ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 34 เล่ห์เหลี่ยม (ต้น)

ตอนที่ 34 เล่ห์เหลี่ยม (ต้น)

 

“ต่อมาเจ้าเอาแต่สังเกตเรือนของพี่หญิง ข้าคิดว่าเจ้ากำลังเยาะเย้ยข้า…ดังนั้นข้าถึงได้ทำท่าทีเย็นชากับเจ้า” อู่เหนียงจับมือสืออีเหนียงมา “น้องหญิงของข้า เจ้าอย่าได้เอาเก็บไปคิด ล้วนแต่เป็นความผิดของข้า ข้าขอโทษเจ้าด้วย” 

“พี่หญิงอย่าพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงทำสีหน้าจริงจัง “คำสุภาษิตที่ว่า โชคชะตาพาให้เรามาอยู่ด้วยกัน ท่านกับข้าได้มาเป็นพี่น้องกัน ไม่รู้ว่ามันคือบุญกุศลที่บำเพ็ญมาตั้งแต่ชาติปางไหน ในเมื่อเป็นการเข้าใจผิด วันนี้ทำความเข้าใจกันเสียก็จบแล้ว” 

อู่เหนียงพยักหน้า นางกระซิบบอกสืออีเหนียงเบาๆ “เรื่องนี้ เจ้าอย่างพึ่งบอกใครนะ…เจ้าก็รู้ว่า พี่หญิงยัง…” 

สืออีเหนียงพยักหน้าซ้ำๆ “ข้ารู้ ข้ารู้เจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ท่านพูดความในใจกับข้า ข้าไม่มีทางบอกคนอื่นแน่นอน” 

อู่เหนียงมีท่าทีเขินอาย “ท่านแม่เคยถามข้าว่า ข้าสนิทกับใครมากที่สุดในบรรดาพี่ๆ น้องๆ ข้าบอกว่าข้าสนิทกับน้องสิบเอ็ดที่สุด…เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วง หากมีวันหนึ่ง ข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องแต่งงานให้เจ้าเอง… อี๋เหนียงของเจ้า คุณชายสี่ก็จะเป็นคนดูแล… ข้าไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากแน่นอน” 

“พี่หญิงพูดอะไรกัน” สืออีเหนียงสะบัดมืออู่เหนียงออก นางแสร้งทำท่าทีโมโห 

อู่เหนียงเห็นแบบนี้ก็หัวเราะออกมาเบาๆ 

สองพี่น้องพูดเล่นกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นสืออีเหนียงก็ยืนขึ้นและขอตัว “…พี่หญิงชอบล้อข้า” 

อู่เหนียงก็ไม่ได้รั้งนางไว้ นางยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากยิ้ม จากนั้นก็เดินไปส่งสืออีเหนียงที่ประตู 

เมื่อนางหันกลับมา จื่อเวยก็พูดด้วยความเป็นห่วง“คุณหนู หากนายหญิงใหญ่อยากจะหาใครสักคนในบรรดาพี่น้องแต่งเข้าไปล่ะเจ้าคะ? เพราะว่าจวนหย่งผิงโหวเป็นถึงตระกูลที่สูงส่ง…” 

“ไม่หรอก” อู่เหนียงส่ายหน้า สายตาของนางสว่างราวกับไฟที่ลุกโชน “ข้าได้ยินผู้เฒ่าที่เรือนเจียวหยวนบอกว่า พี่หญิงดูเหมือนจะเป็นคนสงบเสงี่ยม แต่นางเป็นคนแข็งแกร่งมาก หากนางรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นตรงไหน นางก็จะหาวิธีวิ่งตามไปให้ทัน ไม่มีทางแสดงความอ่อนแอของตัวเองออกมาให้คนอื่นเห็น หากคำพูดของพวกนางเป็นความจริง ด้วยนิสัยของพี่หญิงใหญ่ ตอนที่นางสุขภาพร่างกายแข็งแรงยังพอเป็นไปได้ แต่ตอนนี้นางสุขภาพไม่ดี หากเป็นตอนนั้นนางไม่มีทางให้น้องสาวของตัวเองแต่งเข้าไป ปล่อยให้ภรรยาตัวแทนในอนาคตนั่งวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่บนหัวของตระกูลหลัว…” นางพูดแล้วก็ยิ้มอ่อน “ดังนั้น นางจึงต้องหาภรรยาตัวแทนในบรรดาน้องสาวของตัวเองเท่านั้น!” 

จื่อเวยพยักหน้าและพูดว่า “คุณหนูห้า เรื่องที่ท่านให้บ่าวไปสืบมา บ่าวสืบมาได้แล้วเจ้าค่ะ” 

อู่เหนียงเลิกคิ้วและพูดว่า “เป็นเช่นไร” 

จื่อเวยพูดเสียงเบาๆ “ท่านเดาถูกแล้วเจ้าค่ะ!” 

อู่เหนียงยิ้ม 

“ตั้งแต่นายท่านใหญ่มาอยู่ที่เยี่ยนจิงเขาก็ลาออกจากตำแหน่งอยู่แต่บ้าน บอกว่าไม่ได้ลาออก แต่สิบวันก่อนกรมมหาดไทยยังปล่อยตัวทูตประจำมณฑลยูนนานออกมาหนึ่งคน…ตอนนี้หลิ่วเก๋อเหล่าก็กลับมารับตำแหน่งอีกครั้ง…เกรงว่านายท่านใหญ่คงจะเหลือตัวช่วยแค่จวนหย่งผิงโหวเท่านั้นแล้วเจ้าค่ะ” 

****** 

ในขณะที่อู่เหนียงและจื่อเวยกำลังกระซิบกระซาบกัน สืออีเหนียงและหู่พั่วก็กำลังพูดคุยกันอยู่ในเรือน 

“…นายท่านใหญ่มักจะออกไปเจอกับเหล่าสหายอยู่บ่อยๆ ฟังจากน้ำเสียงของซิ่งหลิน เงินหนึ่งพันตำลึงที่นายหญิงใหญ่เอามาใช้ในเรือนหมดไปตั้งนานแล้ว เงินที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นเงินของคุณนายใหญ่!” 

ดูเหมือนว่านายท่านใหญ่จะเดินผิดทาง! 

สืออีเหนียงครุ่นคิด นางตอบกลับหู่พั่วอย่างใจลอย “แล้วก็อาจจะเป็นไปได้ว่า! ค่าครองชีพที่เยี่ยนจิงนั้นสูง ตั้งแต่พวกนางมาถึงก็ซื้อนั่นซื้อนี้ แต่ว่านายหญิงใหญ่เป็นคนมีศักดิ์ศรี ตัวเองไม่มีก็ไม่มีทางไปเอากับลูกสะใภ้” 

“คุณหนูรู้จักนายหญิงใหญ่ดีแล้วเจ้าค่ะ” หู่พั่วยิ้มและยกยอสืออีเหนียง แต่นางกลับถูกสืออีเหนียงตำหนิ “…ต่อไปอย่าพูดเช่นนี้อีก คนอื่นได้ยินเข้ามันจะไม่ดี” 

หู่พั่วตกใจ นางรีบพูดออกมา “บ่าวผิดไปแล้ว ไม่กล้าพูดเช่นนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ” 

สืออีเหนียงก็ไม่ได้อยากทำให้หู่พั่วเสียหน้ามากเกินไป เห็นว่านางยอมรับผิด นางจึงยิ้มและพูดเรื่องอื่น“จวนหย่งผิงโหวสนิทสนมกับที่นี่หรือไม่” 

หู่พั่วรีบพูด“ซิ่งหลินบอกว่า คุณหนูใหญ่มักจะส่งของมาที่นี่บ่อยๆ คุณชายใหญ่ไปสำนักศึกษา ก็ใช้ชื่อของท่านโหว ท่านโหวเคยมาที่นี่สองครั้ง ครั้งแรกคือวันที่สองที่นายท่านใหญ่มาที่เยี่ยนจิง เขาเชิญนายท่านใหญ่และคุณชายไปกินข้าวที่ทิงหลีก่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดในเยี่ยนจิง อีกครั้งหนึ่งคือวันที่สามของปีใหม่ เอาของมาด้วยครึ่งลำรถม้า แล้วยังพูดคุยกับนายท่านใหญ่อยู่นาน อยู่กินข้าวเย็นแล้วถึงได้กลับไป” 

สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า 

จวนหย่งผิงโหวสนิทกับที่นี่ก็เป็นเรื่องที่ดี! 

ไม่เช่นนั้น ตำแหน่งของนายท่านใหญ่ไม่ราบรื่น พวกนางอยู่กับเขาก็คงจะไม่มีชีวิตที่ดี 

แต่หากเป็นเช่นนี้ เกรงว่า ไม่ว่าสกุลหลัวจะพิจารณาจากแง่มุมใด ก็ไม่มีทางยอมสูญเสียการแต่งงานกับสกุลสวีไปแน่นอน… 

หวังว่าเรื่องนี้จะจบลงเร็วๆ ผัดวันประกันพรุ่งอยู่แบบนี้ มันทำให้ผู้คนร้อนใจ! 

สืออีเหนียงตัดสินใจที่จะไม่คิดเรื่องนี้ชั่วคราว  

ตบมือข้างเดียวไม่ดัง หากสกุลสวีไม่เห็นด้วย สกุลหลัวก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น พรุ่งนี้ไปดูสถานการณ์ที่จวนตระกูลสวีแล้วค่อยวางแผนดีกว่า! 

ตัดสินใจแบบนี้ นางอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย นางถามถึงปลากระป๋องกับหู่พั่ว “บอกให้เจ้าไปตามหาคนที่สนิทกับหลูหย่งกุ้ย เจ้าหาเจอแล้วหรือยัง” 

หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นที่จวน ล้วนแต่เป็นลูกชายของป้าหังเป็นคนจัดการ บ่าวลองไปถามเขาดู เขาบอกว่าไม่รู้จักหลูหย่งกุ้ย แต่กลับสนิทกับหลูหย่งฝู พวกเขายังเคยดื่มเหล้าด้วยกันอีกต่างหาก” 

“เช่นนั้นเจ้าก็รีบจัดการเรื่องนี้ซะ เราจะได้สบายใจ!” 

หู่พั่วตอบรับและเดินออกไป 

ตงชิงมองดูสืออีเหนียงที่สีหน้าดูเหนื่อยล้า เธอยิ้มและพูดว่า “คุณหนู ท่านจะพักผ่อนสักหน่อยไหมเจ้าคะ เมื่อคืนกว่าท่านจะนอนหลับ วันนี้ก็ตื่นตั้งแต่เช้า…จะอดหลับอดนอนเช่นนี้ไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ ระวังจะป่วยเอาได้” 

“ข้ารู้แล้ว” สืออีเหนียงยิ้ม นางรู้สึกมึนหัว “ข้านอนพักผ่อนสักครู่ วันนี้แดดไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าส่งคนมาเย็บปักถักร้อยใต้ชายคา หากมีคนมาก็ให้ปลุกข้าทันที” 

“ท่านไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ” ตงชิงยิ้ม “บ่าวจะยืนอยู่ริมหน้าต่าง หากคนข้างนอกกระแอม บ่าวก็จะดึงท่านลุกขึ้นทันที” 

สืออีเหนียงยิ้มแล้วนอนลงบนเตียง ปากก็ยังพึมพำเบาๆ “วุ่นจริงๆ เลย”  

ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะได้ใช้ชีวิตที่อยากนอนก็นอน อยากกินก็กิน… ไม่แปลกที่อู่เหนียงอยากได้ตำแหน่งนั้นของหยวนเหนียง อย่างน้อยตัวเองก็เป็นอิสระในเรือนนั้น … 

ทันทีที่นางเอนตัวลงนอน ตงชิงก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ “คุณหนู อี๋เหนียงหกมาเจ้าค่ะ!” 

สืออีเหนียงตกใจ  

นางมาที่นี่ทำไม? 

ตอนที่อยู่ที่อวี๋หัง พวกนางไม่เคยไปมาหาสู่กัน บางครั้งจะเห็นนางไปมาหาสู่สือเอ้อร์เหนียง พวกนางก็แค่พยักหน้าทักทายกันแล้วก็เดินผ่านกันไป… 

สืออีเหนียงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันนี้อย่างละเอียด  

ไม่มีเรื่องอะไรพิเศษสักหน่อย! 

หรือว่า นางมาบอกอะไรแทนนายหญิงใหญ่? ไม่ใช่สิ นายหญิงใหญ่ไม่ชอบให้บรรดาอี๋เหนียงมาสนิทสนมกับบรรดาลูกอนุ หรือว่า มีของอะไรที่จะฝากตัวเองไปให้สือเอ้อร์เหนียง? ไม่ใช่สิ พวกนางพึ่งจะมาถึง ยังไม่ได้กำหนดวันกลับอวี๋หังเลย… 

ความคิดแค่วาบเข้ามาแล้วก็หายไป 

ไม่มีคำตอบ แต่นางก็ไม่เคยดันทุรัง เพราะว่าบางครั้ง เมื่อเจ้ายอมแพ้และมองออกไปจากอีกมุมหนึ่ง เจ้าก็จะเจอกับอะไรใหม่ๆ 

นางยิ้มและลุกขึ้น “ไปเชิญอี๋เหนียงมานั่งที่ห้องรับรองเถิด”  

ตงชิงตอบรับและเดินออกไป สืออีเหนียงจัดทรงผม ดึงเสื้อผ้าแล้วออกไปยังห้องรับรอง  

อี๋เหนียงหกนั่งอยู่บนเตียงอุ่นใกล้หน้าต่าง สีหน้าของนางดูใจลอย ไม่ยิ้มแย้มเหมือนปกติ ท่าทางเคร่งเครียด  

จริงจังขนาดนี้… 

สืออีเหนียงครุ่นคิด นางยิ้มแล้วเดินเข้าไป “อี๋เหนียงหกมาแล้วหรือเจ้าคะ!” 

อี๋เหนียงหกหันมามองนางแต่ก็ไม่พูดอะไร มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง สายตาของนางจริงจังเป็นอย่างมาก 

จะทำอะไรอีกกันแน่ 

สืออีเหนียงยิ้มแล้วยืนอยู่ตรงนั้น ยืนให้นางมองอย่างใจกว้าง 

“ข้ามีอะไรอยากจะพูดกับเจ้าสักสองสามประโยค” อี๋เหนียงหกพูดออกมาช้าๆ และนางก็บอกให้คนอื่นออกไปข้างนอก 

วันนี้เกิดอะไรขึ้น แต่ละคนล้วนแต่อยากจะมาพูดคุยกับนาง! 

สืออีเหนียงขยิบตาให้ตงชิง ตงชิงยกชาขึ้นมาให้อี๋เหนียงหก จากนั้นก็พาสาวใช้ในเรือนออกไปข้างนอกทันที 

อี๋เหนียงหกหยิบฝาปิดถ้วยชาเขี่ยใบชาเบาๆ นางยิ้มแล้วพูดว่า “อี๋เหนียงห้ารู้ว่าป้าเหยาอยากจะให้ตงชิงแต่งงานกับหลานชายของนาง นางไปร้องไห้กับข้า บอกว่าตงชิงเป็นคนสนิทของเจ้า ป้าเหยาอยากได้ใครไม่อยากได้ แต่กลับมาอยากได้นาง แล้วต่อไปเจ้าจะทำเช่นไร!” 

สืออีเหนียงตกใจ 

นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าอี๋เหนียงห้าเคยไปร้องไห้กับอี๋เหนียงหก… 

“อี๋เหนียงห้ามาปรึกษาข้า” อี๋เหนียงหกยิ้มอย่างเป็นมิตร “ข้ากับอี๋เหนียงห้าปรึกษากันอยู่นานแต่ก็คิดหาวิธีไม่ออก กำลังกังวล แต่ใครจะรู้ว่า แค่เจ้าพูดว่า ‘หลานชายของป้าเหยาหาภรรยาไปทั่ว แต่กลับมาถูกใจตงชิง ข้าอยู่กับตงชิงทุกวัน ไม่รู้ว่าหลานชายของนางเคยเจอกับตงชิงที่ไหนกัน’ แค่ประโยคนี้ก็ทำให้นายหญิงใหญ่เปลี่ยนใจ ตอนนั้นข้าคิดว่า ตงชิงช่างเป็นคนที่มีวาสนาเสียจริง ได้มาปรนนิบัติรับใช้คนเช่นเจ้า ไม่รู้เหมือนกันว่าสือเอ้อร์เหนียงของข้าจะมีวาสนาเหมือนนางหรือไม่ ต่อไปก็มีเจ้าคอยปกป้อง!” 

สืออีเหนียงตกใจ 

อี๋เหนียงหกเก็บสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “คุณหนูสิบเอ็ด จะว่าไปแล้ว ข้ากับอี๋เหนียงห้าอยู่เรือนเดียวกันมาตั้งหลายปี เรารักกันราวกับพี่น้อง อี๋เหนียงห้ามีแค่เจ้า ข้าก็มีแค่สือเอ้อร์เหนียง รู้ว่าพวกเจ้าสองคนเข้าไปอยู่ที่หอลู่จวินด้วยกัน ข้ากับอี๋เหนียงห้าดีใจเป็นอย่างมาก หวังว่าพวกเจ้าจะเหมือนกับพวกข้า รักกันราวกับพี่น้อง ต่อไปมีเรื่องอะไรก็มีคนคอยดูแล” นางแล้วก็ถอนหายใจ “เจ้าก็เป็นคนรู้ความ เมื่อก่อนตอนที่อยู่อวี๋หัง ไม่ว่าจะเป็นอี๋เหนียงห้าหรือว่าข้า ล้วนแต่ไม่กล้าไปที่หอลู่จวิน แต่ใจที่รักและเอ็นดูพวกเจ้าของพวกข้ากลับไม่เคยน้อยลงแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้น ข้าก็คงจะไม่เสี่ยงมาบอกเจ้า” 

สืออีเหนียงตกใจ  

“ที่จริงแล้ว ที่นายหญิงใหญ่พาเจ้ากับอู่เหนียงมาที่เยี่ยนจิง ก็เพราะว่าคุณหนูใหญ่” อี๋เหนียงหกพูดออกมาเบาๆ ทำให้คนรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในใจ “สุขภาพของคุณหนูใหญ่ไม่ไหวแล้ว นางอยากจะหาคนในบรรดาน้องๆ ไปดูแลจุนเกอแทนนาง เจ้าฉลาดขนาดนี้ คิดว่าเรื่องนี้เจ้าคงเดาออกแล้ว” 

สืออีเหนียงก้มหน้าลงจิบชา นางไม่ได้ปฏิเสธแล้วก็ไม่ได้ยอมรับ 

“แต่มีอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าคงจะไม่รู้แน่นอน” น้ำเสียงของอี๋เหนียงหกนิ่งลง “ก็คือข้า พึ่งได้ยินมาเมื่อคืนนี้” 

สืออีเหนียงฟังนางพูดอย่างเงียบๆ 

อี๋เหนียงหกพูดด้วยสายตาเยาะเย้ยที่ปิดไม่อยู่ “หยวนเหนียงยังอยากจะให้อีกคนหนึ่งแต่งงานกับหวังหลังลูกชายคนเดียวของหวังซิ่นที่เป็นเม่ากั๋วกง” 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท