ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 21 วางแผน

ตอนที่ 21 วางแผน

 

“ซื่อสัตย์จริงใจมีประโยชน์อะไร!” นายหญิงใหญ่ยิ้มอย่างขมขื่น “อย่างไรนางก็ไม่ใช่ลูกของข้า…” 

ป้าสวี่ลังเลที่จะพูด สุดท้ายนางก็ไม่พูดอะไร 

ทั้งสองคนเงียบไปพักหนึ่ง นายหญิงใหญ่ถอนหายใจและดึงสติกลับมา “เอาล่ะ บางทีเราอาจจะตกใจไปเอง! รอให้ถึงเยี่ยนจิงแล้วค่อยว่ากัน แล้วเรื่องที่ข้าให้อู๋เซี่ยวเฉวียนจัดการ นางจัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่?” 

ป้าสวี่ลังเลอยู่พักหนึ่งและพูดว่า “ทั้งหมดเก้าหมื่นหกพันสี่ร้อยตำลึง” 

สีหน้าของนายหญิงใหญ่ก็เปลี่ยนไป 

ป้าสวี่รีบพูดว่า “บ่าวไปดูสมุดบัญชี…ก่อนที่นายท่านใหญ่จะออกไปนายท่านใหญ่เอาไปด้วยห้าหมื่นตำลึง…” 

นางยังพูดไม่ทันจบ ถ้วยชาสังคโลกที่อยู่ในมือของนายหญิงใหญ่ก็ถูกเขวี้ยงจนแตกเป็นชิ้นๆ  

ทันใดนั้น ทั้งข้างในและข้างนอกของเรือนจืออวิ๋น ก็เงียบสงัดทันที  

ดวงตาของป้าสวี่แดงก่ำ นางรีบเปิดผ้าม่านบอกคนข้างนอกว่า “ไม่มีอะไร นายหญิงใหญ่แค่ทำถ้วยชาตกแตก พวกเจ้ามาทำความสะอาดหน่อย” 

ใต้เม่าเดินเข้ามา ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อมือเก็บเศษถ้วยที่แตกบนพื้นใส่ในกล่องเล็กๆ จากนั้นก็เดินออกไปอย่างเงียบๆ 

ตอนนี้ เรือนหลักจืออวิ๋นเงียบสงัด 

“เฮ้อ!” นายหญิงใหญ่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “นิสัยของข้าแย่ลงเรื่อยๆ” 

“พระโพธิสัตว์ก็ยังมีนิสัยของตัวเองไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ป้าสวี่ยิ้ม “แล้วครั้งนี้นายท่านใหญ่ก็ทำเกินไปจริงๆ” 

นายหญิงใหญ่จ้องมองคราบน้ำชาที่หลงเหลืออยู่ใต้เท้าของตัวเอง “ข้าแต่งงานเข้ามาอยู่ที่นี่ตั้งหลายปีแล้ว เขาไม่เคยสนใจอะไร ข้าหามาได้เท่าไร เขาก็จ่ายออกไปเท่านั้น แต่ข้าก็ไม่เคยว่าอะไร หาเงินมาก็เพื่อเอามาใช้ แต่เขากลับ…เลี้ยงนางรำข้างนอก…แล้วยังบ่นว่าข้าน่ารำคาญ บอกว่าหากไม่ใช่เพราะว่าข้าไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อท่านแม่ของเขาสามปี เขาคงทนข้าไม่ไหวตั้งนานแล้ว…” 

“นายหญิงใหญ่” ป้าสวี่รีบขัดจังหวะนาง “สามีภรรยาทะเลาะกัน ประโยคไหนทำร้ายจิตใจก็จดจำแต่ประโยคนั้น นายท่านใหญ่ก็แค่กำลังโมโห เหตุใดท่านต้องเก็บเอามาคิดเจ้าคะ” 

“ข้าจะไม่เก็บเอามาคิดได้เช่นไรกันเล่า” ถึงแม้ว่านายหญิงใหญ่จะพูดเสียงเบาลง แต่ท่าทางของนางกลับกระวนกระวาย “หากบ่นข้าเพราะว่าข้าสั่งสอนลูกไม่ดี หรือจัดการเรื่องในครอบครัวไม่ดี ข้าก็จะไม่ว่าสักคำ แต่เจ้าดูสิ เขาทำแต่เรื่องอะไร ถูกใจสาวใช้ของลูกสะใภ้ เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ หากข้ารับปากเขา ลูกชายและลูกสะใภ้ของข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ญาติพี่น้องของข้า…ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอกับพวกเขา เขากล้าคิดเช่นนี้ ยังเป็นคนอยู่หรือไม่”  

ป้าสวี่กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่  

นางจะไม่สงสารนายหญิงใหญ่ได้เช่นไร…แต่ว่าตอนนี้ ถึงแม้ว่าจะมีความคับข้องใจเป็นล้านๆ แต่นางก็แสดงออกมาต่อหน้านายหญิงใหญ่ไม่ได้แม่แต่นิดเดียว จะได้ไม่เป็นการเติมเชื้อเพลิงให้กับกองไฟ! 

“ท่านกับนายท่านใหญ่เป็นสามีภรรยากันมาตั้งหลายปี นิสัยของนายท่านใหญ่ท่านยังไม่รู้อีกหรือเจ้าคะ” ป้าสวี่ปลอบใจ “นายท่านใหญ่เป็นคนชอบสงสารผู้หญิง…นางคนนั้นแค่ทะเลาะกับน้องสาวของตัวเองไม่กี่ประโยค แต่กลับวิ่งออกไปร้องไห้ที่สวนดอกไม้ลานข้างนอก ใครๆ ก็มองออกว่านางไม่ได้มีเจตนาดี แม้แต่คุณนายใหญ่ที่ทราบเรื่อง ก็ยังโมโหจนหน้าดำหน้าแดง คืนวันนั้นคุณนายใหญ่ก็ส่งตัวนางกลับไปทันที นายหญิงใหญ่เจ้าคะ ใครผิดใครถูก ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจเจ้าค่ะ…” 

“ถุ้ย!” สายตาที่เฉียบขาดของนายหญิงใหญ่ “แมลงวันไม่มีทางไปตอมไข่ที่ไม่มีรอยแตก นางคนนั้นร้องไห้อยู่ตรงนั้น ทำไมไม่เห็นคุณชายใหญ่ไปปลอบ? ทำไมไม่เห็นคุณชายสามไปปลอบ? แต่เขากลับไปปลอบนาง…” 

ป้าสวี่อยากจะพูดอะไรต่อ แต่นายหญิงใหญ่กลับโบกมือ “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้อยู่แก่ใจ! เรื่องของความรู้ เขาเป็นทั้งราชบัณฑิตระดับจิ้นซื่อ[1]และราชบัณทิตหลวงของเจี้ยนอู่ เรื่องของความสามารถ เขาได้คะแนนยอดเยี่ยมจากการประเมินผลปฎิบัติงานติดต่อกันห้าปีซ้อน…แต่เจ้าดูสิ เขาไปฝูเจี้ยนทีหนึ่งก็ตั้งเก้าปี ทำไมใช้อำนาจของนายท่านใหญ่คนก่อนแล้วไม่ได้เลื่อนตำแหน่งสักที ก็เพราะว่าพฤติกรรมที่ไม่ดีของเขา ตุลาการฟ้องร้องเขาตั้งหลายครั้ง…” นายหญิงใหญ่พูดพร้อมกับจับมือของป้าสวี่ นางน้ำตาไหลออกมา “หากเขาเป็นคนดีจริงๆ ข้าคงให้เขาแต่งเจ้าเข้ามาแล้ว เจ้าคงจะไม่ต้องไปแต่งกับสวี่เต๋อเฉิง กลายเป็นแม่ม่ายเช่นนี้… ทำไมชีวิตของเราสองคนถึงได้ขมขื่นเช่นนี้!” 

ป้าสวี่นึกถึงสามีที่ตกหลังม้าเสียชีวิตหลังจากแต่งงานได้แค่สามเดือนของตัวเอง นางก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ปิดปากและร้องไห้สะอื้นเบาๆ 

****** 

หลังจากที่ทั้งสองคนร้องไห้เสร็จแล้ว พวกนางก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย ป้าสวี่ปรนนิบัติรับใช้หวีผมให้นายหญิงใหญ่ด้วยตัวเอง จากนั้นก็ยกชาร้อนมาให้นายหญิงใหญ่ พูดถึงเรื่องที่ตัวเองกังวลมาตลอด “ท่านให้คุณชายสี่เป็นคนดูแลจวน ป้าเหยาดูแลเรื่องของลานข้างใน อู๋เซี่ยวเฉวียนดูแลลานข้างนอก พวกเราไปครั้งหนึ่งก็ครึ่งปี เกรงว่า…” 

นายหญิงใหญ่ยิ้มจางๆ “ข้าให้โอกาสพวกเขา ดูว่าพวกเขาจะทำอะไรได้บ้าง?” 

ป้าสวี่ได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว  

คุณชายสี่ หลัวเจิ้นเซิง ปีนี้อายุสิบหกปีแล้ว นายหญิงใหญ่เลี้ยงดูเขาราวกับกบในกะลา ไม่รู้ฟ้ารู้ดิน มักจะคิดว่าตัวเองมีความสามารถ แล้วยังเคยพูดกับสาวใช้ของตัวเอง ‘หากไม่ใช่เพราะว่าต้องไว้ทุกข์สามปี ข้าไปสอบบัณทิตก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร’ 

นายหญิงใหญ่ให้เขาดูแลจวน ก็ราวกับให้เด็กน้อยไปไล่จับเสือ…ถึงแม้ว่าจะมีความสามารถ แต่ก็เกรงว่าจะไม่มีเรี่ยวแรง เกิดพลาดขึ้นมา ตัวเองจะเดือนร้อนไปด้วย สำหรับป้าเหยา ตอนที่นางป่าวประกาศว่าไม่ว่าเช่นไรก็จะเอาตงชิงสาวใช้ของสืออีเหนียงไปเป็นหลานสะใภ้ของตัวเองให้ได้ นายหญิงใหญ่ก็ไม่พอใจนางอยู่แล้ว ตอนนี้ยังเอาเรื่องลานข้างในให้นางเป็นคนดูแล ยังมีอี๋เหนียงห้าและคุณหนูอีกสองคนอยู่ในจวน นางเป็นแค่บ่าวรับใช้ พูดแรงหน่อยก็คือไม่เคารพคนที่มีสถานะสูงกว่า แต่หากพูดเบาหน่อยก็เกรงว่าจะปราบไม่ได้…ส่วนอู๋เซี่ยวเฉวียน นายหญิงใหญ่เลื่อนให้นางเป็นผู้ดูแล นางก็กลับทำได้ไม่เลว นายท่านใหญ่จะเอาเท่าไหร่นางก็ให้เท่านั้น สะดวกสบายกว่าตอนที่หนิวอานหลี่เป็นผู้ดูแลเสียอีก… 

ดูเหมือนว่า นายหญิงใหญ่กำลังจะจัดการคนพวกนี้แล้ว 

นางกำลังครุ่นคิด สาวใช้ที่อยู่ข้างนอกก็รายงานว่า “นายหญิงใหญ่ คุณหนูสิบเอ็ดมาแล้วเจ้าค่ะ!” 

นายหญิงใหญ่และป้าสวี่ตกใจ 

“นางมาทำอะไรที่นี่?” นายหญิงใหญ่ขมวดคิ้ว “หรือว่ามาฟ้อง?” 

“คงไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะ!” ป้าสวี่ยิ้ม “เช่นนั้น ให้นางเข้ามา?” 

นายหญิงใหญ่พยักหน้า จากนั้นก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรอีกครั้ง 

ป้าสวี่บอกให้สาวใช้พาสืออีเหนียงเข้ามา  

สืออีเหนียงคารวะนายหญิงใหญ่ 

นายหญิงใหญ่บอกให้นางนั่งแล้วถามนางว่า “มีของอะไรที่จะต้องซื้อแล้วลืมไปหรือ?” 

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “ท่านป้าช่วยข้าดูข้าวของในเรือน ข้าก็วางใจแล้ว กำลังคิดว่าเก็บใส่กล่อง ทุกคนจะได้ไม่ล่าช้าเพราะข้ามือไม้ไม่ไว ดังนั้นจึงมาขอคำแนะนำจากท่านแม่ เรือนของข้าพาใครไปด้วยดีเจ้าคะ?” 

นายหญิงใหญ่ยิ้มและถามนางว่า “แล้วเจ้าอยากจะพาใครไปด้วยกันเล่า” 

“ลูกไม่รู้เจ้าค่ะ จึงอยากขอคำแนะนำจากท่านแม่” สืออีเหนียงยังคงยิ้ม “ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนข้าจะเคยอยู่กับท่านพ่อที่ฝูเจี้ยนอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ตอนนั้นข้ายังเด็ก จำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ออกไปไกล แล้วยังไปเยี่ยนจิง ข้าไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี แต่ข้าก็หวังว่าคนของข้าจะได้ไปด้วยทุกคน แต่ก็คิดว่าหากทุกคนเป็นเหมือนข้าที่อยากจะให้คนของตัวเองไปด้วยทุกคน มันจะต้องมีรถมีเรือกี่ลำ!” 

นายหญิงใหญ่ยิ้มและพยักหน้า “เจ้ากับอู่เหนียง พาสาวใช้ใหญ่ไปด้วยสองคน สาวใช้น้อยสองคน และป้าอีกสองคน!” 

สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก แต่นางกลับยิ้มและตอบรับนายหญิงใหญ่ “เดิมทีหู่พั่วเป็นคนของท่านแม่ แน่นอนว่านางจะต้องเคยเห็นอะไรมามากกว่าตงชิงและคนอื่นๆ ต้องพานางไปด้วย…ตงชิงอายุเยอะที่สุด เกิดเรื่องอะไรก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ต้องพานางไปด้วย…เช่นนั้นก็ให้ปินจวี๋อยู่ดูแลเรื่องที่เรือน นางมีนิสัยอ่อนโยนและรอบคอบ เราไปตั้งครึ่งปี ข้าวของที่เรือนต้องมีคนดูแล…” 

นายหญิงใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะขึ้นมา “เด็กคนนี้ ช่างมีน้ำใจเสียจริง” 

“แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ!” ป้าสวี่ยกยออยู่ข้างๆ “ใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอ ใครทำอะไรไว้บ้างก็รู้ๆ กันอยู่!” 

สืออีเหนียงถูกชมจนรู้สึกอาย นางก้มหน้าและลุกขึ้นขอตัว “เช่นนั้นข้าไปเก็บข้าวเก็บของก่อนนะเจ้าคะ” 

นายหญิงใหญ่พยักหน้าและยิ้ม “ไปเถิด!” 

สืออีเหนียงคำนับและเดินจากไป 

หู่พั่วที่อยู่ข้างนอกเดินตามสืออีเหนียงกลับไปที่หอลู่จวินวอย่างเงียบๆ  

ไม่ว่าสืออีเหนียงจะขอร้องนายหญิงใหญ่ได้หรือไม่ แต่มันก็เป็นเพราะนาง…หากไม่ใช่เพราะว่าตัวเองถูกส่งตัวมาที่เรือนสืออีเหนียงอย่างกะทันหัน นางจะลำบากใจได้เช่นไร? 

แต่นางก็มีความลำบากใจของตัวเองเช่นกัน…นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางตัดสินใจเองได้ 

****** 

ปินจวี๋ที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ไปด้วย นางก็ไม่ได้เสียใจอะไร นางแค่ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนที่คุณหนูกลับมาอย่าลืมเอาขนมถั่วเหลืองและขนมหลูต๋ากุ่นของเยี่ยนจิงมาฝากบ่าวด้วยนะเจ้าคะ” 

ตงชิงกลัวว่าบรรยากาศจะแย่ นางหัวเราะแล้วพูดว่า “ขนมหลูต๋ากุ่นมีอะไรอร่อย มันก็คือขนมเมี่ยนเกาของที่นี่” 

“พี่ตงชิงรู้ได้เช่นไร ท่านเคยไปเยี่ยนจิงหรือว่าแอบอ่านหนังสือของคุณหนู?” 

“เจ้าไม่เคยคิดว่าใครเป็นคนปกติสักคน” ตงชิงเยาะเย้ย “ข้าได้ยินคุณหนูเจ็ดพูด…นางโตที่เยี่ยนจิงตั้งแต่เด็ก” 

ปินจวี๋จึงถามสืออีเหนียง “คุณหนูเจ้าคะ เช่นนั้นท่านไปเยี่ยนจิงครั้งนี้ก็อาจจะได้เจอกับคุณหนูเจ็ด?” 

“น่าจะได้เจอ!” พวกนางอยู่ด้วยกันสามปีแล้ว วันนี้ต้องแยกจากกัน และอาจจะแยกจากกันไปอย่างไม่มีวันกลับมา ใครก็เสียใจ ทุกคนล้วนแต่กัดฟันยิ้ม สืออีเหนียงก็ไม่มีทางทำลายบรรยากาศ นางพูดคุยหัวเราะกับพวกนาง “แล้วยังอาจจะได้เจอกับคุณชายห้าและคุณชายหกของนายท่านสาม” 

การได้รับเลื่อนตำแหน่งตั้งแต่วัยเยาว์ของนายท่านหลัวเจิ้นต๋า ทำให้คนในสกุลหลัวตกใจ นายหญิงสามก็เช่นกัน นางจึงเข้มงวดกับบุตรชายทั้งสองคนของตัวเองเป็นอย่างมาก ช่วงที่กลับมาไว้ทุกข์ที่บ้านเกิด นางยังให้ท่านพ่อเชิญอาจารย์จากเยี่ยนชิงมาสอนบุตรชายทั้งสองคน แต่เด็กทั้งสองคนยังเด็ก มักจะซุกซนอยู่บ่อยๆ พวกเขามักจะแอบไปเด็ดดอกไม้ในสวนดอกไม้หลังจวน ไปๆ มาๆ ก็รู้จักกับสืออีเหนียง 

สืออีเหนียงไม่ได้จู้จี้จุกจิกเหมือนท่านแม่ของพวกเขา แล้วก็ไม่ได้แปลกใจกับพฤติกรรมของพวกเขาเหมือนสาวใช้และท่านป้าของพวกเขา บางครั้งก็พากันไปแอบเล่นอยู่ที่เรือนของนาง สืออีเหนียงยังให้คนทำซุปซวนเหมยและขนมซูปิ่งต้อนรับพวกเขา จากนั้นก็ให้คนไปเรียกสาวใช้และท่านป้าของพวกเขา แต่ไม่ได้ให้คนไปฟ้องนายหญิงใหญ่ เช่นนี้ พวกเขาทั้งสองคนจึงสนิทสนมกับสาวใช้และท่านป้าในเรือนของสืออีเหนียง 

ได้ยินสืออีเหนียงพูดถึงหลัวเจิ้นไคและหลัวเจิ้นอวี้ ทุกคนก็พากันหัวเราะขึ้นมา  

“คุณหนูนำน้ำจิ้มดอกกุหลาบของเราไปด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ จะได้ทำขนมให้คุณชายหกกิน!” 

“ปินจวี๋ความคิดไม่เลว!” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าต้องเอาเหล้าชิงเหมยไปด้วย นายหญิงสามเคยบอกว่ารสชาติดี” 

“คุณหนูอย่าลืมคุณชายใหญ่กับคุณนายใหญ่ แล้วยังมีคุณชายสามของนายหญิงสอง คุณนายน้อยสามและคุณหนูเจ็ด!” 

“ได้เลย” สืออีเหนียงท่าทางดูตื่นเต้น “เรามาดูว่าจะต้องเตรียมอะไรไปเยี่ยนจิงบ้าง…ไม่จำเป็นต้องเอาของไปมาก แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเป็นของมีค่า นายหญิงใหญ่คงจะเตรียมไว้อยู่แล้ว แต่เราก็จะไปมือเปล่าไม่ได้” 

ทุกคนพยักหน้าและพากันออกความคิดเห็น 

ผ่านไปไม่นาน พวกนางก็หัวเราะกันอย่างมีความสุข ลืมความโศกเศร้าของการจากลาไปชั่วขณะ 

 

 

[1] จิ้นซื่อ คุณวุฒิขั้นสูงสุดของระบบการสอบเข้ารับราชการของจีนสมัยโบราณ ซึ่งอาจเทียบได้กับปริญญา ดุษฎีบัณฑิต หรือปริญญาเอกในระบบการศึกษาสมัยใหม่ ซึ่งถือเป็นชั้นสูงสุด 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท