“ไม่ได้สนิทมากเท่าไรนัก” นายหญิงสามตอบกลับ “แต่ว่าอาจารย์ที่พวกเขาเชิญมาสอนที่จวนนั้นเป็นหลานชายของทางฝั่งบิดา แซ่จ้าว การศึกษาดีมาก เพราะเหตุนี้ข้าถึงได้พาลูกๆ ไป จะว่าไปแล้ว บ้านสกุลถังเป็นคนชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่น ไม่น่าคบค้าสมาคมเท่าไรนัก จริงๆ แล้วอาจารย์จ้าวเองก็เพราะเห็นแก่เพื่อนของเขาถึงได้ยอมมา เห็นว่าจะลาออกเมื่อสอนจบแล้ว ข้าได้ยินมาว่าค่าเล่าเรียนเพียงสิบห้าตำลึงต่อปีเท่านั้น เสื้อผ้าอาภรณ์สี่ชุดต่อสี่ฤดู ให้สาวใช้ตามปรนนิบัติหนึ่งคน ข้ายังจะเตรียมปรึกษานายท่านอยู่เลย ค่าใช้จ่ายเท่านี้เรายังพอรับผิดชอบไหว ไม่อย่างนั้นก็เชิญมาสอนตำราที่บ้านเลย ให้สอนไคเกอกับอวี้เกอโดยเฉพาะ”
นายหญิงใหญ่รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก “ค่าเล่าเรียนสิบห้าตำลึง เสื้อผ้าสี่ชุดต่อสี่ฤดู สาวใช้ติดตามหนึ่งคน นี่มันช่าง…” พูดไม่ทันจบก็หันไปเอ่ยกับนายหญิงสามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “น้องหญิงสาม นี่เป็นความคิดที่ดี หากเป็นเช่นนี้จริงๆ สู้เชิญมาสอนที่เรือนเราดีกว่า เรื่องอะไรก็ประมาทได้ แต่เรื่องการศึกษาของบุตรจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด จะว่าไปแล้ว เราไม่ได้แยกสกุลเสียหน่อย เงินส่วนนี้ไปเบิกกับส่วนกลางเถิด!”
นายหญิงสามอึ้งไปชั่วขณะ รีบพูดขึ้นว่า “จะทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน…”
นายหญิงใหญ่จึงกุมมือของนายหญิงสามเอาไว้ “คนบ้านเดียวกันอย่าพูดเป็นสองบ้าน” จากนั้นก็พูดต่อว่า “อาจารย์จ้าวต้องการที่จะลาออกเช่นนี้ คิดว่าคงจะมีความไม่พอใจในเจ้าบ้านไม่น้อย ข้าดูแล้ว สู้เราเพิ่มค่าเล่าเรียนเป็นปีละยี่สิบตำลึง เสื้อผ้าเป็นแปดชุดต่อสี่ฤดู สาวใช้ติดตามหนึ่งคน ข้ายังมีลานสวนอีกหนึ่งที่ สู้เอามาให้อาจารย์ใช้สอนดีกว่า”
นายหญิงสามต้องการที่จะปฏิเสธ แต่นายหญิงใหญ่กลับยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าเป็นสะใภ้ใหญ่ เจ้าควรฟังข้า” บ้านสกุลหลิวล่มสลายในเวลานี้ นายหญิงสามเป็นคนที่อ่อนไหวกว่าคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรู้สึกหรือเรื่องอื่นๆ สิ่งที่นายหญิงใหญ่รับปากไป ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตเหลือบ่ากว่าแรงแต่อย่างใด และไม่ใช่ว่านายท่านสามจะแบกรับไม่ไหว เพียงแต่ว่าคำพูดเหล่านี้ของนายหญิงใหญ่ทำให้นายหญิงสามรู้สึกตื้นตันเป็นอย่างมาก
นางจึงกุมมือของนายหญิงใหญ่ไว้ น้ำตาคลอเบ้า พยักหน้าลงช้าๆ
นายหญิงใหญ่หันไปมองอู่เหนียง สือเหนียงและสืออีเหนียงที่นั่งเงียบอยู่ตรงข้าม ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ผู้ใหญ่อย่างพวกข้าก็พูดคุยถึงแต่เรื่องในบ้านในเรือน หากพวกเจ้าฟังแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย ที่หลังเรือนของอาสะใภ้สามของพวกเจ้ามีต้นแพร์อยู่สองต้น ตอนนี้คงจะเริ่มผลิดอกแล้ว ให้คนใช้พาพวกเจ้าไปเดินเล่นที่ลานสวนสักหน่อย จะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัด”
นายหญิงสามฟังน้ำเสียงออก รู้ว่านายหญิงใหญ่ตั้งใจจะให้บุตรสาวออกไปก่อน เพื่อที่จะได้คุยกันเป็นการส่วนตัว นายหญิงสามจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไปนั่งดื่มชาใต้ต้นแพร์สบายกว่า!” จากนั้นก็ได้ให้บ่าวรับใช้คนสนิทพาทุกคนออกไปเดินเล่น
คุณหนูทั้งสามจึงเดินเข้ามา ย่อตัวทำความเคารพนายหญิงใหญ่และนายหญิงสาม จากนั้นก็ได้เดินตามคนใช้ไปยังลานสวนเล็ก
นายหญิงใหญ่จึงได้ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หันไปมองนายหญิงสามด้วยสีหน้าที่ขมขื่น “ทั้งสามโตกันหมดแล้ว มีเรื่องให้เป็นกังวลใจไม่หวาดไม่หวั่น”
นายหญิงสามหันไปส่งสายตาให้กับสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ สาวใช้จึงได้รีบถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ
จากนั้นนางจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “รอให้พวกนางได้เป็นแม่คนแล้ว ก็จะเข้าใจในความลำบากของท่านเองโดยปริยาย”
“ข้าเองก็หวังว่าจะมีวันนั้น” นายหญิงใหญ่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย จากนั้นก็ได้ยืดตัวตรง หันไปถามนายหญิงสามว่า “ใช่แล้ว เจ้ารู้จักคุณชายบ้านไหนที่พอจะเหมาะสมบ้าง จะว่าไป อู่เหนียงและสือเหนียงอายุไม่น้อยแล้ว ท่านเองก็รู้ดี พวกนางล้วนเป็นบุตรสาวอนุ คนที่เรามองแล้วถูกใจ ใช่ว่าเขาจะพอใจเราเสียหน่อย นี่คือเรื่องที่ข้ากลุ้มใจเป็นอย่างมาก”
ที่แท้แล้วก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง!
นายหญิงสามเคยได้ยินข่าวลือตอนไว้ทุกข์ที่อวี๋หัง…นางจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หากเป็นเมื่อก่อน ถ้าถามท่านแม่ ก็จะได้คนที่เหมาะสมมาหลายคน แต่ตอนนี้…” สีหน้าและแววตาของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ดูข้าสิ พูดไปพูดมา ก็วนไปทำเจ้าเสียใจอีกจนได้” นายหญิงใหญ่กล่าวโทษตัวเอง
“ไม่ได้เกี่ยวกับพี่สะใภ้ใหญ่เลย” นายหญิงสามดวงตาแดงก่ำขึ้นมาทันที
นายหญิงใหญ่ปลอบใจนายหญิงสามอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วจึงย้อนกลับมาคุยเรื่องเดิม “เรื่องอื่นข้าเองก็ไม่กล้าขอมากมาย ขอเพียงแค่ร่างกายสมบูรณ์จิตใจมีคุณธรรม ตระกูลขาวสะอาดก็เพียงพอแล้ว!”
นายหญิงสามได้ยินนางบ่นพึมพำไม่ขาดหาย จึงได้พูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ใหญ่วางใจเถิด ข้าจะช่วยดูอีกแรง”
นายหญิงใหญ่จึงพยักหน้าเบาๆ และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “คุณชายทั้งสองเลิกเรียนกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
นายหญิงสามยิ้มกว้างเต็มใบหน้า “รีบเข้ามา ป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเขามาแล้ว”
นายหญิงใหญ่เห็นสถานการณ์ ก็รู้ว่าเรื่องที่ตนได้ขอร้องไว้คงจะล้มเหลวแล้ว
*****
เมื่อออกจากเรือนของนายหญิงสาม สีหน้าของนายหญิงใหญ่ก็เต็มไปด้วยความสับสน
หลัวเจิ้นซิ่งมองเห็นทุกอย่าง
เมื่อกลับไปถึงเรือนแล้ว เขาจึงได้ไปคุยกับท่านแม่เป็นการส่วนตัว “…ทำไมวันนี้จู่ๆ ท่านแม่ถึงอยากจะไปที่วัดฮู่กั๋วล่ะขอรับ แล้วจู่ๆ ทำไมถึงไปที่เรือนของท่านอาสามอย่างไม่กลัวเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้”
นายท่านใหญ่ออกจากบ้านแต่เช้ายังไม่กลับมา บวกกับเรื่องที่ไปไหว้วานนายหญิงสามก็ไม่เป็นไปตามที่หวัง นางจึงไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก และก็อยากที่จะคุยกับคนอื่นเพื่อที่จะได้ระบายบ้าง จึงได้เล่าเรื่องนี้ให้บุตรชายฟัง “…หากว่าเรื่องของสืออีเหนียงสำเร็จลุล่วง อู่เหนียงและสือเหนียงก็ต้องรีบแต่งงานออกเรือนไปโดยเร็ว ข้าเห็นว่าเจียงฮูหยินเองก็พึงพอใจไม่น้อย แต่อีกหนึ่งคนที่เหลือเล่า”
หลัวเจิ้นซิ่งเคยได้ยินภรรยาของเขาเล่ามาบ้าง ตอนนั้นเขารู้สึกว่าเป็นเพียงคำพูดที่ไร้สาระของผู้หญิงก็เท่านั้น แต่ตอนนี้พอได้ยินท่านแม่ของตนเป็นคนพูด ก็อดไม่ได้ที่จะเคร่งขรึมขึ้นมา “ท่านแม่ พี่หญิงใหญ่ยังดีๆ อยู่เลย ทำไมท่านถึง…ท่านอยากจะทำให้คนอื่นเสียใจหรืออย่างไรกัน”
“เจ้าจะไปรู้อะไร” เมื่อนายหญิงใหญ่เห็นว่าบุตรชายที่กตัญญูมาโดยตลอดจู่ๆ ก็กล้ามาติติงเถียงนาง จึงนึกในใจว่าหากบุตรสาวล้วนแต่งงานออกเรือนไปหมดแล้ว หลานๆ ก็ยังมีน้าชายคนนี้คอยค้ำจุน แต่หากบุตรชายของตนเกิดความไม่พอใจขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ไม่ดีแน่ และได้นึกขึ้นว่า ไม่แน่บางทีบุตรชายของตนอาจจะรับรู้ถึงความยากลำบากเพราะเรื่องนี้ก็เป็นได้ จึงพูดขึ้นว่า “แขกกลับไปแล้ว น้ำชาก็เย็นเฉียบ คนตายไปแล้ว ไฟตะเกียงก็มอดดับ ถึงแม้ท่านโหวจะหวนนึกถึงเรื่องราวของวันคืนที่ผ่านมา แต่การที่เห็นคนใหม่มายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้ทุกวัน แม้จะเป็นถึงเหล็กกล้าก็อ่อนยวบได้ ถึงเวลานั้น ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเล่า ตอนนี้ไม่รีบเตรียมการไว้ล่วงหน้า จะรอให้จุนเกอเกิดเรื่องขึ้นแล้วค่อยมาหาทางแก้อย่างนั้นหรือ เจ้าอย่าได้ลืมไป เหนือเขายังมีท่านย่า ด้านล่างยังมีบิดาของเขา ไม่ว่าเราจะสนิทแค่ไหน ก็ยังเป็นคนนอกอยู่ดี แม้จะมีใจ ถึงเวลานั้นก็ไม่ทันการแล้ว”
“ท่านโหวไม่ใช่คนเช่นนั้น!” หลัวเจิ้นซิ่งจึงได้เล่าเรื่องที่สวีลิ่งอี๋ได้ไปไหว้วานท่านผู้อาวุโสของสำนักศึกษาให้ท่านแม่ของเขาฟัง “เขาสามารถที่จะชื่นชมข้าต่อหน้า แต่เขากลับไม่เคยบอกเรื่องนี้กับข้าเลย! หากไม่ใช่เพราะท่านผู้อาวุโสพูดถึงต่อหน้าข้า ข้าคงจะไม่รู้ไปชั่วชีวิต”
“ท่านโหวเป็นคนแบบไหน เจ้ารู้ดีแก่ใจที่สุด!” นายหญิงใหญ่ไม่ได้คิดเช่นนั้น “ช่วงที่ผ่านมานี้ข้ายุ่งไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน จึงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเจ้า ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ค่อยเหมือนตอนที่อยู่อวี๋หัง เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่”
หลัวเจิ้นซิ่งรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าท่านแม่ของเขาจะพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา และไม่อาจเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของนาง
“เป็นเพราะหลังจากที่เข้าเรียนที่สำนักศึกษาแล้ว ก็รู้สึกว่าเมื่อก่อนตัวเองนั้นเป็นเพียงแค่กบที่อยู่ก้นบ่อใช่หรือไม่” นายหญิงใหญ่ไม่รอให้บุตรชายของตนได้ตอบ ก็ได้หัวเราะขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “สิ่งที่เจ้าต้องเรียนรู้ยังมีอีกมากมาย ท่านโหวไปทักทายกับทางสำนักศึกษาให้เจ้า หากเจ้าเป็นผู้อาวุโสท่านนั้น เจ้าก็คงจะไม่ค้าขายกับความรู้สึกของคนกระมัง”
หลัวเจิ้นซิ่งสีหน้าซีดเผือด นึกถึงตอนที่ตนพึ่งเข้าสำนักศึกษา เจียมเนื้อเจียมตัวอ่อนน้อมถ่อมตนและมีมารยาท เมื่อมีใครถามถึงครอบครัวของเขา เขามักจะตอบกลับอย่างคลุมเครือเสมอ แต่สุดท้ายก็โดนทุกคนดูถูกและหัวเราะเยาะ หลังจากนั้นเขาก็ได้เปิดเผยความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องระหว่างเขากับจวนหย่งผิงโหว ทุกคนก็เปลี่ยนมาสนิทสนมกับเขาโดยทันที…ทำให้เขารู้ซึ้งถึงการประจบประแจงของผู้คนอย่างถ่องแท้
นายหญิงใหญ่เห็นว่าบุตรชายตนไม่ได้พูดอะไรออกมา ก็รู้ได้ทันทีว่าคำพูดของตนเป็นผล นางจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำกับเขาช้าๆ ว่า “ท่านโหวผู้นี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นคนเก่งที่หายากยิ่ง แต่กลับเป็นคนใจอ่อนหูเบาเชื่อคนอื่นง่าย เปราะบางและขลาดกลัว ลังเลไม่เด็ดขาด อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แค่ตอนที่พี่หญิงใหญ่ของเจ้าแต่งเข้าไป อยากแยกจวนออกมาใช้ชีวิตต่างหาก ท่านโหวรับปากต่อหน้าพี่เจ้าอย่างดิบดี แต่พอไปถึงหน้าไท่ฮูหยิน ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ พอพี่เจ้าคับข้องใจขึ้นมา เขาก็เปลี่ยนไปอีก บอกว่าจะไปคุยกับไท่ฮูหยินเร็วๆ นี้ เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง พอตอนหลังเมื่อได้รับตำแหน่งบรรดาศักดิ์ ยิ่งทำให้พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเหนื่อยใจเข้าไปใหญ่…
…ท่านโหวเป็นพี่น้องของฮองเฮา ตามกฎหมายแล้ว ควรจะได้รับการแต่งตั้งราชทินนาม แต่เพราะกลัวว่าจะส่อพิรุธ กลัวว่าฮ่องเต้จะทรงสงสัยและไม่สบายพระทัย จึงได้ขอออกจากตำแหน่งในที่สุด เจ้าว่า…มันมีอะไรให้น่ากลัวกัน ทั้งราชสำนักจะมีเขาเป็นกั๋วจิ้วคนเดียวหรืออย่างไร หรือกั๋วจิ้วทุกคนที่ได้รับตำแหน่งจะมีอันเป็นไปหมดอย่างนั้นหรือ อ๋อ…ความสัมพันธ์อย่างอื่นไม่เคยกลัว กลัวก็แต่เขาคนเดียวนี่แหละ! เพื่อเรื่องนี้แล้ว พี่หญิงใหญ่ของเจ้าจึงทนไม่หาเรื่องทะเลาะกับเขา” นายหญิงใหญ่อารมณ์ฉุนขึ้นมาทันที
“ภายหลังเมื่อปราบปรามกบฏทางตอนเหนือได้แล้ว ฮ่องเต้ก็ได้ทรงกล่าวถึงเรื่องแต่งตั้งราชทินนามให้กับท่านโหวอีกครั้ง…
…ตอนนั้น อวี้เกอได้สำเร็จการศึกษาขั้นสูง ทุกคนล้วนชื่นชมความฉลาดหลักแหลมของเขา ส่วนจุนเกอยังเด็กมาก อีกทั้งยังเป็นโรคขาดสารอาหาร ทุกคนในตระกูลจึงมีความคิดที่ว่า ‘วันข้างหน้าตระกูลเราคงต้องพึ่งพาอวี้เกอแล้ว’ บางคนเลอะเลือน ถึงขั้นไปหาฉินอี๋เหนียงเพื่อเอาใจประจบสอพลอ พี่หญิงใหญ่ของเจ้าจึงมีความคิดที่จะให้จุนเกอไปเป็นบุตรบุญธรรมภายใต้ในนามของอนุ แต่เรื่องนี้หนึ่งคือจะต้องให้ไท่ฮูหยินและฮูหยินรองอนุญาต สองคือต้องได้การยอมรับจากครอบครัวด้วย เรื่องนี้จึงเป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก ในขณะที่กำลังเศร้าสร้อย ต่อมาท่านโหวก็ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งบรรดาศักดิ์ ในใจนางรู้สึกดีใจแค่ไหน วาดหวังไว้ว่าตำแหน่งบรรดาศักดิ์นี้ก็จะเก็บไว้ให้อวี้เกอแล้ว หนึ่งเพื่อคลี่คลายภัยของจุนเกอ สองคือพี่หญิงใหญ่ของเจ้าก็จะได้หน้าไปด้วย ใครจะไปล่วงรู้ว่าท่านโหวจู่ๆ ก็มาสละตำแหน่งไป สละตำแหน่งแล้วก็ไม่บอกกล่าว ไม่ปรึกษาพี่หญิงใหญ่ของเจ้าแม้แต่คำเดียว พี่หญิงใหญ่ของเจ้ารู้เรื่องนี้จากปากคนอื่นเสียด้วยซ้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ พี่หญิงใหญ่ของเจ้าก็โกรธจน…ตั้งแต่นั้นมาก็ได้โรคไอจนเป็นเลือดมาโดยตลอด”
นายหญิงใหญ่พูดพลางน้ำตาไหลอย่างอดเสียไม่ได้
“ท่านโหวไม่เคยที่จะนึกถึงจิตใจของพี่หญิงใหญ่ของเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว ตำแหน่งศักดินาของญาติทางฝั่งภรรยา บทไม่มีก็ไม่มีอีกแล้ว แต่ตำแหน่งนี้ได้มาจากความดีความชอบในการศึกสงคราม เป็นตำแหน่งที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เจ้าลองคิดดูสิ นี่ขนาดพี่หญิงใหญ่ของเจ้ายังอยู่แท้ๆ ยังเป็นเช่นนี้ หากวันหนึ่งไม่อยู่ขึ้นมา แล้วยังจะหลงเหลือหนทางให้จุนเกออีกหรือ เจ้าอย่าได้ลืมอย่างเด็ดขาด บ้านสกุลสวีให้พี่เขยของเจ้ามีลูกมากแค่ไหน แต่มีแค่จุนเกอคนเดียวที่เป็นสายเลือดของพี่หญิงใหญ่ของเจ้า มีเพียงเขาและเจ้าเท่านั้นที่แม้ว่าจะถูกทุบจนกระดูกแตกหัก แต่ก็ยังหลงเหลือเส้นเอ็นที่ยังผูกติดกันอยู่!”
หลัวเจิ้นซิ่งฟังแล้วก็รู้สึกสับสนงุนงงเป็นอย่างมาก “แต่ข้าได้ยินคนอื่นเล่ามาว่า ตอนที่ท่านโหวปราบเหมียวหมาน ชาวเหมียวแสร้งว่ายอมแพ้ และยังได้เสนอจะมอบผ้าไหมและหญิงงามเป็นของบรรณาการ แต่ท่านโหวไม่ไหวหวั่น เขาเด็ดขาดอย่างไม่ลังเล บั่นคอของผู้นำเหมียวหมานทันที จนทำให้เรื่องเท็จกลายเป็นจริง จึงเป็นดังคำที่ว่ารบเจ็ดครั้งชนะเจ็ดครั้ง ปราบเหมียวหมานจนราบคาบ…และทำไมถึงไปเป็น ‘คนใจอ่อนหูเบาเชื่อคนอื่นง่าย เปราะบางและขลาดกลัว ลังเลไม่เด็ดขาด’ ได้อย่างไรกัน ท่านฟังผิดมาหรือไม่”
“เจ้ารู้อะไรบ้าง” นายหญิงใหญ่หัวเราะอย่างเย็นชา “ตอนที่ท่านโหวคนก่อนสนับสนุนฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ พูดได้ว่าเพื่อที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับตระกูล มิเช่นนั้น ตระกูลหยางโจวเหวินจะติดต่อและให้ความร่วมมือกับทางจวนโหวได้อย่างไรกัน หลังจากที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ทรงประสงค์ที่จะเทิดพระเกียรติให้กับฮองเฮามาโดยตลอด ทรงเพ่งเล็งมหาบัณฑิตหลายคนที่กระทำการต่อต้าน แล้วทรงให้ท่านโหวที่ไม่เคยนำทัพมาและไม่เคยทำการศึกสงครามมาก่อนขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้สยบเผ่าหมาน ทางฝั่งกรมกลาโหมเข้าใจถึงพระประสงค์ของฮ่องเต้ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าการศึกครั้งนี้จะได้ทั้งเสบียงอาหารและกองกำลัง ตราบใดที่รบชนะ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถหนีจากการสักการะตำแหน่งท่านโหวได้ ดังนั้น แม่ทัพใหญ่หรือพลทหารที่มีชื่อเสียงทั้งหมดในเวลานั้นจึงได้ปฏิบัติภารกิจภายใต้อำนาจคำสั่งของท่านโหว การศึกเช่นนี้หากเขายังไม่สามารถรบชนะได้ ก็ไม่เอาถ่านเกินไปแล้ว!”
หลัวเจิ้นซิ่งพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
มีแม่ทัพใหญ่มากมายที่มีชื่อเสียงมาอยู่ภายใต้อำนาจคำสั่ง และการที่จะทำให้พวกเขาเหล่านั้นฟังคำสั่ง คงไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกกระมัง
แต่คำพูดเหล่านี้ ถึงจะพูดไปท่านแม่ก็คงจะไม่เข้าใจหรอก…