“ไม่ต้องๆ” เสียงของป้าตู้พูดขึ้นเคล้าเสียงหัวเราะดังมาจากด้านนอกของโถงบุปผา “เมื่อครู่นี้คุณหนูเฉียวกำลังดูโคมไฟ จึงเดินช้าหน่อย มาโน่นแล้วเจ้าค่ะ!”
สิ้นเสียงป้าตู้ก็ปรากฎหญิงสาวผู้หนึ่งสีหน้าเรียบเฉยและเหม่อลอยไร้ซึ่งชีวิตชีวาเดินเข้ามา
ผิวที่ขาวดุจหิมะ ใบหน้าสะสวยไร้ที่ติ จะเป็นใครไปได้อีกนอกเสียจากเฉียวเหลียนฝัง
“เหลียนฝัง!” เฉียวฮูหยินแสดงออกด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก “กำลังจะเริ่มทานอาหารแล้ว เจ้าไปไหนมา รีบไปนั่งลงกับพี่น้องเจ้าเร็ว!” แต่แล้วจู่ๆ นางก็เหมือนเห็นอะไรบางอย่างเข้า หน้าตาของนางตื่นตระหนกขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความสับสนไม่เข้าใจ สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที “เหลียนฝัง ทำไมถึงเปลี่ยน…”
“พอได้แล้ว พอได้แล้ว” จู่ๆ ไท่ฮูหยินก็ยิ้มพร้อมกับพูดตัดบทสนทนาของเฉียวฮูหยิน “คนมาถึงก็พอแล้ว เฉียวฮูหยินก็พูดให้น้อยลงหน่อยสักคำสองคำ” จากนั้นก็ได้หันไปยิ้มให้กับเหลียนฝังพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “มานี่มา มานั่งข้างๆ ข้า จะได้ไม่ต้องโดนนางบ่นจุกจิก”
ทุกคนต่างอึ้งไปตามๆ กัน
ต่างก็นึกไม่ถึงเลยว่าเฉียวเหลียนฝังจะได้รับความรักและความเอ็นดูจากไท่ฮูหยินขนาดนี้
บางคนเผยสีหน้าที่อิจฉาออกมา บางคนแสดงออกด้วยสีหน้าที่ริษยา บางคนแสดงสีหน้าประหลาดใจ และบางคนก็แสดงออกด้วยสีหน้าที่สับสน เพียงครู่เดียวก็ตกเป็นเป้าของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนทันที แม้แต่ตัวเฉียวเหลียนฝังเองก็ยังนึกไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ สีหน้าของนางอึ้งไปชั่วขณะ จ้องมองไปยังไท่ฮูหยินและพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
แววตาของเฉียวฮูหยินเต็มไปด้วยความประหลาดใจและดีใจในคราวเดียวกัน นางรีบผลักเฉียวเหลียนฝัง “ยังไม่รีบเข้าไปหาไท่ฮูหยินอีก”
เฉียวเหลียนฝังที่ถูกผลักจึงเซไปเล็กน้อย นางขานรับขึ้นว่า “เจ้าค่ะ” ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงง แล้วเดินไปยังที่นั่งข้างๆ ของไท่ฮูหยิน
ท่ามกลางแสงจากเปลวไฟที่สว่างจ้า สืออีเหนียงสังเกตเห็นว่าชุดกระโปรงของเฉียวเหลียนฝังมีจุดหนึ่งที่สีเข้มกว่าจุดอื่นๆ…
นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
ทางฮูหยินสามเองก็ได้สติขึ้นมา จึงรีบนำเก้าอี้นวมมาวางเพิ่มตรงกลางระหว่างไท่ฮูหยินและหวงฮูหยิน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองเฉียวเหลียนฝัง
เฉียวเหลียนฝังเหมือนเด็กน้อยที่นั่งลงตรงกลางระหว่างฮูหยินทั้งสอง
ไท่ฮูหยินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ยกยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เริ่มทานกันเถิด! นี่ก็สายมากแล้ว อีกประเดี๋ยวทุกคนยังต้องไปดูดอกไม้ไฟอีก!” เมื่อพูดจบก็ลุกขึ้นพร้อมกับยกจอกสุราชูขึ้น “ทุกท่านล้วนเป็นแขกหายาก ข้าขอดื่มจอกนี้แด่พวกท่าน” พูดจบก็ยกจอกสุราขึ้นมาดื่มจนหมด
จากนั้นก็มีฮูหยินหลายท่านลุกขึ้นมาแย่งกันขานรับพร้อมๆ กันจนฟังไม่ได้ศัพท์ ต่างก็ชูจอกสุราขึ้นสูง ยายเฒ่าหลายๆ ท่านเหล่านั้นก็ยกสุราขึ้นมาดื่มตอบ ส่วนเหล่าบรรดาคุณหนูก็ยกจอกสุราหันข้างแล้วจิบเป็นพิธีตามมารยาท ไท่ฮูหยินหัวเราะเบาๆ ด้วยความพึงพอใจพลางจับตะเกียบขึ้นมา
ทุกคนก็จับตะเกียบขึ้นมาเช่นกัน และเริ่มทานอาหาร
คุณหนูถังที่นั่งโต๊ะข้างๆ เอ่ยกับคุณหนูหลินว่า “เจ้าว่า…เมื่อครู่นี้เหลียนฝังไปไหนมา”
สืออีเหนียงที่นั่งอยู่อีกโต๊ะได้ยินบทสนทนาอย่างชัดเจน
คุณหนูหลินหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าไปดูโคมไฟหรอกหรือ”
คุณหนูถังหัวเราะเบาๆ แววตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “โคมไฟดวงใหญ่สีแดงทรงกลมนั่น มีอะไรให้น่ามองกันล่ะ ใต้ชายคาจวนใครต่อใครก็แขวนกันเป็นแถวๆ ทั้งนั้น”
คุณหนูหลินไม่ได้พูดอะไร
คุณหนูถังจึงพูดต่อว่า “นี่เป็นเรื่องที่พูดเอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่แน่บางทีโคมไฟที่จวนสกุลสวีอาจจะพิเศษกว่าที่อื่นก็เป็นได้ ที่แน่ๆ ระเบียงทางเดินของจวนสกุลสวีก็ไม่เหมือนของจวนอื่นแล้ว เดินมาตลอดทางจนชายชุดกระโปรงเปียกปอนไปหมด”
สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
คุณหนูถังผู้นี้สังเกตการณ์ค่อนข้างละเอียด อีกทั้งยัง…เฉลียวฉลาดมากด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม การกล่าวถึงเฉียวเหลียนฝังเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเท่าไรนัก…
นางจึงกระแอมออกมาเบาๆ เตรียมที่จะพูดขัดจังหวะ แต่จู่ๆ คุณหนูเจ็ดสกุลกานก็ได้ตะโกนเรียกบ่าวรับใช้ในห้องโถงเสียงสูงว่า “พี่สาว คุณหนูถังบอกว่าปลาตะลุมพุกอร่อย จึงขอเพิ่มอีกหนึ่งจานเจ้าค่ะ” บทสนทนาจึงถูกขัดจังหวะไป
ผู้คนรอบข้างต่างพากันหันมามองพร้อมกับแอบหัวเราะเบาๆ
คุณหนูถังโกรธจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด หันไปจ้องหน้าคุณหนูเจ็ดสกุลกานตาเขม็ง “เจ้า…”
คุณหนูเจ็ดสกุลกานหัวเราะชอบใจเบาๆ พร้อมกับหันไปขยิบตาให้กับสืออีเหนียง
นางคงคิดว่าคำพูดของคุณหนูถังมันเกินไป จึงได้หาเรื่องตัดบทสนทนานั่นกระมัง
สืออีเหนียงจึงรู้สึกดีกับนางเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ตัวเองอยากจะกินเองแท้ๆ ยังจะมาโยนให้ข้า!” คุณหนูถังยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา “คงเพราะในจวนหยาบกระด้างมากเกินไป…”
“หากน้องสาวข้าอยากจะกิน ก็จะไปขอกับไท่ฮูหยินสกุลสวีเอง” ไม่รอให้คุณหนูถังได้พูดจบ จู่ๆ คุณหนูสามสกุลกานก็ลุกขึ้นยืน หันไปข้างๆ ราวกับว่าจะให้น้องสาวยืนหลบอยู่ข้างหลังนางอย่างไรอย่างนั้น เอ่ยต่อ “ทำไมต้องโยนให้เจ้าด้วย” แสดงสีหน้าท่าทางเอาเรื่องขึ้นมาราวกับจะบอกว่า แตกหักก็แตกหักสิ!
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
นึกไม่ถึงเลยว่าคุณหนูสามของสกุลกานที่มีนิสัยเคร่งครัดกฎเกณฑ์ราวกับคนชราก็ไม่ปานนั้น จะออกหน้าช่วยน้องสาวใส่ร้ายป้ายสีคุณหนูถังอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ และยิ่งนึกไม่ถึงเข้าไปใหญ่เลยว่านางจะออกมาช่วยพูดแทนน้องสาว…
“เจ้า!” คุณหนูถังโมโหจนเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด เตรียมตัวจะลุกขึ้นไปโต้เถียง แต่กลับถูกคุณหนูหลินดึงไว้ก่อน
“เฉาเอ๋อร์!” กานฮูหยินปรามคุณหนูสามด้วยความงุนงงเล็กน้อย “รีบนั่งลงเดี๋ยวนี้ ทำตัวเยี่ยงนี้ เหมาะสมที่ไหนกัน!”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหน้าชา
คนหนึ่งชื่อเฉาเอ๋อร์ อีกคนชื่อหลานถิง ชื่ออันเป็นที่เลื่องลือทั้งสองชื่อนี้ ผู้ใดเป็นคนตั้งให้กัน
หวงฮูหยินกุมขมับพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “เฉาเอ๋อร์ เจ้าอย่าให้ท้ายหลานถิงเช่นนี้ เจ้าดูนางสิ ถูกตามใจจนเคยตัวไปหมดแล้ว…รีบนั่งลงเดี๋ยวนี้ ใช่ว่าจะเป็นเรื่องยากเย็นอะไรเสียหน่อย เรียกเด็กยกปลาตะลุมพุกมาให้คุณหนูถังอีกจานก็สิ้นเรื่องแล้ว!” คุณหนูสามสกุลกานจึงยอมนั่งลงด้วยอารมณ์ที่ขุ่นเคือง
คุณหนูถังกวาดตาจ้องมองไปยังคุณหนูสามสกุลกานด้วยสายตาที่คมดุจใบมีด จากนั้นก็หมุนตัวหันหลังให้กับพี่น้องสกุลกาน แล้วพูดคุยเสียงเบากับคุณหนูหลินเพียงคนเดียวเท่านั้น
คุณหนูสามสกุลกานจ้องไปยังน้องสาวของตัวเองตาเขม็ง พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “หลานถิง ถ้าเจ้ายังทำตัวเช่นนี้อีก ข้าจะกลับไปฟ้องท่านย่าแล้วนะ!” นางพูดขึ้นด้วยอารมณ์ที่ฉุนจัด
พอคุณหนูเจ็ดสกุลกานได้ยินก็ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ “เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง… ทำอะไรไม่ได้ก็จะกลับไปฟ้องผู้ใหญ่ท่าเดียว!”
สือเหนียงยกแขนเสื้อขึ้นมาบังแล้วแอบหัวเราะเบาๆ พร้อมกับมองไปยังสืออีเหนียง
สืออีเหนียงนั่งตัวตรงจัดระเบียบเสื้อผ้าอาภรณ์ เห็นแต่กลับแสร้งว่าไม่เห็น
“พวกเจ้าสองพี่น้องน่าสนใจจริงเชียว!” คุณหนูเจ็ดสกุลกานหันไปมองสือเหนียง และได้หันไปมองสืออีเหนียงเช่นกัน “วันข้างหน้าข้าจะไปเที่ยวหาพวกเจ้า!” คำพูดนี้ชวนให้คุณหนูสามสกุลกานจ้องตาเขม็งขึ้นมาทันที
คุณหนูผู้มีฐานะร่ำรวย ออกมาสักครั้งไม่ง่าย แต่ทว่า ขอเพียงแค่นางออกมา นางก็ควรได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพ เพราะไม่ว่าจะเป็นพี่สาวที่หัวโบราณคร่ำครึ หรือจะเป็นน้องสาวที่หัวไวและละเอียดอ่อน บนเรื่องใหญ่โตนั้นไม่เคยเลอะเลือนสับสน ถือเป็นคนที่สมควรแก่การคบค้าสมาคมอย่างยิ่ง
สืออีเหนียงหัวเราะพร้อมกับพยักหน้าตอบเบาๆ
แต่เมื่อนึกถึงพี่น้องทั้งสามของตนเอง สีหน้าของนางก็มืดมนลงไปในทันที
เมื่อสือเหนียงได้ยินแล้วก็ยิ้มขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “ได้สิ! ข้าจะรอเจ้า”
จากนั้นคุณหนูเจ็ดสกุลกานก็นั่งตัวตรง ตั้งใจทานอาหารต่ออย่างจริงจัง ถือเป็นท่วงท่าอิริยาบถที่สง่างามที่สตรีล้วนพึงมี
บนโต๊ะอาหารของเหล่าบรรดาท่านยายและคุณหนูทั้งหลายก็ได้ยินเพียงเสียงตะเกียบที่กระทบกับถ้วยกระเบื้องเบาๆ ส่วนทางฝั่งเหล่าฮูหยินดูแล้วคึกคักกว่ามาก คนหนึ่งชวนดื่มสุรา อีกคนก็ชวนชิมอาหาร
เฉียวเหลียนฝังยังคงนั่งอยู่ข้างๆ ไท่ฮูหยินตลอดไม่ได้ไปไหน ถูกผู้คนสอดส่องสายตามองมาตลอดเวลาไม่หยุดหย่อน จนรู้สึกเก้อเขินและอึดอัดเป็นอย่างมาก
เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว ทุกคนก็ได้ย้ายไปยังทิศตะวันตกเพื่อร่วมดื่มน้ำชา ไท่ฮูหยินยังคงเรียกเฉียวเหลียนฝังให้มานั่งข้างๆ ท่านเช่นเดิม
หญิงชราที่เป็นบ่าวรับใช้ได้เปิดบานหน้าต่างออก เหล่าบรรดาบ่าวรับใช้ก็พากันนำประทัดและดอกไม้ไฟเล็กใหญ่นานาชนิดวางตามหน้าทางเดินของโถงบุปผาหรือแขวนตามต้นไม้
คุณชายห้าสกุลสวีที่ล้างเครื่องสำอางออกหมดแล้ว ก็ได้พาบ่าวรับใช้มาสี่ห้าคน
เขาหัวเราะเบาๆ พร้อมกับคารวะให้กับเหล่าบรรดาฮูหยิน จากนั้นก็ออกคำสั่งว่า “เริ่มจุดได้” บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาจึงเริ่มนำธูปก้านยาวไปจุดเชือกปลายประทัดและดอกไม้ไฟตามจุดต่างๆ
หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวก็เกิดเป็นเสียง ซือ…ซือ…สั้นและยาวดังขึ้นพร้อมกัน ดอกไม้ไฟก็เกิดประกายแสงกระจายสีแดง เหลือง ฟ้า ขาว เขียว ม่วงออกมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ทางเดินหน้าโถงบุปผาหรือตามต้นไม้กลายเป็นต้นเพลิงและดอกไม้เงินที่ส่องแสงประกายสว่างไสวไปทั่วหล้า
“สวยจัง!” สือเหนียงพึมพำออกมาเบาๆ ขณะที่หันไปมองดอกไม้ไฟหลากสีสัน
ประกายแสงของสีสันที่หลากหลายกระทบลงบนใบหน้าอันงดงามของนาง ประดุจบุปผาที่สดใสกำลังเบ่งบานก็ไม่ปาน
คุณหนูสามสกุลกานยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับน้องสาวของนาง “ปิดจมูกไว้ ระวังควันจะเข้าคอเอา”
คุณหนูเจ็ดสกุลกานรีบรับผ้าเช็ดหน้ามา แล้วจึงหันไปเตือนสือเหนียงและสืออีเหนียงด้วยความหวังดีว่า “ควันไฟมีกลิ่นฉุนที่เป็นอันตราย ห้ามสูดดม”
สืออีเหนียงพยักหน้า แล้วจึงรีบนำผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดจมูกเหมือนเช่นคุณหนูเจ็ดสกุลกาน
สือเหนียงมองดูดอกไม้ไฟเหล่านั้นด้วยรอยยิ้ม “ได้ดมกลิ่นควันไฟเช่นนี้ก็ไม่เลวเสียหน่อย…เกรงว่าต่อไปภายภาคหน้าคิดอยากจะดมก็ดมไม่ได้เสียแล้ว”
สืออีเหนียงราวกับว่าได้เข้าใจอะไรบางอย่าง
จากนั้นก็มีบ่าวรับใช้นำพลุชุดใหญ่ออกมา อาศัยระหว่างที่ดอกไม้ไฟชุดเก่ายังไม่ดับ ก็ได้เริ่มจุดพลุอีกครั้ง
เสียงพลุดัง ปึง ปึง! สนั่นลั่น
พลุทะยานพุ่งสู่ท้องฟ้า การมองเห็นของคนในเรือนถูกบดบัง จึงมองเห็นดอกพลุกระจายเบ่งบานเพียงแค่ครึ่งดวงเท่านั้น
“มองไม่ชัดเลย” หวงฮูหยินลุกขึ้นแล้วเดินไปยังใต้ชายคาของโถงบุปผา
ไท่ฮูหยินหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับลุกขึ้นแล้วได้เชิญชวนทุกคนว่า “พวกเราก็ออกไปดูกันเถิด”
ทุกคนจึงพากันตอบตกลง
ไท่ฮูหยินเอื้อมไปจับมือของเฉียวเหลียนฝัง “ไปเถิด ไปดูพลุเป็นเพื่อนข้า” คำพูดและน้ำเสียงดูอบอุ่นและสนิทสนมเป็นอย่างมาก
เฉียวเหลียนฝังจึงขานตอบรับไปว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ได้ประคองไท่ฮูหยินออกไปยังใต้ชายคาอย่างเชื่อฟัง
คุณหนูเจ็ดสกุลกานได้ดึงมือของสือเหนียง “เราออกไปดูกัน!”
สือเหนียงพยักหน้าตอบรับ
ทั้งคู่จึงพากันกระโดดโลดเต้นออกไปอย่างมีความสุข
คุณหนูสามสกุลกานทอดสายตามองไปยังแผ่นหลังของน้องสาวพร้อมกับถอนหายใจออกมา แล้วจึงหันไปเชิญชวนสืออีเหนียง “พวกเราก็ออกไปดูกันเถิด!”
“ได้สิ!” นางยิ้มแล้วลุกขึ้นพร้อมกับคุณหนูสาม มองเห็นคุณหนูหลินและคุณหนูถังที่พากันจูงมือเดินผ่านพวกนางไป ด้านหลังยังมีอู่เหนียงที่ฝืนยิ้มเจื่อนเดินตามมาด้วย
เมื่อมองเห็นสืออีเหนียงและคุณหนูสามสกุลกาน นางจึงทักทายอย่างสนิทสนมขึ้นว่า “พวกเจ้าออกไปดูพลุกันหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ออกไปดูด้วยกันเถิด!” เมื่อพูดจบ นางก็ได้เดินเข้ามาหา
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย
สังคมบางแวดวงก็ไม่ได้เข้าง่ายขนาดนั้น…
*****
ฮูหยินสามได้ให้บ่าวรับใช้จัดเตรียมเก้าอี้นวมไว้ที่ใต้ชายคาแล้ว เหล่าบรรดาฮูหยินทั้งหลายก็เลือกที่นั่งตามใจชอบ ส่วนคนอื่นๆ ก็ยืนล้อมอยู่รอบๆ บางคนก็กำลังแหงนมองพลุบนท้องฟ้าอย่างชื่นชม บางคนก็จับกลุ่มก้มหน้ากระซิบคุยกัน
จู่ๆ ก็มีสาวใช้นางหนึ่งเดินไปกระซิบอะไรบางอย่างกับเฉียวฮูหยิน
สีหน้าของเฉียวฮูหยินพลันเปลี่ยนเป็นประหลาดใจในทันที นางหันไปมองเฉียวเหลียนฝังที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ ไท่ฮูหยิน เมื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้หันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับหลินฮูหยิน จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินตามสาวใช้คนนั้นกลับไปยังโถงบุปผา
สืออีเหนียงยืนอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกของใต้ชายคา แสร้งว่ากำลังชมพลุไฟ แต่แท้จริงแล้วนางกำลังสังเกตสถานการณ์รอบๆ อย่างตั้งใจต่างหาก
เมื่อเห็นเฉียวฮูหยินเข้าไปในโถงบุปผา สายตาของนางก็ได้สอดส่องมองตามเข้าไปด้วยทันที
เฉียวฮูหยินปลีกตัวจากสาวใช้ข้างกาย จากนั้นก็เดินตามสาวใช้คนนั้นออกไปยังทางทิศตะวันออกของโถงบุปผา
ทางทิศตะวันออกก็คือที่ตั้งของลานสวนเล็ก
ตอนที่เฉียวเหลียนฝังปรากฏตัวขึ้นที่โถงเตี่ยนชวน ‘ลำนำพิณผีผา’ กำลังถูกขับร้องในท่อนจบพอดี ความสนใจของทุกคนจึงถูกดึงดูดไปจนหมดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จากนั้นไท่ฮูหยินก็ปรากฏตัวขึ้น และได้พาเฉียวเหลียนฝังมาแนบชิดข้างกายไว้ตลอด จึงทำให้เฉียวฮูหยินไม่มีโอกาสได้พูดอะไรกับนางสักคำ
ตอนนี้ หยวนเหนียงจึงได้ให้เด็กมาเรียกเฉียวฮูหยินไปเข้าพบ…
ไท่ฮูหยิน ท่านโหว และหยวนเหนียงทั้งสามท่านกำลังคุยเรื่องอะไรอยู่ในเรือนกัน
สืออีเหนียงรู้สึกค่อนข้างเป็นกังวลใจ
เมื่อหันกลับไป ก็มองเห็นเพียงเงาแผ่นหลังของไท่ฮูหยินกำลังหันมองไปยังเฉียวฮูหยินพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ
ท่ามกลางทั้งลานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความวิจิตรงดงาม แต่แววตาของนางกลับมืดมนราวกับค่ำคืนที่มืดสนิทก็ไม่ปาน
เพราะไร้หนทางแล้วหรือ หรือว่ากำลังสิ้นหวังกันนะ
สืออีเหนียงที่กำลังคิดไม่ตก!
นางมองไปยังนายหญิงใหญ่
นายหญิงใหญ่กำลังมองดูพลุไฟบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่เบิกบาน และได้หันไปส่งยิ้มให้กับกานฮูหยินที่อยู่ข้างๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ก็ยังเป็นพลุไฟที่พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้านั้นที่สวยงามที่สุด”
กานฮูหยินไม่ได้สังเกตเห็นเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นรอบข้าง นางหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านอยู่พักต่อที่เยียนจิงอีกสักหน่อยเถิด! เดือนหกเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์ฮ่องเต้ ในทุกๆ ปีมักจะใช้ปืนใหญ่ในการจุดพลุ พลุไฟจะพุ่งสู่ฟากฟ้าไม่หยุด มองเห็นได้ทั้งเมืองเยียนจิงเลยเชียว ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งในใต้หล้านี้”
นายหญิงใหญ่พยักหน้าเบาๆ “ที่เรือนข้าก็ไม่ได้มีเรื่องอื่นอันใด ข้าเองก็ได้วางแผนมาพักที่เยียนจิงสักระยะหนึ่ง บุตรสาวทั้งหลายของข้าจะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง มิเช่นนั้นในอนาคตภายภาคหน้าเมื่อได้ประสบพบเจออะไรเข้าก็จะขลาดกลัวเอาได้…”
กานฮูหยินเองก็รู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “เป็นหญิงสตรี ได้มีโอกาสเดินทางท่องไปทั่วทุกหนแห่ง พบเจอเรื่องราวมากมายข้างนอกนั่น วันข้างหน้ากระทำการใดจะได้ความคิดอ่านกว้างขวาง!”
“นั่นคือเหตุผลเลย…”
ช่างเป็นบทสนทนาที่ดูแล้วเข้ากันเป็นอย่างดี