สือเหนียงหันกลับมา เชิดคางขึ้นเล็กน้อย แม้จะมองอู่เหนียงด้วยรอยยิ้ม แต่มีความดูถูกสื่อออกมาผ่านสายตาของนาง “ทำไมพี่หญิงต้องทำท่าทางโกรธเช่นนี้เจ้าคะ อีกสักครู่ข้าค่อยบอกท่านต่อก็ได้”
ในห้องล้วนมีแต่คนฉลาด ต่างรู้ว่าพี่น้องสกุลหลัวสองคนนี้ไม่ถูกกัน ทุกคนจึงพากันมองดูอย่างเงียบๆ
สือเหนียงปรากฏตัวอย่างลึกลับ นายหญิงใหญ่เย็นชาต่อนาง ไม่รู้ที่มาของสายเลือดที่ชัดเจน ในขณะนี้การยั่วยุของสือเหนียงทำให้อู่เหนียงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้จึงระเบิดความโกรธออกมาทันที พวกนางสองคนตาลุกเป็นไฟ อู่เหนียงก้าวเท้ามาข้างหน้ากำลังจะอ้าปากสั่งสอนสือเหนียงก็ถูกสืออีเหนียงที่ยืนอยู่ข้างๆ ดึงไว้
“พี่หญิงสิบห้ามผิดคำพูดเด็ดขาดนะเจ้าคะ” สืออีเหนียงหันข้างเล็กน้อย นางยิ้มจางๆ “มิเช่นนั้นหากนางกลับไปฟ้องท่านแม่บอกว่าเจ้ายืมแป้งผลัดหน้าของพวกเราแล้วไม่คืนท่านแม่จะดุเจ้าเอาได้นะเจ้าคะ” พูดจบก็ขยิบตาให้อู่เหนียง “พี่หญิงห้าคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ”
นิ้วเรียวยาวของสืออีเหนียงบีบแขนของอู่เหนียงไว้แน่นทำให้นางรู้สึกเจ็บนิดหน่อย แต่เพราะว่าความรู้สึกเจ็บนี้จึงทำให้นางได้สติกลับมา เมื่อสืออีเหนียงพูดคำว่า ‘เอาความไปบอกท่านแม่’ นางก็เริ่มใจเย็นลงมาแล้ว
จริงด้วย ท่านแม่เป็นคนตัดสินใจในทุกๆ เรื่อง
น้องสี่เป็นคนขี้ขลาด ที่ปล่อยให้สือเหนียงออกมาเช่นนี้ต้องเป็นเพราะว่าถูกหลอกอย่างแน่นอน บทลงโทษของท่านแม่ก็เพียงแค่กักบริเวณหรือไม่ก็ริบเงินเดือน เมื่อเวลาผ่านไปค่อยให้อี๋เหนียงสามช่วยขอร้อง ทุกอย่างก็จะดีขึ้น หากตอนนี้ตัวเองทำอะไรที่เสียมารยาท ไม่เพียงแค่ขายหน้า ซ้ำยังเสียชื่อเสียงของสกุลหลัว ความหวังเล็กๆ ที่อยู่ในใจก็ไม่มีวันเป็นจริง สืออีเหนียงก็จะได้ผลประโยชน์ทั้งหมด…
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองสืออีเหนียง เป็นน้องสาวที่มักจะอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าตัวเอง ตอนนี้สายตาได้มองมาที่นางอย่างกังวลใจ
คงกลัวว่านางจะทำอะไรเลอะเทอะ
จู่ๆ ในใจของอู่เหนียงก็มีความรู้สึกผิดปะทุขึ้นมา
ตัวเองมักจะกันนางอยู่เสมอ แต่ในเวลาคับขันเช่นนี้นางกลับช่วยตัวเอง…ด้วยบทเรียนในอดีตจากอี๋เหนียงสี่ ท่านแม่ไม่มีทางให้สือเหนียงเข้ามาในสกุลสวีอย่างแน่นอน ดังนั้นหากสืออีเหนียงยังคงสงบนิ่ง นกกับหอยกาบต่อสู้กัน คนที่ได้ผลประโยชน์ก็คือชาวประมงอย่างสืออีเหนียง แต่นางกลับทิ้งโอกาสนี้ไป…
ความคิดแล่นผ่านเข้ามาในหัว แต่เสียงในใจบอกกลับนางว่า บางทีสืออีเหนียงอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพียงแค่เลือกที่จะช่วยตัวเองเพราะไม่ชอบสือเหนียง เพราะอย่างไรเสียตอนที่สือเหนียงอาศัยอยู่บนหอ สืออีเหนียงก็ได้ถูกนางรังแกไว้ไม่น้อย…
เรื่องมันยาว อารมณ์ของอู่เหนียงก็เป็นเพียงแค่เรื่องชั่วคราว พอเห็นสายตาของคนในห้องกำลังจับจ้องมาที่ตัวเอง นางจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “น้องหญิงสิบเอ็ดจำไว้นะ หากน้องหญิงสิบไม่บอกพวกเรา กลับไปพวกเราจะไปฟ้องท่านแม่…ให้ท่านแม่สั่งสอนนาง” พูดพลางหัวเราะอย่างร่าเริงแต่ได้แฝงความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย เหมือนกับว่ากำลังพูดหยอกล้อน้องสาว
สืออีเหนียงมองดูท่าทางของอู่เหนียงเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ประโยคที่พูดว่า ‘น้องสิบเอ็ดจำไว้นะ’ เหมือนกำลังโยนความผิดให้ตัวเองอีกครั้ง
นางผิดหวังเป็นอย่างมาก อู่เหนียงเห็นแก่ตัวจนไม่สนใจสถานการณ์โดยรวม…หรือว่านางไม่เคยได้ยินว่า ‘รังนกคว่ำไข่ ในรังย่อมแตก’ หรือ?
คนอื่นมองพวกนางสองคนพี่น้องกำลังทะเลาะกัน จะต้องหัวเราะเยาะอยู่ในใจอย่างแน่นอน
หัวใจเต้นแรงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองทุกคนในห้อง ทุกคนต่างมีท่าทีแตกต่างกัน
เฉียวเหลียนฝังดวงตาเป็นประกายเหมือนกำลังดูงิ้วอย่างใจจดใจจ่อ คุณหนูถังมีสีหน้าเยาะเย้ย คุณหนูหลินกลับก้มหน้าจัดระเบียบกระโปรงของตัวเองราวกับว่าไม่ได้สังเกตสถานการณ์ของที่นี่เลย คุณหนูสามสกุลกานยกมุมปากเล็กน้อย หยุดสิ่งที่จะพูดออกมา คุณหนูเจ็ดสกุลกานกลับเบิกตาโตมองสืออีเหนียง แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
สืออีเหนียงเข้าใจท่าทีของคนอื่นๆ แต่ว่าคุณหนูสกุลกานทั้งสอง…คนหนึ่งดูเหมือนจะเห็นอกเห็นใจพวกนาง อีกคนหนึ่งดูเหมือนอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับนางเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงใจเต้นแรง ได้ยินเสียงหัวเราะของสือเหนียงที่ข้างหู “พวกเจ้าจะเอาเรื่องข้าไปฟ้องท่านแม่อีกแล้ว…”
นางยังไม่ทันได้พูดจบ ฮูหยินสามก็ปรากฏตัวขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของม่านกันลม “ท่านโหวไปแล้ว พวกเรามาดูงิ้วกันต่อเถิด”
แน่นอนว่าทุกคนไม่พูดอะไรต่ออีก มีพี่น้องสกุลกานที่ยืนอยู่ใกล้ม่านกันลมมากที่สุดเป็นคนเดินนำออกมา ทุกคนเดินเรียงกันออกมานั่งลงอีกครั้ง
สืออีเหนียงพบว่าสือเหนียงย้ายเก้าอี้ของตัวเองไปอยู่กับคุณหนูเจ็ดสกุลกาน เมื่องิ้วเริ่มแสดงนางก็คุยซุบซิบกันกับคุณหนูเจ็ดสกุลกาน
อู่เหนียงเองก็เห็นเช่นนั้นเหมือนกัน
นางชอบดูงิ้วเสียที่ไหนกัน สายตาเอาแต่จ้องไปที่พวกนาง แต่กลับถูกฮูหยินสกุลเฉียวที่นั่งอยู่ตรงข้ามเห็นเข้า
เมื่อฉากที่สามแสดงจบกำลังเปลี่ยนฉากใหม่ ทันใดนั้นเฉียวฮูหยินก็พูดขึ้นมาว่า “พวกเรานั่งดูงิ้วอยู่ตรงนี้ก็อย่ารั้งเด็กๆ ไว้เลย พวกเจ้าดูสิคุณหนูสกุลหลัวกับคุณหนูสกุลกานนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว”
ทุกคนมองไปที่พวกนางพร้อมกัน โดยเฉพาะสายตาของนางหญิงใหญ่ที่แหลมคมราวกับใบมีด
สือเหนียงนั่งอย่างสง่างาม ยิ้มอ่อนๆ
อู่เหนียงหันกลับไปจ้องสือเหนียงอย่างดุเดือด แต่สือเหนียงกลับยิ้มอย่างไม่สนใจ
คุณหนูเจ็ดสกุลกานยืนขึ้นโดยไม่ได้สนใจพี่สาวที่นั่งดึงเสื้อของนางอยู่ข้างๆ พูดออดอ้อนไท่ฮูหยินว่า “ข้าอยากไปเล่นว่าว ข้าไม่อยากดูงิ้วเจ้าค่ะ”
ดูเหมือนว่าไท่ฮูหยินจะชอบเด็กๆ ที่ร่าเริงและน่ารักเหล่านั้นมาก จึงยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วพูดว่า “ไปเถิด ไปเถิด” จากนั้นก็เรียกป้าตู้ที่อยู่ข้างๆ “พาคุณหนูเจ็ดสกุลกานไปที่ห้องเก็บของ ดูว่านางชอบว่าวแบบใด” คิดอยู่ครู่หนึ่งก็กวาดสายตามองบรรดาคุณหนูในห้อง “ยังมีใครอยากไปเล่นว่าวอีกหรือไม่จะได้ไปด้วยกันเลย จะได้ไม่ต้องบิดไปบิดมาตอนที่พวกเรากำลังดูงิ้ว พวกเจ้าไม่สบายกาย พวกข้าก็รู้สึกไม่สบายใจ”
ทุกคนต่างพากันยิ้ม
สือเหนียงยิ้มแล้วลุกขึ้นพูดเสียงดังว่า “ไท่ฮูหยิน ข้าก็อยากไปเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ “เอาสิ เอาสิ” ท่าทางพึงพอใจเป็นอย่างมาก
อู่เหนียงลังเลอยู่เล็กน้อย สืออีเหนียงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าขออยู่ดูงิ้วดีกว่า ยังไม่รู้เลยว่าไช่ปั๋วเจียจะตกลงเป็นลูกเขยของหนิวเฉิงเซี่ยงหรือไม่” น้ำเสียงฟังดูเหมือนยังอยากดูต่อ
นางรู้สึกว่าสถานการณ์วันนี้ซับซ้อนเป็นอย่างมาก วิธีที่ดีที่สุดคือการนิ่งสงบสยบทุกความเคลื่อนไหวอยู่ข้างๆ นายหญิงใหญ่ อยู่ในสายตาของนายหญิงใหญ่ จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน
เมื่อไท่ฮูหยินได้ฟังก็พยักหน้า หันไปมองคุณหนูหลิน
คุณหนูหลินยิ้มอ่อนแล้วพูดว่า “ข้าอยากไปเยี่ยมฮูหยินสอง”
สืออีเหนียงเห็นว่าเฉียวฮูหยิน ถังฮูหยิน เฉียวเหลียนฝัง และคุณหนูถังสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาที่มองคุณหนูหลินนั้นดูไม่แน่นอน
“ครั้งที่แล้วที่มาเยี่ยมพี่หญิงตานหยาง ฮูหยินสองสกุลเหมิงเอ็นดูข้าจึงให้กระดาษเฉิงซินถังมาสองสามแผ่น” ภายใต้สายตาของคนอื่นๆ ที่จับจ้องมา คุณหนูหลินยังคงสงบนิ่งและสง่างามเช่นเคย “สองสามวันก่อนหน้านี้ข้าได้รับหนังสือหอจดหมายเหตุมาหนึ่งเล่มจากจวนองค์ชายสอง อยากจะมอบให้ฮูหยินสอง”
ไท่ฮูหยินตอบด้วยความปลาบปลื้มว่า “ได้สิ” แล้วพูดต่อว่า “จดหมายเหตุนั้นมีค่าเป็นอย่างมาก หากให้อี๋เจิ้นไปแล้วเจ้าจะทำอย่างไร เอาอย่างนี้ไหม ข้ามีรูปวาดซงซีฟ่านเย่วของเซี่ยกุย” พูดพลางตะโกนเรียกเว่ยจื่อ “เจ้าไปเอามาให้คุณหนูหลิน”
คุณหนูหลินได้ฟังก็รีบลุกขึ้นปฏิเสธ “ข้าจะรับของขวัญของท่านได้อย่างไรเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วโบกมือ “ข้าก็เพียงแค่อยากจะมอบของขวัญให้กับคนที่เหมาะสม…ข้ารู้ว่าเจ้าชอบภาพวาด”
คุณหนูหลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คุกเข่าคำนับขอบคุณไท่ฮูหยิน “หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ข้าควรจะหาบันทึกที่น่าสนใจมาแลกเปลี่ยนกับภาพวาดของไท่ฮูหยิน”
เมื่อไท่ฮูหยินได้ฟังก็หัวเราะ “ข้าก็มีเพียงเท่านี้แหละ…” ประโยคถัดไปถูกกลืนกินไปอย่างกะทันหัน
สืออีเหนียงรู้สึกประหลาดใจ หันไปมองฮูหยินสามและฮูหยินห้า ทั้งคู่กลับหัวเราะแล้วมองไปที่คุณหนูหลิน ไม่มีอะไรผิดปกติปรากฏให้เห็น
บางทีตัวเองอาจจะคิดมากไปเอง…
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เห็นว่าเฉียวเหลียนฝังค่อยๆ ลุกขึ้น ยิ้มแล้วพูดว่า “ให้ข้าไปเยี่ยมฮูหยินสองเป็นเพื่อนคุณหนูหลินเถิด คราวที่แล้วนางบอกกับข้าว่าดอกสนสามารถนำมาทำเค้กได้ ข้าลองกลับไปทำดูแต่ก็ไม่สำเร็จ…จึงอยากจะไปขอคำแนะนำเจ้าค่ะ”
“ได้สิ ได้สิ” ไท่ฮูหยินมองนางด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าแต่ละคนไปทำสิ่งที่ตัวเองชอบเถิด ทำตัวตามสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน ข้าเองก็จะได้สบายใจ”
ทันทีที่เสียงของนางเงียบลงคุณหนูถังก็ยืนขึ้น ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าขอไปกับหมิงหย่วนด้วย จะว่าไปแล้วข้าก็ไม่ได้พบฮูหยินสองมานานแล้ว ยังคิดถึงเหล้าบ๊วยเขียวที่นางหมักอยู่เลยเจ้าค่ะ”
“ข้าก็อยากไปเยี่ยมด้วยเจ้าค่ะ” อู่เหนียงกัดฟันแล้วลุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน “คราวที่แล้วได้ดื่มชาที่ฮูหยินสองชงให้ข้ายังคงจำมาเสมอ ตอนนี้เมื่อได้ยินทุกคนพูดจึงได้รู้ว่าที่แท้ฮูหยินสองไม่เพียงแต่รู้จักกลิ่นชา ซ้ำยังหมักเหล้าเป็น แล้วก็เชี่ยวชาญการเขียนพู่กันอีกด้วย จะว่าไปแล้วข้าก็ชอบการเขียนพู่กันเป็นอย่างมาก และข้าเองก็อยากจะเห็นหนังสือหอจดหมายเหตุของคุณหนูหลินที่ได้มาจากจวนองค์ชายสองด้วยเจ้าค่ะ”
ใบหน้านายหญิงใหญ่แข็งกร้าวเล็กน้อย
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อปิดปากนาง
เจ้าถึงขั้นคิดจะไปเยี่ยมหญิงม่ายอย่างฮูหยินสอง แต่ทำไมถึงนึกไม่ถึงว่าตัวเองควรจะไปเยี่ยมพี่หญิงของตัวเองที่นอนป่วยอยู่บนเตียง
สือเหนียงสังเกตเห็นความกระตือรือร้นของอู่เหนียง นางยกมุมปากแล้วคล้องแขนคุณหนูเจ็ดสกุลกาน ถามคุณหนูสามสกุลกานด้วยรอยยิ้มว่า “พี่หญิงกาน ท่านจะไปเล่นว่าวกับพวกเรา หรือว่าจะไปเยี่ยมฮูหยินสองกับพวกพี่หญิงหลินเจ้าคะ”
คุณหนูสามสกุลกานรีบตอบ “ข้าก็ต้องไปเล่นว่าวกับพวกเจ้าอยู่แล้ว มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าหลานถิงจะไปสร้างเรื่องอะไรอีก”
คุณหนูเจ็ดสกุลกานทำท่าปั้นปึง “พี่หญิง” ทำเอาทุกคนต่างพากันหัวเราะ
สืออีเหนียงก็หัวเราะ แต่ในใจกลับกำลังคิดว่า ที่แท้คุณหนูเจ็ดสกุลกานมีนามว่ากันหลานถิงนี่เอง ไม่รู้ว่าคุณหนูสามสกุลกานชื่ออะไร
ฮูหยินกันถอนหายใจ มองคุณหนูสกุลกานทั้งสอง ยิ้มอย่างเอือมระอาแล้วพูดว่า “อย่าสร้างปัญหาเด็ดขาด” แล้วกำชับสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย “เจ้าไปกับคุณหนูทั้งสอง”
สาวใช้รีบย่อเข่าคำนับ “เจ้าค่ะ”
เช่นนี้ก็แบ่งกลุ่มคนเป็นสามกลุ่ม คุณหนูสกุลกานทั้งสองกับสือเหนียงไปเล่นว่าว เฉียวเหลียนฝัง คุณหนูสกุลหลิน คุณหนูสกุลถัง กับอู่เหนียงไปเยี่ยมฮูหยินสอง สืออีเหนียงคนเดียวที่อยู่ดูงิ้ว ดูงิ้วง่ายที่สุด ก็เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว ไปเยี่ยมฮูหยินสองก็ไม่มีปัญหาอะไร ให้เหยาหวงพาสาวใช้สองสามคนไปคอยรับใช้ก็พอแล้ว แต่ว่าเล่นว่าวกลับมีปัญหาเล็กน้อย ต้องเปิดห้องเก็บของเพื่อเลือกว่าว จากนั้นก็ต้องไปที่สวนดอกไม้เพื่อหาสถานที่ที่เหมาะสม เกรงว่าหากเข้าใกล้น้ำจะลื่นตกลงไป…มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องใส่ใจอีกมากมาย ฮูหยินสามคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พาสาวใช้และสะใภ้คนอื่นๆ ไปจัดเตรียมให้คุณหนูกานทั้งสองและสือเหนียงด้วยตัวเอง
ในห้องเข้าสู่ความเงียบสงบ
ไท่ฮูหยินมองดูบรรดาคุณนายแต่ละจวนที่เอาแต่เงียบไม่พูดอะไร “ให้ตานหยางจั่วไพ่เป็นเพื่อนพวกเจ้าดีหรือไม่”
คุณนายใหญ่สกุลถังยิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่านพูดเข้า พวกเราไม่ใช่เด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าเสียหน่อยที่จะเอาแต่เล่น และไม่ใช่หญิงที่ไม่รู้เรื่องอะไร สิ่งที่ทำในชีวิตประจำวันนั้นเป็นความเคยชิน…ข้าชอบดูงิ้ว พูดคุยเรื่องต่างๆ ใช้ชีวิตให้มีความสุขเหมือนเทพเซียนเจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะ
สืออีเหนียงนับถือจากใจจริง
บรรดาคุณนายที่เอาแต่นั่งยิ้มไม่พูดอะไร เกรงว่าหากไปยั่วโมโหพวกนางเข้าจะต้องแย่แน่ๆ
ฟังคำพูดของคุณนายใหญ่สกุลถัง ทั้งว่าคุณหนูสกุลกานทั้งสองรู้จักเอาแต่เล่น ทั้งว่าคุณหนูสกุลหลินไม่รู้เรื่อง ทั้งโจมตีสกุลกาน แล้วยังโจมตีสกุลหลิน…เก่งเกินไปแล้ว