เสียงฆ้องดังขึ้น เริ่มร้องบทงิ้วฉากที่สี่คือ ‘ตามหาสามี’
แม่บุญธรรมและพ่อบุญธรรมได้ถึงแก่กรรม จ้าวอู่เหนียงได้ขอเศษเงินผู้คนมาตลอดทางเพื่อไปตามหาไช่ปั๋วเจียที่เมืองหลวง ระหว่างเดินทางหิมะตก จ้าวอู่เหนียงจึงถือชามที่แตกหักไปขอพรอยู่ที่วัดเก่าแห่งหนึ่ง อยากจะมีอนาคตที่สวยงามโดยการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับสามีของนาง แตกต่างจากการร้องในอารมณ์โศกเศร้าของงิ้ว จ้าวอู่เหนียงร้องเพลงงิ้วด้วยความรักและกล้าหาญ เป็นการร้องที่เต็มไปด้วยพลัง…นี่แหละคือเสน่ห์ของงิ้วต่างๆ
สืออีเหนียงให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
ว่ากันว่าในเยียนจิงนอกจากบทเพลงเกอหยางยังมีบทเพลงคุณซานและบทเพลงอวี๋หังที่เป็นที่นิยม ไม่รู้ว่าบทเพลงคุณซานและบทเพลงอวี๋หังบรรยายถึงอะไร ฟังดูจากชื่อของสามบทเพลงนี้ล้วนตั้งชื่อตามสถานที่ คงจะมีความสัมพันธ์กับแหล่งกำเนิด จะว่าไปแล้วคุณซานกับอวี๋หังต่างก็เป็นของเจียงหนาน ตอนที่ตัวเองอยู่ที่จวนสกุลหลัวกลับไม่เคยได้ยินบทงิ้วเพลงที่ใช้ชื่ออวี๋หัง…หรือว่าเป็นเพราะว่าตอนนั้นสกุลหลัวอยู่ในช่วงไว้อาลัยนายท่านใหญ่คนก่อน ดังนั้นตนเองจึงไม่เคยได้ยิน…
ในขณะที่นางกำลังคิดไปต่างๆ นาๆ ก็มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามารายงานว่า “ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสี่มาแล้วเจ้าค่ะ”
ทุกคนในห้องต่างตกตะลึง นายหญิงใหญ่ลุกขึ้นเป็นคนแรก “เด็กคนนี้สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง จะมาที่นี่ทำไม” ถึงแม้ว่าปากจะบ่นแต่ตัวเองก็เดินออกไปข้างนอกห้อง
สืออีเหนียงรีบลุกขึ้นแล้วเดินตามไปทันที
เห็นเหวินอี๋เหนียง ป้าเถาและคนอื่นๆ นั่งเกี้ยวมา
ไท่ฮูหยินเดินมาที่ประตูห้อง “รีบยกเข้ามาเร็ว”
จากนั้นเกี้ยวก็ถูกยกเข้ามา
ภายใต้แสงไฟ สีหน้าของหยวนเหนียงเป็นสีเหลืองคล้ายขี้ผึ้งที่เย็นแล้ว
ไท่ฮูหยินพูดด้วยความไม่พอใจว่า “มีเรื่องอะไรก็ส่งคนมาบอกก็พอแล้ว ทำไมต้องมาด้วยตัวเอง”
บรรดาฮูหยินทั้งหลายที่อยู่ข้างหลังนางต่างก็พูดทำนองเดียวกัน “ใช่แล้ว เจ้าทรมานตัวเองเช่นนี้ระวังจะได้ป่วยอีกรอบ”
หยวนเหนียงที่นั่งอยู่บนเกี้ยวรู้สึกไม่พอใจ แต่พยายามทำใบหน้าให้ยิ้มแย้ม “บรรดาฮูหยินคนอื่นๆ ต่างก็มากันหมดแล้ว อย่างไรข้าก็ต้องมาคารวะเสียหน่อย”
“คนกันเองทั้งนั้น” หวงฮูหยินรีบพูดต่อว่า “ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตอง เจ้าเพียงแค่ดูแลร่างกายให้ดี ร่างกายของตัวเองนั้นสำคัญ”
คนที่อยู่บนเวทีได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นพวกเขาจึงหยุดร้องเพลง
ทันใดนั้นในเรือนก็เงียบสงบลง
“มาเพื่อเรื่องนี้เองน่ะหรือ” ไท่ฮูหยินพูดอย่างไม่พอใจว่า “สิ่งที่เจ้าควรทำคือการตั้งใจดูแลตัวเองรักษาอาการป่วย ในห้องนี้มีแต่คนกันเองทั้งนั้น!” แม้ว่าน้ำเสียงจะดูห่วงใยแต่กลับไม่เหมือนตอนที่พูดถึงฮูหยินสองที่รอยยิ้มบนใบหน้าฉีกจนจะไปถึงดวงตา แล้วก็ไม่เหมือนตอนที่พูดถึงฮูหยินห้าที่เต็มไปด้วยความรัก ความเอ็นดู
ในห้องนี้ไม่มีคนโง่ ใครก็ฟังออกถึงความแตกต่างในเรื่องนี้
นายหญิงใหญ่หน้าขรึมเล็กน้อย บรรยากาศมีความเย็นยะเยือก
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้อากาศอบอุ่น พี่สะใภ้สี่ออกมาเดินเล่นสักหน่อยก็ดี จะได้ไม่ต้องเอาแต่อยู่ในเรือนทั้งวัน ต่อให้ไม่ป่วยก็อาจจะเบื่อจนป่วยได้เจ้าค่ะ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” หยวนเหนียงพูดต่อว่า “ยังคงเป็นตานหยางที่รู้ความคิดของข้า” เรียกชื่อของฮูหยินห้าโดยตรง ท่าทางดูสนิทสนมเป็นอย่างมาก
ทุกคนพูดหยอกล้อสองสามประโยค จากนั้นก็หลบทางให้เกี้ยวของหยวนเหนียงยกเข้ามาวางอยู่ด้านซ้ายของเก้าอี้สั้น หญิงที่ยกเกี้ยวมาพากันถอยออกไป แน่นอนว่าไม่มีใครพูดอะไรอีก
บรรดาคุณนายต่างพากันทยอยมาคำนับหยวนเหนียง หยวนเหนียงตอบรับด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ ทุกคนต่างรู้ว่านางสุขภาพไม่ดีจึงไม่มีใครโกรธเคือง หลังจากพบปะพูดคุยกันหน้าผากของหยวนเหนียงก็เต็มไปด้วยเหงื่อ เหวินอี๋เหนียงรีบนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดให้นาง
ฮูหยินห้ารินน้ำชาให้หยวนเหนียงด้วยตัวเอง “พี่สะใภ้สี่ ตอนนี้งิ้วร้องถึงฉากที่สี่ มาตอนนี้ถือว่ายังทันอยู่เจ้าค่ะ”
เหวินอี๋เหนียงรับถ้วยน้ำชาแทนหยวนเหนียง ดูเหมือนว่าแม้แต่แรงยกถ้วยชาก็ยังไม่มี
“ฉากที่สี่มีชื่อตอนว่าตามหาสามี…” ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เป็นอย่างที่น้องสะใภ้บอก ข้ามาตอนนี้ถือว่ายังไม่สายเกินไป”
ทุกคนต่างส่งเสียงร้องต้อนรับนักแสดงบนเวที
หยวนเหนียงถามขึ้นมาว่า “คุณหนูคนอื่นๆ ไปไหนกันหมด”
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูหลิน คุณหนูเฉียว คุณหนูถังและคุณหนูห้าสกุลหลัวไปหาพี่สะใภ้สอง ส่วนคุณหนูสามสกุลกาน คุณหนูเจ็ดสกุลกานและคุณหนูสิบสกุลหลัวไปเล่นว่าวที่สวนดอกไม้เจ้าค่ะ…” จากนั้นก็ชี้ไปที่สืออีเหนียง “คนนี้เหมือนกันกับข้า เป็นคนที่ชอบฟังเพลงงิ้ว”
หยวนเหนียงยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้มีท่าทีแปลกๆ กับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของสือเหนียง ทำให้สืออีเหนียงอดเดาไม่ได้ว่านางรู้อยู่แล้วว่าสือเหนียงจะมา
พูดคุยหยอกล้อกันสองสามประโยคทุกคนก็พากันนั่งลง ฮูหยินห้าให้ท่านป้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ไปบอกให้คณะงิ้วเริ่มแสดงอีกครั้ง
นายหญิงใหญ่ยกเก้าอี้มานั่งข้างๆ ลูกสาว สืออีเหนียงจึงต้องมายืนอยู่ข้างหลังพวกนาง
บนเวที จ้าวอู่เหนียงพูดไปร้องไห้ไป “…โชคร้ายที่บ้านเกิดของข้าประสบภัยแล้ง ขาดแคลนเสบียงอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ปีก่อนต้องทอผ้าทั้งวันทั้งคืนไม่ได้พัก…”
คุณนายสกุลถังกับเฉียวฮูหยินที่อยู่ด้านหลังกำลังซุบซิบกัน
เสียงคุยกันเดี๋ยวดังเดี๋ยวเบา แต่กลับบังเอิญทำให้นางได้ยินคำบางคำ “…ก็ไม่ยอมพักผ่อนให้ดี หลายปีมานี้ก็เป็นฮูหยินสามที่คอยดูแลจัดการเรื่องในเรือนให้…จะมาเฉิดฉายต่อหน้าญาติพี่น้องให้ได้ ทำไมไม่นึกถึงหน้าของฮูหยินสามบ้าง…”
สืออีเหนียงสังเกตดูหยวนเหนียง
หยวนเหนียงพิงหมอนสีแดงเงินสีหน้าซีด ดวงตาทั้งสองข้างปิดลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่ากำลังหลับ
จากนั้นก็หันไปมองนายหญิงใหญ่
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าดูตึงเครียด เห็นได้ชัดว่านางได้ยินที่สองคนนั้นพูดคุยกัน
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจเบาๆ ในใจ
คนที่จะทำการใหญ่มักจะไม่ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หยวนเหนียงก็เป็นเช่นนี้ จึงทำให้คนอื่นรู้สึกว่านางเป็นคนใจแคบ แต่ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองจะพูดได้ ตั้งใจยืนฟังงิ้วตรงนี้จะดีกว่า
เมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็ได้มุ่งความสนใจไปที่เวที
ผู้หญิงที่สวมชุดพื้นเมืองมีผ้าคลุมหัวสีน้ำเงินบดบังใบหน้าสีชมพูครึ่งหน้า ดวงตาสั่นระริกด้วยความโศกเศร้า จ้าวอู่เหนียงร้องเสียงสูง “ข้ายืมสิ่งของทุกอย่างจากเพื่อนบ้านโดยรอบ ขายทั้งเครื่องปั่นด้าย ขายทั้งเสื้อผ้า…”
“น้องหญิงสิบเอ็ด” คนที่อยู่ข้างหน้าเรียกนางอย่างกะทันหัน น้ำเสียงฟังดูอ่อนแอแต่นุ่มนวล “ตอนเจ้าอยู่ที่จวน เจ้าอาศัยอยู่ที่ใด”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย ใช้เวลาสักพักกว่าจะเรียกสติกลับคืนมา หยวนเหนียงกำลังพูดกับนาง
“พี่หญิงใหญ่” นางพูดด้วยความเคารพว่า “ข้าอาศัยอยู่ที่หอลู่จวินเจ้าค่ะ”
“หอลู่จวินอย่างนั้นหรือ” หยวนเหนียงลืมตาขึ้นมา นางมองไปที่เวที สายตาดูสงบและชัดเจน “อยู่ตรงไหนกัน อยู่ส่วนไหนของเรือนเจียวหยวน”
“อยู่ที่สวนดอกไม้หลังจวน” สืออีเหนียงพยายามอธิบายให้นางเข้าใจอย่างชัดเจน “จากประตูหลังของเรือนจืออวิ๋นเดินไปทางทิศตะวันออกจะมีเพิงแห่งหนึ่ง เมื่อเดินออกจากเพิงไปทางทิศเหนือก็จะมีศาลาทางเดิน เมื่อลงจากศาลาทางเดินก็จะเป็นป่าหวงหยาง หอลู่จวินตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของป่าแห่งนั้นเจ้าค่ะ”
“ทิศตะวันตก!” หยวนเหนียงนึกแล้วพูดต่อว่า “ข้าจำได้ว่าที่นั่นมีเรือนหน่วนเก๋อ เกิดอะไรขึ้น เรือนหน่วนเก๋อถูกรื้อแล้วสร้างหอลู่จวินขึ้นมาใหม่หรือ”
“ไม่ได้รื้อเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “หอลู่จวินอยู่ด้านหน้าไม่ไกลจากเรือนหน่วนเก๋อเจ้าค่ะ”
หยวนเหนียงพยักหน้า
หลังจากฉากบนเวทีแสดงจบไป เสียงตีฆ้องก็เงียบลงในทันที
นางไม่ได้สังเกต ยังคงพูดคุยกับสืออีเหนียง “ตอนข้ายังเด็กๆ ข้ามักจะอ่านหนังสืออยู่ที่เรือนหน่วนเก๋อ ตอนนี้เรือนหน่วนเก๋อเอาไว้ใช้ทำอะไร”
ทุกคนในห้องต่างก็ได้ยินเสียงของนาง
สืออีเหนียงพูดเสียงเบาลง “เมื่อหิมะตกในฤดูหนาว ท่านแม่ก็จะให้คนก่อไฟ พวกเราบรรดาพี่น้องก็จะนั่งทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ที่นั่น ทั้งสว่างไสวทั้งอบอุ่น”
หยวนเหนียงหัวเราะ หันไปพูดกับฮูหยินสองสามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “ข้าอาการไม่ค่อยดี ได้ดูงิ้วฉากนี้กับทุกคนก็ถือว่าสมปรารถนาแล้ว”
บรรดาเหล่าสาวใช้ค่อยๆ นำชามาเปลี่ยนให้ทุกคน
ทุกคนต่างก็พูดว่า “แค่นี้ก็ดีแล้ว เจ้าควรไปพักผ่อนได้แล้ว”
หยวนเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าจะมีการจุดพลุไฟตอนกลางคืน ข้าอยากจะรอดูสักหน่อย”
ไท่ฮูหยินกับนายหญิงใหญ่ต่างมีสีหน้าลังเล แต่อย่างไรไท่ฮูหยินก็เป็นแม่สามี มีบางคำที่พูดไปจะดูไม่ดี นายหญิงใหญ่จึงถามตรงๆ ว่า “ร่างกายของเจ้าจะทนไหวหรือ”
หยวนเหนียงมองฮูหยินห้า “อย่างที่ตานหยางพูด ข้าเอาแต่อยู่ในเรือน หากไม่ป่วยก็จะเบื่อจนป่วยได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากป่วยก็ควรจะเคลื่อนไหวเยอะๆ ”
ฮูหยินห้ายิ้มพลางพยักหน้า
นายหญิงใหญ่อยากจะพูดบางอย่าง หยวนเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่วางใจได้ ข้าจะพักผ่อนอยู่ที่เรือนข้างๆ หากไหวก็จะออกมาดูพลุเป็นเพื่อนทุกคน หากไม่ไหวข้าก็จะดูอยู่ในเรือน…เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนอย่าได้โกรธข้าเลย”
ทุกคนต่างพากันตอบรับ “ได้สิ”
ไท่ฮูหยินเรียกป้าตู้ที่พึ่งไปเปิดห้องเก็บของเอาว่าวให้คุณหนูสกุลกานกับสือเหนียง “เจ้าพาคนไปทำความสะอาด จากนั้นก็คอยอยู่รับใช้ หากฮูหยินสี่อยากดื่มอะไรก็จะได้มีคนไว้คอยเรียกใช้”
“ขอบคุณความหวังดีของท่านแม่” หยวนเหนียงปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม “ข้างกายข้ายังมีเหวินอี๋เหนียงกับป้าเถา ข้างกายท่านก็ควรจะมีคนคอยรับใช้”
พูดพลางมองไปที่สืออีเหนียง “น้องหญิงสิบเอ็ดก็ไปพูดคุยเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยเถิด” จากนั้นก็มองไปที่คนของไท่ฮูหยิน “หากมีเรื่องอะไร ข้าค่อยเรียกป้าตู้ก็ยังไม่สาย”
“ก็ดีเหมือนกัน” นายหญิงใหญ่ช่วยห่มผ้าบางๆ ให้หยวนเหนียง “สืออีเหนียงมีความเป็นผู้ใหญ่ มีนางอยู่ข้างกายเจ้าข้าก็วางใจแล้ว”
เมื่อไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่พยักหน้า
ฮูหยินห้าเดินไปส่งหยวนเหนียง เมื่อออกมาจากประตูห้องก็ถูกหยวนเหนียงบอกให้กลับไป “…คนเต็มห้องเช่นนี้ ข้ามาที่นี่ก็เหมือนกับสร้างปัญหา แต่ข้าก็อยากมาดูความครึกครื้น น้องสะใภ้ช่วยพูดกับท่านแม่ให้ข้าก็พอแล้ว”
ทางด้านนั้น ฆ้องและกลองได้ส่งเสียงขึ้น
ฮูหยินห้ามองสืออีเหนียง เหวินอี๋เหนียง ป้าเถา และบรรดาสาวใช้ที่ยืนล้อมหยวนเหนียง ยิ้มแล้วพยักหน้า เดินมาส่งถึงหน้าประตูแล้วก็เดินกลับไป
เมื่อเข้าไปในห้องโถง หยวนเหนียงได้ส่งสัญญาณให้วางเกี้ยวลง “ให้สืออีเหนียงมาพยุงข้าเดิน พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่เถิด”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ” ป้าเถารีบคัดค้านทันที
หยวนเหนียงโบกมือสีหน้าจริงจัง
ทุกคนต่างพากันเงียบ
เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ให้ข้าช่วยท่านทำความสะอาดห้องดีหรือไม่ ตรงนั้นไม่มีคนอยู่มานานแล้ว ถึงแม้ว่าจะทำความสะอาดทุกวันแต่ก็ยังคงมีฝุ่นบางๆ อยู่…”
“ไม่ต้องหรอก” หยวนเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ข้าเพียงแค่จะหาที่คุยกับน้องหญิงสิบเอ็ดก็เท่านั้น”
นางปฏิเสธอีกครั้ง ให้ทุกคนอยู่ที่ห้องโถง
สืออีเหนียงพาหยวนเหนียงออกจากห้องโถง ค่อยๆ เดินเข้าไปที่สวนเล็กๆ
หินไท่หูสือก้อนนั้นสูงกว่าหลังคาบ้านทำให้บดบังเส้นทางเดินเข้าประตู สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือต้นไผ่เขียวที่โอนเอนไปมา เสียงฆ้องที่มีชีวิตชีวาจากทางด้านหลังค่อยๆ เงียบลงทำให้สภาพแวดล้อมในสวนเงียบสงบ
“เมื่อก่อนวันๆ ข้าเอาแต่กินยาจนอ้วนเหมือนหมู” นางหัวเราะเยาะตัวเอง แต่น้ำเสียงกลับดูเย็นชา “ตอนนี้แม้แต่เจ้าก็ยังพยุงข้าไหว”
หยวนเหนียงสูงกว่าสืออีเหนียงหนึ่งคืบ
“เมื่อก่อนคงจะบวมน้ำกระมังเจ้าคะ” สืออีเหนียงน้ำเสียงอ่อนโยน “พอหยุดยาก็เลยผอมลงไปเอง”
หยวนเหนียงหยุดเดินแล้วมองสืออีเหนียง “เจ้าช่างรู้จักปลอบคนเสียจริง” นางเลิกคิ้ว มีความประชดประชันเล็กน้อย
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย
แต่ในใจกลับครุ่นคิด ตอนที่นางยังไม่ได้ป่วยเกรงว่าคงจะเป็นคนที่ชอบพูดจาทิ่มแทงผู้อื่น
นางสีหน้าเรียบเฉย ดูท่าทางเป็นมิตร
ในแววตาหยวนเหนียงมีความตกใจเล็กน้อย นางยกมุมปาก ก้มหัวแล้วเดินไปข้างหน้า
คนป่วยที่อยู่แต่ในห้องมานานมักจะมีอารมณ์แปลกๆ ที่คนอื่นไม่เข้าใจ ไม่ว่าหยวนเหนียงจะประหลาดใจเพราะอะไร ขอแค่ปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ คาดว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยุงหยวนเหนียง เดินอ้อมหินไท่หูสือไปทางเรือนหลัก