สืออีเหนียงค่อยๆ พยุงหยวนเหนียงเดินไปทางเรือนหลัก
ระหว่างทาง สืออีเหนียงรู้สึกว่าร่างกายของหยวนเหนียงเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องเดินช้าลง พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ต้องการพักหรือไม่เจ้าคะ”
หยวนเหนียงหันไปมองนางด้วยรอยยิ้ม มุมคิ้วยกขึ้นเล็กน้อยแต่มุมปากกลับต่ำลง ท่าทางแปลกเป็นอย่างมาก “อย่าส่งเสียง!”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย แต่ยังคงเชื่อฟังนาง พยุงนางขึ้นบันไดเรือนหลักอย่างเงียบๆ
ประตูเรือนหลักถูกปิดไว้ บานหน้าต่างด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกแง้มไว้ราวกับเปิดเพื่อให้อากาศถ่ายเท
มือข้างหนึ่งของนางพยุงหยวนเหนียงแล้วผลักประตูด้วยมืออีกข้างหนึ่ง
ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสประตู ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงชายที่พูดออกมาด้วยความไม่พอใจ “ใครอยู่ด้านนอก”
สืออีเหนียงตกใจมือไม้สั่น จากนั้นก็เอามือไปดันประตู ประตูถูกเปิดออกเสียงดัง เอี๊ยด
มีเสียงอุทานด้วยความตกใจเบาๆ จากหญิงในห้อง
มีคนอยู่ด้านใน!
นี่เป็นความคิดแรกที่ผ่านเข้ามาในความคิดของสืออีเหนียง
ซ้ำยังเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง!
นี่คือความคิดที่สองที่ผ่านเข้ามาในความคิดของสืออีเหนียง
นางตกตะลึง รู้สึกไม่ดีอยู่ในใจเล็กน้อย
หยวนเหนียงที่พิงไหล่ของนางอย่างไร้เรี่ยวแรงได้ยืนตัวตรงขึ้นในทันที พูดเสียงดังว่า “ใคร ใครอยู่ข้างใน” พูดพลางผลักบานประตูอย่างรวดเร็วแล้วเดินเข้าไปในห้อง
สืออีเหนียงเห็นหยวนเหนียงเดินไม่ค่อยสะดวก ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็รีบตามไปพยุงหยวนเหนียง เห็นชายผู้หนึ่งเดินออกมาอย่างสง่างามจากห้องทางฝั่งทิศตะวันตก
เขารูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา สวมเสื้อสีขาวนวลจันทร์ ทันทีที่ได้เห็นหยวนเหนียง เขาก็มีท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย “หยวนเหนียง?” น้ำเสียงฟังดูเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
หยวนเหนียงกลับอ้าปากค้าง “ท่านโหว ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ท่านโหว? หย่งผิงโหวสวีลิ่งอี๋?
สืออีเหนียงเบิกตาโพลง อดไม่ได้ที่จะสำรวจผู้ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
มองดูแล้วท่าทางจะอายุยี่สิบห้า ยี่สิบหกปี ผิวขาวใส ดวงตาเฉียบคม ทั้งกลมโตและดูเป็นประกาย ความห่างกันกำลังพอดีของหว่างคิ้วแลดูสุขุมทำให้เขาดูสงบนิ่งเกินวัย
นางรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
คิดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋จะยังหนุ่มเช่นนี้
เขามองหยวนเหนียง ไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
หยวนเหนียงมองแล้วส่งเสียง “เหอะ” ออกมาอย่างเยือกเย็น ผลักสืออีเหนียงออก แล้วเดินผ่านตัวเขาเข้าไปที่ห้องด้านตะวันตก
สวีลิ่งอี๋เห็นนางเข้าไปในห้อง เขาไม่ได้เข้าไปพยุงแล้วก็ไม่ได้เข้าไปขวาง
สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ได้ยินเสียงอุทานด้วยความตกใจของผู้หญิง…
ราวกับเรือนที่หลังคารั่วแล้วต้องมาเผชิญกับฝนที่ตกหนัก เรื่องของสือเหนียงยังไม่ทันได้แก้ไข ตอนนี้ตัวเองก็ดันเข้ามาในที่ที่ไม่ควรเข้ามา
นางเดินถอยหลังเล็กน้อย คิดจะซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องราวกับโต๊ะสูงวางอยู่มุมห้องที่ไม่มีใครสนใจ…ต่อให้กลายเป็นฝุ่นละอองนางก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ
แต่ในเวลานี้การที่จะไม่ให้ถูกสังเกตกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
มีสายตาเฉียบคมจ้องมาที่นาง
“เจ้าเป็นใคร”
แสงเย็นวาบผ่านเข้ามาในดวงตาของผู้ถาม
สาวน้อยที่บอบบางเหมือนดอกไม้ มีคิ้วที่ละเอียดอ่อน แต่งตัวเรียบๆ แต่ดูสง่างาม ท่าทางเป็นคนร่าเริง ดูมีความสงบนิ่ง มองดูก็รู้ว่าเป็นคุณหนู
สืออีเหนียงอดที่จะถอนหายใจในใจไม่ได้
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด!
“ข้าคือสืออีเหนียงสกุลหลัว” นางย่อเข่าคำนับสวีลิ่งอี๋ น้ำเสียงดูนิ่งและอ่อนโยน “คารวะท่านโหวเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจเล็กน้อย “สกุลหลัว?”
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย “ใช่เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง หยวนเหนียงก็เดินออกมาจากห้อง ในมือถือกระโปรงผ้าทอสีขาวปักลายดอกไม้
“สวีลิ่งอี๋” นางน้ำตาไหลพราก “ข้ายังไม่ตายนะ”
หนึ่งประโยคที่พูดออกมาด้วยความเกลียดชังแต่เต็มไปด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้าทำให้คนฟังรู้สึกเจ็บปวดใจ
สวีลิ่งอี๋มองไปที่หยวนเหนียง ไม่พูดอะไร ท่าทางดูจริงจัง ทำให้สืออีเหนียงแอบรู้สึกแปลกๆ ในใจ
หยวนเหนียงเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก ร่างกายผอมบางของนางสั่นสะท้านไปทั้งตัว
สืออีเหนียงรีบเข้าไปพยุงหยวนเหนียง
สวีลิ่งอี๋สีหน้านิ่งเฉย เดินไปนั่งที่เก้าอี้ใหญ่ในห้องโถง จากนั้นก็พูดกับสืออีเหนียงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องคุยกับพี่สาวเจ้า” มีร่องรอยของความอ่อนล้าอยู่ในน้ำเสียง
สืออีเหนียงไม่กล้าคิดมาก แล้วก็ไม่กล้ามอง สายตามองพื้น ย่อเข่าคำนับด้วยความเคารพแล้วตอบรับว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เดินออกประตูไป
ใครจะไปรู้ว่าในห้องด้านตะวันตกกลับมีหญิงสวมเสื้อกั๊กยาวสีแดงวิ่งออกมาเกือบจะชนเข้ากับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงก้าวถอยหลังตามสัญชาติญาณ แต่ดวงตาของนางกลับสำรวจใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้น…จากนั้นก็ยืนอยู่กับที่เหมือนถูกสายฟ้าฟาด
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว…ข้ากับท่านโหวไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ เจ้าค่ะ” น้ำเสียงฟังดูนุ่มนวล “แขนเสื้อของข้าถูกกิ่งไม้เกี่ยวขาดเมื่อครู่นี้ที่สวนดอกไม้” นางดึงแขนเสื้อของหยวนเหนียงแล้วพูดอ้อนวอน “จริงๆ นะเจ้าคะ หากไม่เชื่อ ท่านก็ไปถามคุณหนูเจ็ดสกุลกาน เมื่อครู่ข้ากำลังเล่นว่าวอยู่กับนาง…”
หยวนเหนียงยิ้มอย่างเยือกเย็น
นางร้องไห้คร่ำครวญแล้วหันไปอ้อนวอนสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหว…” เดินก้าวไปข้างหน้าสองก้าวก็รู้สึกว่าไม่เหมาะ จึงยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ที่เดิม “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าท่านอยู่ที่นี่…ข้าไม่รู้จริงๆ…” พูดพลางยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดบังใบหน้าแล้วร้องไห้
สืออีเหนียงที่ตกใจไปเมื่อครู่พึ่งจะได้สติกลับมา รีบก้มหัวลงแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ
ที่แท้ก็เป็นคุณหนูหกสกุลเฉียว เฉียวเหลียนฝัง
นางมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
ไม่ใช่สิ ทำไมหยวนเหนียงถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่
นางไม่แม้แต่จะออกไปทักทายแม่ของตัวเองที่ไม่ได้เจอมาสิบกว่าปี แต่กลับไปที่ห้องโถงเตี่ยนชวนเพื่อพบปะบรรดาฮูหยินเหล่านั้น…
สืออีเหนียงค่อยๆ ปิดประตู
นึกถึงตอนที่มาเมื่อครู่ ประตูถูกปิดไว้ หน้าต่างแง้มออกแค่ครึ่งเดียว…
ทันทีที่นางยืนนิ่งก็เห็นเหวินอี๋เหนียงเดินมาด้วยดวงตาเป็นประกาย
ประตูที่อยู่ด้านหลังได้มีเสียงโศกเศร้าเสียใจของหยวนเหนียงและเสียงร้องไห้คร่ำครวญของคุณหนูสกุลเฉียว
สืออีเหนียงถอนหายใจ พูดเสียงดังว่า “เหวินอี๋เหนียง ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ”
ทันใดนั้นเสียงที่อยู่ข้างหลังก็ได้เงียบสงบลงนางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหยวนเหนียงไม่อยากให้เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป…
เหวินอี๋เหนียงเดินขึ้นมาบนบันได“คุณหนู ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้”
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย“พี่หญิงใหญ่บอกว่าเหนื่อยแล้วอยากจะพักสักหน่อยเจ้าค่ะ”
เหวินอี๋เหนียงเขย่งปลายเท้าสายตามองผ่านไหล่ของนางไปที่ด้านใน พูดอย่างล่องลอยว่า “ให้ข้ารินชาร้อนๆ ให้พี่หญิงหรือไม่”
เหวินอี๋เหนียงเป็นอนุภรรยาของสวีลิ่งอี๋ มีความสัมผัสเป็นเจ้านายกับลูกน้องของหยวนเหนียง…
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า“เช่นนั้นก็รบกวนอี๋เหนียงด้วย ข้ากำลังอยากจะชงชาสักแก้วให้พี่หญิงใหญ่ แต่ว่าข้าไม่คุ้นกับสถานที่จึงไม่กล้าเดินไปทั่ว” เมื่อเหวินอี๋เหนียงได้ฟังก็รู้สึกประหลาดใจ
นางคิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะเรียกใช้นาง
สืออีเหนียงแสดงออกอย่างชัดเจนยิ้มแล้วมองไปที่นางอย่างตรงไปตรงมา “ต้องรบกวนให้อี๋เหนียงช่วยไปชงชาให้เสียแล้วเจ้าค่ะ”
เหวินอี๋เหนียงสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า“เช่นนั้นข้าไปชงชาให้พี่หญิงก็แล้วกัน”
หันกลับหลังเดินลงบันไดแล้วหันกลับมามองครู่หนึ่ง
หากมีคนอื่นมาตัวเองคงรั้งไว้ไม่อยู่แน่ๆ
ไม่ว่าความจริงของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร หยวนเหนียงก็คือพี่สาวของตัวเอง สวีลิ่งอี๋คือพี่เขยของตัวเอง ข้างนอกยังมีบรรดาฮูหยินอีกมากมาย…
สืออีเหนียงมองดูแผ่นหลังของเหวินอี๋เหนียงที่หายไปต่อหน้าต่อตา หลังจากนั้นก็รีบเดินตามไป มองผ่านรูบนหินไท่หูสือ เห็นสาวใช้น้อยยืนอยู่บนบันได จึงรีบกวักมือเรียกสาวใช้คนนั้น
สาวใช้คนนั้นเป็นคนของหยวนเหนียง นางฉลาดเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นสืออีเหนียงกวักมือเรียกก็รีบวิ่งมาทันที
สืออีเหนียงยิ้มแล้วถามนาง “เจ้าชื่ออะไร”
สาวใช้ยิ้มแล้วตอบว่า “บ่าวชื่อเหวินเหลียนเจ้าค่ะ”
“อ้อ เหวินเหลียน” สืออีเหนียงยิ้มอย่างเป็นกันเอง “ข้ามีเรื่องสำคัญนิดหน่อย อยากให้เจ้าช่วยไปเรียกป้าเถามาให้ข้า…อย่าให้ผู้อื่นรู้เป็นอันขาด” พูดพลางยิ้มอย่างทำตัวไม่ถูก
หรือว่านางจะไปเข้าห้องน้ำ
เหวินเหลียนคาดเดาอยู่ในใจ ยิ้มตอบรับแล้วรีบไปเรียกป้าเถามา
สืออีเหนียงลากป้าเถามาที่ตรงกลางสวน
“ท่านโหว พี่หญิงใหญ่และคุณหนูหกสกุลเฉียวอยู่ด้านในห้อง” นางบอกป้าเถาอย่างรวบรัด และสังเกตดูอาการของป้าเถา
ป้าเถามองสืออีเหนียงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้รู้สึกตกใจ
สืออีเหนียงรู้ดีว่าควรทำอย่างไรจึงรีบกำชับนาง “อย่าเอะอะโวยวายเด็ดขาด…มันจะกลายเป็นข่าวลือที่เสียหาย คุณหนูสกุลเฉียวจะต้องจบไม่สวยแน่ๆ ชื่อเสียงด้านคุณธรรมของพี่หญิงใหญ่ที่รักษามาสิบกว่าปีก็จะถูกทำลาย รบกวนท่านป้าช่วยไปบอกไท่ฮูหยินอย่างเงียบๆ บอกแค่ว่าพี่หญิงไม่สบายอยากพบนางเพียงคนเดียว ส่วนคนอื่นๆ ก็อย่าให้รู้เด็ดขาด แม้แต่ท่านแม่ที่อยู่ที่นั่นก็อย่าพึ่งให้นางรู้”
ป้าเถามองสืออีเหนียงด้วยสายตาแปลกๆ
ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์จะพูดอ้อมค้อมอีกต่อไป
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย ยอมรับสายตาที่มองมาของป้าเถาอย่างใจเย็นแล้วกำชับนางอีกครั้ง “ท่านป้ารีบไปเถิด เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะว่าข้าขวางไว้ เหวินอี๋เหนียงก็คงบุกเข้าไปแล้ว ข้าขวางไว้ได้หนึ่งครั้งแต่ก็คงขวางไว้ไม่ได้ตลอด”
สีหน้าป้าเถาดูรีบร้อนเล็กน้อย พูดกับสืออีเหนียงอย่างเกรงใจว่า “รบกวนท่านแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็รีบวิ่งออกจากห้องโถงไป
สืออีเหนียงเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามที่ถูกแบ่งเป็นสี่ช่อง อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
******
ไม่นานเหวินอี๋เหนียงก็กลับมา บนถาดชาลายดอกไม้ไห่ถังเคลือบสีแดงยังมีถ้วยชาเก่าแก่สีฟ้าวางอยู่
สืออีเหนียงรับถาดชามา ยิ้มแล้วพูดว่า “รบกวนอี๋เหนียงเสียแล้ว”
เหวินอี๋เหนียงที่ยืนอยู่ก็ยิ้มแล้วมองสืออีเหนียง เหมือนว่ารอให้นางเดินเข้าไปในห้องแล้วตัวเองค่อยไป
ในขณะที่ทั้งสองยืนอยู่ที่นั่น
ใบหน้าเหวินอี๋เหนียงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่นัยน์ตากลับเฉียบแหลม “คุณหนู ข้าเองก็รับใช้พี่หญิงมาแล้วสิบกว่าปี ข้าปฏิบัติต่อพี่หญิงเหมือนญาติแท้ๆ พี่หญิงเองก็เคารพในตัวข้า”
สิ่งที่นางอยากจะพูดก็คือสืออีเหนียงเสียมารยาทกับนางเกินไปแล้ว
สืออีเหนียงยิ้มอย่างอ่อนโยน “พี่หญิงเองก็ป่วยมาเป็นเวลานานทำให้อดเป็นกังวลไม่ได้ คนที่อยู่รอบตัวนางอย่างพวกเราควรจะเข้าใจนางให้มากๆ อี๋เหนียงคงจะใจร้อนเกินไปเจ้าค่ะ”
สิ่งที่นางอยากจะพูดก็คือเมื่อเหวินอี๋เหนียงเห็นว่าหยวนเหนียงป่วยก็เลยไม่ฟังคำสั่งของหยวนเหนียงแล้ว
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหวินอี๋เหนียงค่อยๆ หายไป “ข้าเกรงว่าคุณหนูจะไม่รู้นิสัยและความเคยชินของนาง ข้าก็เลยอยากจะเตือนสักหน่อย จะว่าไปแล้วพวกท่านเคยเจอกันเพียงแค่สามครั้งเอง”
สืออีเหนียงยิ้มอย่างสดใส “เป็นเพราะเช่นนี้พี่หญิงใหญ่จึงได้พาข้ามาที่นี่เพื่อที่จะได้พูดคุยเป็นการส่วนตัว” พูดพลางแสดงสีหน้าไม่สบายใจเล็กน้อย “หากพี่หญิงใหญ่ไม่บอก ข้าก็คงไม่รู้ว่าหอลู่จวินที่ข้าอาศัยอยู่สร้างขึ้นหลังจากที่พี่หญิงใหญ่แต่งออกไป แล้วยังมีเรือนหน่วนเก๋อที่อยู่ด้านหลังหอลู่จวิน อวี๋หังไม่เหมือนกับเยี่ยนจิง จะหาถ่านไม้สักก้อนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านแม่กลัวว่าพวกเราพี่น้องจะแข็งเพราะความหนาว พอหิมะตกก็จะก่อไฟอยู่บ่อยๆ พวกเราพี่น้องมักจะทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ในเรือนหน่วนเก๋อ น้องหญิงสิบสองมักจะบ่นว่าไม่อบอุ่นเท่าเตาอั้งโล่ หากมีเตาอั้งโล่ก็จะได้เผามันกับเกาลัดกินได้…” สืออีเหนียงอธิบายร่ายยาว