วันนี้นางสวมเสื้อกั๊กยาวสีแดง ม้วนผมมวยสูง ปักปิ่นปักผมทองคำปะการังสีแดงสามอัน บนหูสวมต่างหูจี้หยกตาแมวสีเขียว ในความสง่างามมีความเคร่งขรึม
หันกลับมามองตัวเอง
ม้วนมวยซาลาเปาสองข้าง แล้วประดับด้วยดอกเจวี้ยนสีแดงขนาดเท่าเล็บมือสองดอก ต่างหูจี้หยกสีแดง สวมเสื้อกั๊กยาวลายก้อนเมฆสีเขียวถั่ว…มีความเป็นเด็กน้อย
สืออีเหนียงพอใจกับผลงานเช่นนี้เป็นอย่างมาก นางยิ้มมุมปาก
ทุกคนคำนับแล้วนั่งลง สาวใช้ยกชาขึ้นมา จื่อเว่ยพาเจินเจี่ยเอ๋อร์ จุนเกอและซิวเกอไปห้องข้างๆ
จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากข้างนอก “ข้ามาสายแล้ว แขกผู้มีเกียรติอย่าได้ถือสา” ทันทีที่พูดจบ ฮูหยินวัยยี่สิบห้ายี่สิบหกปี ที่ล้อมรอบไปด้วยสาวใช้และลูกสะใภ้ก็เดินเข้ามา
นางมีรูปร่างที่สวยงาม สวมเสื้อกั๊กยาวลายดอกสีแดงตัวใหญ่ ม้วนผมมวยหัวใจดอกท้อ ประดับด้วยเครื่องประดับสีทอง ข้างขวาประดับด้วยไข่มุกดอกเป่าฮวา หน้าตางดงาม แต่งหน้าแต่งตา ท่าทางกระฉับกระเฉงและคล่องแคล่วว่องไว
สืออีเหนียงไม่รู้จักนาง แต่คุณหนูหกสกุลเฉียวกลับรู้จัก นางยิ้มลุกขึ้นและตะโกนว่า“ฮูหยินสาม”
ฮูหยินสาม? ภรรยาของสวีลิ่งหนิงน้องชายอนุของสวีลิ่งอี๋!
อู่เหนียงและสืออีเหนียงก็ลุกขึ้นยืนตาม
นายหญิงใหญ่เอ่ยทักทายกับนาง “ฮูหยินสาม ไม่ได้เจอกันนานเลย”
ฮูหยินสามรีบเดินเข้ามาย่อเข่าคำรับนายหญิงใหญ่ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ามาสายแล้ว นายหญิงใหญ่อย่าได้ถือสานะเจ้าคะ”
นายหญิงใหญ่รีบจับมือของฮูหยินสาม “ใช่สิ เจ้างามขึ้นทุกวัน!”
“ขอบคุณคำชมของนายหญิงใหญ่เจ้าค่ะ” ฮูหยินสามพูดคุยกับนายหญิงใหญ่อย่างสุภาพสองสามประโยค จากนั้นก็คำนับเฉียวฮูหยิน ถึงได้ยิ้มและไปทักทายคุณหนูหกกสกุลเฉียว “เหลียนฝัง เจ้าคือแขกคนสำคัญ!”
ที่แท้คุณหนูหกสกุลเฉียวมีชื่อว่าเหลียนฝัง!
สืออีเหนียงครุ่นคิดในใจ
เฉียวฮูหยินเหลือบไปมองไท่ฮูหยิน “นางไม่ค่อยออกจากเรือนสักเท่าไหร่ ไม่เย็บปักถักร้อยทั้งวันก็สอนหลานสาวสองสามคนอ่านหนังสือ”
คุณหนูหกสกุลเฉียวได้ยินเช่นนี้ก็หน้าแดงขึ้นมา นางถามฮูหยินสามว่า“ทำไมไม่เห็นหลานชายทั้งสองล่ะเจ้าคะ”
ฮูหยินสามยิ้มแล้วตอบว่า “ยังไม่เลิกเรียน” จากนั้นนางก็หันมามองอู่เหนียงและสืออีเหนียง “ข้าก็นึกว่าใคร มองมาจากไกลๆ สวยงามราวกับนางฟ้า ที่แท้ก็คือคุณหนูของนายหญิงใหญ่นั่นเอง!”
นายหญิงใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็รีบแนะนำอู่เหนียงและสืออีเหนียงให้กับฮูหยินสามรู้จัก
สืออีเหนียงเคยได้ยินนายหญิงใหญ่บอกว่า ท่านพ่อของฮูหยินสามสกุลสวีคือจงฉินปั๋วสกุลกานเป็นบุตรขายของอนุ ขยันหมั่นเพียร เป็นบัณฑิตขั้นสูงตอนอายุยี่สิบเอ็ด เป็นจู่เหรินตอนอายุสี่สิบสี่ ตอนนี้เรียนอยู่ที่สำนักศึกษากับหลัวเจิ้นซิ่ง…
ได้ยินนนางพูดเช่นนี้ นางคงจะสนิทกับคนในสกุลเฉียว… สังคมของเฉียวฮูหยินกว้างขวางขนาดนี้เลยหรือ? หรือว่า บรรดาสกุลเศรษฐีในเยี่ยนจิงล้วนแต่ซับซ้อนเช่นนี้?
นางเชื่อในข้อสองมากกว่า
สืออีเหนียงหันหน้ามา
ทุกคนคำนับกันเสร็จแล้ว คุณนายใหญ่หลัวก็ยิ้มและทักทายฮูหยินสาม
ฮูหยินสามยิ้มและจับมือพูดว่า“พี่สะใภ้ใหญ่ข้าคิดถึงเจ้ามาก เจ้าก็ไม่มาที่นี่บ่อยๆ”
คุณนายใหญ่หลัวยิ้มและพูดว่า“ตอนนี้ท่านแม่มาที่เยี่ยนจิง ที่จวนมีคนคอยดูแล ข้าจึงได้ออกมาข้างนอกบ้าง ถึงตอนนั้นเกรงว่าเจ้าจะรำคาญ”
พวกนางสองคนพูดคุยกันสองสามประโยค ฮูหยินสามเดินเข้าไปคำนับไท่ฮูหยิน ยิ้มและอธิบายให้ไท่ฮูหยินฟัง“คุณชายสามกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ข้าปรนนิบัติรับใช้เขาอาบน้ำอาบท่า จึงออกมาสาย ท่านแม่โปรดอย่าถือสาเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าและกล่าวว่า“คุณชายสามกลับมาแล้วหรือ?”
“ใช่เจ้าค่ะ!” ฮูหยินสามตอบกลับด้วยความเคารพ “พึ่งจะกลับมาเจ้าค่ะ เดิมทีจะมาคารวะท่านแม่ทันที แต่ได้ยินว่าท่านแม่มีแขก เขาจึงไปพักผ่อนก่อน” จากนั้นก็อธิบายให้เฉียวฮูหยินและนายหญิงใหญ่ฟัง “คุณชายสามของเราไปรวบรวมบัญชีเทียนจินเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งหนิงเป็นบัณฑิตขั้นสูง สกุลสวีให้เขารับตำแหน่งถงจือระดับสี่ ไม่ได้เป็นขุนนาง คอยช่วยดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในจวน
ไท่ฮูหยินก้มหน้าลงเล็กน้อย นางยิ้มและลุกขึ้น “นายหญิงใหญ่นั่งฟังข้าพูดเรื่องไร้สาระอยู่ที่นี่ เกรงว่าคงจะหิวแล้ว เราไปโถงบุปผากันเถิด พานายหญิงใหญ่ไปลิ้มรสชาติอาหารของเยี่ยนจิง ถึงแม้ว่าจะไม่อร่อยเท่าที่เจียงหนาน แต่มันก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง”
ฮูหยินสามรีบเดินเข้าไปพยุงไท่ฮูหยิน
“ไท่ฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” นายหญิงใหญ่พูดอย่างสุภาพ “เยี่ยนจิงเป็นเมืองสำคัญ เมืองเล็กๆ อย่างเจียงหนานของพวกข้าจะเทียบได้เช่นไรกัน!”
อู่เหนียงเดินเข้าไปพยุงนายหญิงใหญ่ สืออีเหนียงเดินตามพวกนางไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ จุนเกอและซิวเกออยู่ที่เรือนของไท่ฮูหยิน พวกนางพากันพูดคุยหัวเราะ เดินไปที่โถงบุปผาห้าห้องที่สร้างขึ้นมาใหม่ข้างหลังเรือนของไท่ฮูหยิน
ระหว่างทาง เฉียวฮูหยินยิ้มและพูดกับนายหญิงใหญ่ว่า “แต่เดิมที่นี่คือห้องหนังสือที่ไร้ประโยชน์ คุณชายห้ากตัญญูกตเวทิตา ปีที่ผ่านมาเขาจึงสร้างเป็นโถงบุปผา สร้างโถงเตี่ยนชวนในลานให้ไท่ฮูหยิน” จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นถามไท่ฮูหยิน “ชื่อโถงเตี่ยนชวนใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้าไม่ได้จำผิดใช่หรือไม่!”
“ใช่แล้ว!” ไท่ฮูหยินยิ้มอยู่ตลอด มองออกว่า นางชอบให้คนพูดถึงเรื่องนี้ “เขาชอบทำอะไรไปทั่ว แล้วยังอยากจะซื้อเด็กสองสามคนมาเรียนงิ้ว ตั้งโรงงิ้วขึ้นมาเอง บอกว่าต่อไปหากมีงานอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องเชิญคนข้างนอกมาแสดง จะได้ไม่ต้องกลัวสกปรก”
“นี่เป็นเรื่องที่ดีเจ้าค่ะ!” เฉียวฮูหยินยิ้ม “หากไม่มีใครถูกใจ จวนข้ายังมีสาวใช้ที่ฉลาดหลักแหลมอยู่สองสามคน ล้วนแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ข้าดูแล้วยังหน้าตาดีกว่าคณะเต๋ออินปานที่เข้าไปแสดงให้ฮองเฮาดูในพระราชวังอีกเจ้าค่ะ”
ทุกคำพูดของไท่ฮูหยิน เฉียวฮูหยินคนนั้นจะต้องพูดต่อทุกประโยค นางเอาแต่พูดถึงผู้คนและเรื่องราวที่พวกนางพึ่งจะสนิทสนม จงใจเฉยเมยต่อนายหญิงใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ไท่ฮูหยินท่าทางไม่รู้เรื่อง นางยังพูดคุยกับนายหญิงใหญ่เป็นครั้งคราว
“นายหญิงใหญ่ชอบดูงิ้วหรือไม่?” นางยิ้ม “สองปีมานี้เยี่ยนจิงมีคณะงิ้วที่ชื่อว่าเต๋ออินปาน พวกเขามาจากหยางโจว เชี่ยวชาญในการร้องเพลงอี้หยางเชียง วันเกิดของฮองเฮา ฮ่องเต้เรียกพวกเขาเข้าไปแสดงในพระราชวัง ตอนนี้คนทั้งเยี่ยนจิงก็ต่างพากันไล่ตามดูงิ้วของเต๋ออินปาน ได้ยินมาว่าโรงจิ้วหยวนที่พวกเขาไปเล่นงิ้วคนเต็มตลอด อยากได้ที่นั่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ!”
นายหญิงใหญ่หัวเราะ “เต๋ออินปานเคยไปเล่นที่อวี๋หังของข้า พวกเขามีชื่อเสียง แต่ว่าข้าไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก ยังไม่เคยดูงิ้วที่เต๋ออินปานเล่นเลย”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เช่นนั้นอีกสองสามวันเราเชิญพวกเขามาเล่นที่จวนดีหรือไม่?”
“ไม่ดีกระมังเจ้าค่ะ!” นายหญิงใหญ่รีบปฏิเสธ “มาเล่นในจวน…”
“ข้าคิดว่าเป็นความคิดที่ดี!” เฉียวฮูหยินยิ้มแล้วขัดจังหวะนายหญิงใหญ่ “ท่านคงไม่รู้ว่าคุณชายห้าของเราชอบดูงิ้วเป็นอย่างมาก แต่ว่าท่านโหวบอกว่ามันเอะอะโวยวาย ทุกครั้งที่คุณชายห้าเจอท่านโหวเขาก็ตกใจราวกับนกนางแอ่นที่กำลังบิน…” นางพูดเบาๆ “แทนที่จะปล่อยให้เขาออกไปข้างนอก ไม่สู้ให้เขาดูอยู่ที่จวน”
—————————
[1] กั๋วจิ้ว ชื่อยศบรรดาศักดิ์ของพี่ชายหรือน้องชายของฮองเฮา
[2] ยามซื่อ ช่วงเวลา 9.00-11.00 น.
[3] เค่อ 1 เค่อเท่ากับ 15 นาที