ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 61 ฝากฝังบุตรกำพร้า

ตอนที่ 61 ฝากฝังบุตรกำพร้า

ไท่ฮูหยินรีบเข้าไปลูบหลังช่วยให้นางหายใจคล่องขึ้น

ผ่านไปครู่หนึ่ง หยวนเหนียงจึงค่อยหยุดไอ

เมื่อคลายมือออกมา ฝ่ามือก็เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด

นายหญิงใหญ่เห็นแล้วก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา รีบเรียกสาวใช้ให้มาช่วยหยวนเหนียงทำความสะอาด และคอยพูดปลอบใจนางไม่หยุด “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เจ้าเพียงแค่เศร้าโศกข้างในใจ ตอนนี้อ้วกออกมาแล้ว อีกเดียวก็จะดีขึ้น”

หยวนเหนียงมองไปยังเลือดที่กลางอุ้งมือ น้ำตาเอ่อล้นลงมาจากหางตา

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” ไท่ฮูหยินเริ่มจะปลอบนางอย่างใจเย็นไม่ไหว “เจ้าแค่โศกเศร้าในใจ อ้วกออกมาก็ไม่เป็นไรแล้ว”

เหล่าสาวใช้ที่กระฉับกระเฉงว่องไวได้ตักน้ำเข้ามา คุกเข่าถือกะละมังทองแดงไว้ ปลดกำไลของนางออกอย่างระมัดระวัง และได้ช่วยนางล้างมือจนสะอาดอย่างเบามือที่สุด

สาวใช้คนสนิทของหยวนเหนียงยกน้ำชามาป้อนให้นางด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า “ฮูหยิน ท่านล้างปากเสียหน่อยนะเจ้าคะ!”

หยวนเหนียงก็ได้อยู่นิ่งๆ ให้นางเข้ามาป้อน และให้นางประคองเอนตัวนอนลง

มองดูสะใภ้ที่ไม่มีความโกรธเลยแม้แต่นิด ไท่ฮูหยินอดรู้สึกปวดใจขึ้นมาไม่ได้ นึกถึงตอนที่นางพึ่งแต่งเข้ามาที่นี่แรกๆ

ใบหน้าที่เล็กเรียวประดุจหยกเนื้อดี แววตาที่มองผู้คนสดใสชัดเจน ตอนที่เจ้าหนูสี่จ้องมองนางนั้น แววตาของนางก็จะปรากฏสายตาที่ดีอกดีใจ มันเริ่มตั้งต้นตั้งแต่เมื่อไรกัน ประกายแววตาแบบนั้นถึงได้หายไป ตอนที่แท้งลูกไป ถึงแม้ว่านางจะเสียใจ แต่กลับเป็นคนไปปลอบใจเจ้าหนูสี่ ตอนที่รับสะใภ้เหวินเข้ามา แม้ว่านางจะไม่ชอบใจเท่าไรนัก แต่บางครั้งนางยังมองเจ้าหนูสี่ด้วยสายตาที่หยอกล้อ บอกว่าวันข้างหน้านางอาจจะมีบุตรยาก ถึงแม้นางจะเจ็บปวด แต่กลับมุ่งมั่นดุจต้นหญ้าที่ลู่ลม เมื่อใดกันนะ

รู้สึกว่าจะเป็นช่วงหลังจากที่อี๋เจินย้ายเข้ามาที่เรือนเสาหวา…หลังจากที่อานเอ๋อร์เสียแล้ว อี๋เจินก็พักอยู่ที่เรือนหลักมาโดยตลอด หลายต่อหลายครั้งที่นางขอย้ายไปที่เรือนเสาหวา แต่ก็ถูกเจ้าหนูสี่รั้งไว้ตลอด หลังจากนั้นก็ได้ให้คนมาดูฮวงจุ้ยให้นาง คนที่มาดูฮวงจุ้ยบอกว่าที่พักที่หยวนเหนียงพักอยู่นั้นไม่เหมาะกับดวงชะตาของนาง ฉะนั้นจึงมีบุตรยาก ยังได้กำชับนางอีกด้วยว่าควรอาศัยอยู่ในตำแหน่งดินทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จึงจะสามารถมีบุตรชายมาสืบทอดสกุลได้…ตำแหน่งดินทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจวนสกุลสวีก็คือตำแหน่งของเรือนหลัก อี๋เจินได้ยินแล้วก็ยืนกรานที่จะย้ายออก หลังจากนั้น เวลาที่ทั้งคู่ได้อยู่ร่วมกันนั้นก็เริ่มน้อยลง และหลังจากนั้น เจ้าหนูสี่ก็ได้ไปออกรบ ทั้งคู่จึงไม่ได้คุยกันอีกเลย!

ไท่ฮูหยินน้ำตาซึมขึ้นมา มองลี่ว์เอ้อร์ปรนนิบัติหยวนเหนียงเรียบร้อยแล้วจึงได้ถอยออกไป แต่แล้วจู่ๆ หยวนเหนียงก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่ง นางจับแขนของไท่ฮูหยินไว้แน่น ราวกับจับขอนไม้ที่จะช่วยให้รอดชีวิตก็ไม่ปาน “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าทิ้งจุนเกอไปไม่ได้ ข้าจะทิ้งจุนเกอไว้ไม่ได้เด็ดขาด…ท่านช่วยจุนเกอของข้าด้วย…ท่านยังจำได้หรือไม่ ท่านหมอเคยบอกว่าข้าจะไม่สามารถมีบุตรได้อีก แต่ข้าไม่เชื่อ ท่านเองก็ไม่เชื่อ และได้ตามหายากับหมอไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นหมอจีนพเนจรแบบไหนท่านก็ยอมลดเกียรติเพื่อไปถามหายารักษา ไม่ว่าจะเป็นคางคกแมงป่องข้าก็เคยนำมาลองใช้รักษาจนหมด กว่าจะท้องจุนเกอได้ไม่ง่ายเลย ท่านยังพาข้าไปกราบขอบพระคุณพระโพธิสัตว์ที่วัด ยามค่ำคืนของวัดค่อนข้างหนาวเย็น ท่านกลัวว่าข้าจะทนหนาวไม่ไหว จึงได้กอดเท้าของข้าไว้ในอ้อมแขนท่าน…”

ไท่ฮูหยินอดกลั้นต่อไปไม่ไหว น้ำตาจึงได้ล้นทะลักออกมาไม่หยุด

นึกถึงบุตรชายคนโตของตนที่อายุสั้น จากไปตั้งแต่ตอนเยาว์วัย บุตรชายคนรองก็จากไปโดยที่ไม่หลงเหลืออะไรไว้เลย จุนเกอเป็นบุตรชายแท้ๆ ของหยวนเหนียง และยังเป็นหลานแท้ๆ ที่ตัวนางเองเอ็นดูที่สุด!

“เจ้าวางใจเถิด เจ้าวางใจได้ ข้าจะช่วยเจ้าดูเอง เลี้ยงดูอยู่ข้างกายข้า” ไท่ฮูหยินปิดหน้าร้องไห้ออกมา

แต่แล้วจู่ๆ หยวนเหนียงก็อุทานขึ้นว่า “อ๊ะ ท่านแม่ ทำไมจู่ๆ ฟ้าก็มืดไปเช่นนี้” หยวนเหนียงพูดขึ้นพลางยื่นมือควานหาไปทั่ว “ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านอยู่ที่ไหน…”

ไท่ฮูหยินจะรีบไปกุมมือของลูกสะใภ้ แต่กลับมีใครเข้ามากุมมือของหยวนเหนียงไว้ก่อน “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เจ้านอนพักผ่อนดีๆ ทุกอย่างก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”

น้ำเสียงที่อบอุ่นมั่นคงที่ฟังดูแล้วสุขุมและมีพลัง จึงทำให้หยวนเหนียงสงบลงในทันที

“ท่านโหว ท่านโหว…” หยวนเหนียงกุมมือที่อบอุ่นนั้นไว้แน่น แต่กลับไม่รู้เลยว่าตนเองนั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแค่ไหน

“ข้าเอง” น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋สงบสุขุมเหมือนเช่นที่ผ่านมา ซึ่งหาความแตกต่างของน้ำเสียงนั้นไม่ได้เลย

ไท่ฮูหยินจึงรีบลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะหลีกทางให้บุตรชายของตนได้นั่ง จากนั้นก็ได้สั่งให้สาวใช้ไปนำซุปผ่อนคลายจิตใจมา

สวีลิ่งอี๋รับถ้วยซุปด้วยตนเอง แล้วจึงพูดขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า “ยาหม้อต้มเสร็จแล้ว ดื่มเสร็จก็พักผ่อนเสียหน่อย พอตื่นแล้วก็จะดีขึ้น!”

หยวนเหนียงไม่ได้พูดอะไรออกมา และยอมให้สวีลิ่งอี๋ป้อนยาแต่โดยดี

สวีลิ่งอี๋ช่วยประคองหยวนเหนียงเอนตัวนอนลง ช่วยนางห่มผ้าห่ม จากนั้นก็ได้ลุกขึ้นยืน แต่หยวนเหนียงกลับจับชายแขนเสื้อของเขาไว้ “ท่านโหว ข้ากำลังจะตายแล้วใช่หรือไม่…”

สวีลิ่งอี๋ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าพักผ่อนดีๆ เถิด อย่ากังวลใจไปเลย”

“ข้ารู้ว่าข้าอยู่ต่อได้อีกไม่นานแล้ว” แววตาของนางเต็มไปด้วยความว่างเปล่า น้ำเสียงสงบนิ่งไร้ซึ่งชีวิตชีวา “ข้าและท่านเป็นสามีภรรยาที่เคียงคู่กันมา ข้ามีเรื่องที่จะขอร้องท่าน…”

“เจ้าว่ามา” สวีลิ่งอี๋หรี่ตามองลงมา

“หากข้าจากไปแล้ว ท่านเลือกน้องสาวของข้าสักคนมาแต่งงานเป็นภรรยาคนต่อไปนะเจ้าคะ!”

ทุกคนต่างอึ้งไปตามๆ กัน เหล่าบรรดาสาวใช้ยิ่งไม่กล้าส่งเสียงเข้าไปใหญ่ บรรยากาศในห้องหนักอึ้งราวกับกำลังจมอยู่ใต้น้ำก็ไม่ปาน

สวีลิ่งอี๋มองเหล่าบรรดาสะใภ้ สาวใช้ และแม่เฒ่าในห้องที่ต่างก็เงียบสนิท เขาจึงตอบกลับด้วยสีหน้าแววตาที่เคร่งขรึมว่า “ได้!”

หยวนเหนียงหันหน้าเอียงข้างเล็กน้อย แววตาที่ไร้ซึ่งจุดมุ่งหมายกวาดตาไปทั่ว

“ข้าให้สัญญากับเจ้าแล้ว” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้าพักผ่อนดีๆ เถิด!”

ไท่ฮูหยินมองไปยังสีหน้าที่สงบของหยวนเหนียง ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จู่ๆ ก็มีใบหน้าของสืออีเหนียงที่สีหน้าสงบเยือกเย็นผุดขึ้นมาในหัว

หยวนเหนียงลืมตาคู่โตขึ้น พยายามมองหาสวีลิ่งอี๋

สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้พูดขึ้นว่า “เจ้าวางใจเถิด เรื่องนี้ข้าจะต้องไปปรึกษากับทางแม่ยายอย่างแน่นอน”

หยวนเหนียงได้ยินแล้ว จึงค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ

สวีลิ่งอี๋เข้าใจอย่างชัดเจน เขาถอนลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วหันไปสั่งกับป้าเถาว่า “เจ้าสั่งคนไปที่ตรอกกงเสียน เชิญนายหญิงใหญ่สกุลหลัวมาหน่อย”

ป้าเถาขานรับแล้วจึงรีบออกไปในทันที

หยวนเหนียงยิ้มขึ้นเล็กน้อยที่มุมปาก และผล็อยหลับไปในที่สุด

สวีลิ่งอี๋มองหน้าภรรยาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเข้าไปประคองไท่ฮูหยิน “ท่านแม่ ข้าช่วยประคองท่านกลับไป”

ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ แล้วจึงฝากฝังให้ป้าเถาดูแลหยวนเหนียงต่อ

ทั้งสองเงียบตลอดทางจนไปถึงที่พักของไท่ฮูหยิน สาวใช้เข้ามาปรนนิบัติไท่ฮูหยินชำระร่างกายและผลัดผ้าหวีผม สองแม่ลูกนั่งอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างทางทิศตะวันตก หลังจากที่สาวใช้ยกชาเข้ามาแล้ว ป้าตู้ก็ได้ให้คนใช้ที่อยู่ปรนนิบัติในห้องทั้งหมดถอยออกไป

“เวลานี้ไปเชิญนายหญิงใหญ่บ้านฝ่ายหญิงมาจะไม่ค่อยดีหรือไม่” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ลังเลเล็กน้อย

สวีลิ่งอี๋ทอดสายตามองออกไปยังร่มเงาของต้นไม้ที่เขียวขจีนอกหน้าต่างนั่น พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “ในเมื่อนางพูดออกมาเช่นนี้ ข้าคิดว่านางเองคงจะไตร่ตรองมานานพอควรแล้ว คิดไปถึงภายภาคหน้า ข้าเองเดาไม่ผิดเลย สองแม่ลูกคงจะตัดสินใจเช่นนี้ไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว รอเพียงโอกาสที่จะบอกข้าก็เท่านั้น”

ไท่ฮูหยินไม่ได้รู้สึกแปลกใจมาก นางเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุขุมว่า “แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อ”

“ท่านแม่ปรึกษากับนายหญิงใหญ่เถิด!” สวีลิ่งอี๋หันกลับไปมองท่านแม่ของตน แววตาเคร่งขรึมอย่างไม่อาจคาดเดาจิตใจได้ “นางกลัวว่าจุนเกอจะเป็นอันตรายขึ้นมา ข้าเองก็ไม่วางใจ ทำตามเจตนาของนางเถิด นางคิดว่าใครดีก็คนนั้นนั่นแหละ!”

“เจ้าน่ะ!” ไท่ฮูหยินมองหน้าของบุตรชายพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ “พี่น้องจริงๆ แล้วจะอย่างไงเล่า บทจะกลับกลอกพลิกหน้าก็พลิกเอาดื้อๆ มิใช่หรือ นางเลือกน้องสาวของนางเอง ก็สามารถรับประกันได้ว่าจุนเกอจะปลอดภัยอย่างนั้นหรือ ข้าว่าหากวันหนึ่งร่างกายของนางทนไม่ไหวแล้ว จุนเกอก็เอามาให้ข้าเลี้ยงเถิด ยังสามารถเลี้ยงเป็นเพื่อนคู่กับเจินเจี่ยเอ๋อร์ได้”

สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นอย่างลังเลว่า “ท่านอายุมากขนาดนี้แล้ว…”

“ข้าไม่ได้เลี้ยงเองกับมือเสียหน่อย ยังมีแม่นม สาวใช้ และแม่เฒ่านี่นา” ไท่ฮูหยินยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อีกอย่าง หากพาไปอยู่กับข้าแล้ว ที่ที่ข้าอยู่จะได้ครึกครื้นขึ้นมาบ้าง ข้าเองก็ชอบไม่น้อยเชียว!”

เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของมารดา ก็อดยิ้มตามเสียไม่ได้ “หากท่านรู้สึกว่าเหนื่อย ท่านอย่าได้ทนเก็บเงียบเป็นอันขาด!”

เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินบุตรชายของตนรับปากแล้ว จึงพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ลังเลเล็กน้อย “เจ้าว่า สืออีเหนียงจวนสกุลหลัวเป็นเช่นไรบ้าง”

สวีลิ่งอี๋อึ้งไปเล็กน้อย “คนที่ขวางเหวินอี๋เหนียงไว้นอกประตูน่ะหรือ”

ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ “ข้าดูแล้วนางเป็นคนสุขุมหนักแน่นไม่น้อย”

สวีลิ่งอี๋เข้าใจความหมายของมารดาขึ้นมาในทันที จึงได้รีบพูดขึ้นว่า “นางกับเจินเจี่ยเอ๋อร์อายุไล่เลี่ยกันเลยนะท่านแม่!”

ไท่ฮูหยินอดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนขึ้นมา “นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนัก อายุประมาณนี้จัดไว้ในลำดับห้ากำลังพอดี ข้าว่าดูค่อนข้างเหลาะแหละนิดหน่อย จัดไว้ในลำดับสิบก็เหมาะควรดี แต่ดูแล้วยังมีความเป็นเด็กค่อนข้างมาก”

“ท่านแม่” สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา พร้อมกับกำลังจะเถียงกลับ แต่จู่ๆ ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “ไท่ฮูหยิน ท่านหมอหลิวจากสำนักหมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ”

ไท่ฮูหยินหันไปมองบุตรชายของตนอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เชิญใต้เท้าหลิวเข้ามา”

สาวใช้ขานรับ เพียงครู่เดียวก็มีชายชราที่มีผมและหนวดขาวโพลนเดินเข้ามา

“ข้าน้อยกล่าวทักทายไท่ฮูหยิน” เมื่อเดินเข้าประตูมา เขาก็ได้ทำความเคารพไท่ฮูหยิน เมื่อหันไปเห็นสวีลิ่งอี๋ ก็ได้ทำความเคารพสวีลิ่งอี๋ด้วย “ท่านโหวก็อยู่เรือนด้วยหรือขอรับ!”

ไท่ฮูหยินยกมือขึ้นปราม “ใต้เท้าหลิวไม่ต้องมากพิธี” สวีลิ่งอี๋พยักหน้าให้กับท่านหมอหลิวเบาๆ

จากนั้นก็มีสาวใช้ยกน้ำชาเข้ามาให้เขา ท่านหมอหลิวจึงได้หย่อนตัวนั่งลง และได้นำใบสั่งยาออกมา

สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ จึงรับมาพร้อมกับนำไปมอบให้กับไท่ฮูหยิน

ไท่ฮูหยินหยิบแว่นตาออกมา ก้มหน้าอ่านอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ได้ยื่นใบสั่งยาให้กับสวีลิ่งอี๋

“นี่ล้วนแล้วแต่เป็นยาสมุนไพรที่บำรุงเลือดและลมปราณทั้งนั้น” ไท่ฮูหยินแสดงสีหน้าค่อนข้างสงสัยเล็กน้อย

ท่านหมอหลิวมองไปยังสวีลิ่งอี๋อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ตอนนี้ก็สุดแล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิตแล้ว เราได้พยายามอย่างที่สุดแล้วขอรับ”

ใบสั่งตำรับยาสีขาวถูกสวีลิ่งอี๋บีบจนบิดงอ

“ขอบคุณใต้เท้าหลิวแล้ว!” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จากนั้นก็ได้สั่งให้สาวใช้ส่งแขกกลับ

ท่านหมอหลิวลุกขึ้นยืน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า “คุณชายสี่จะต้องพักผ่อนและบำรุงร่างกาย ไม่ควรจะมีโทสะฉุนเฉียว” จากนั้นก็ได้ทำความเคารพกับไท่ฮูหยินและสวีลิ่งอี๋ แล้วจึงถอยกลับออกไป

สวีลิ่งอี๋หันไปพูดกับมารดาของตนว่า “ท่านว่าควรจะเชิญหมอท่านอื่นมารักษาหยวนเหนียงหรือเปล่า”

ไท่ฮูหยินได้ถอนลมหายใจออกมา ฝืนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านหมอหลิวดำรงตำแหน่งดูแลสำนักหมอหลวงนานนับยี่สิบปี เจ้าจะให้ข้าไปเชิญหมอท่านอื่นมารักษาหยวนเหนียงหรือ”

สวีลิ่งอี๋พูดไม่ออกไปชั่วขณะ

จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะของเด็กและหญิงวัยกลางคนดังขึ้น

“ให้ข้า ให้ข้า” น้ำเสียงที่ร่าเริงของจุนเกอที่กำลังร้องขออย่างดีอกดีใจ

สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะหันออกไปมองด้านนอก

สาวใช้กลุ่มหนึ่งที่สวมชุดแดงสลับเขียวและเหล่าสะใภ้กำลังล้อมรอบจุนเกอและเจินเจี่ยเอ๋อร์ มือของเจินเจี่ยเอ๋อร์ยกขึ้นสูง ไม่รู้ว่าในมือนั้นมีอะไร แต่กำลังแกล้งจุนเกออย่างสนุกสนาน จุนเกอเขย่งเท้าจนสุด แต่ก็ยังสูงไม่พออยู่ดี เขากำลังวิ่งล้อมรอบเจินเจี่ยเอ๋อร์อย่างร้อนใจไปมาไม่หยุด

จากนั้นก็มีท่านป้าเข้าไปพูดอะไรบางอย่าง เจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอจึงได้ยิ้มขึ้นมา เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้จัดระเบียบคอเสื้อให้กับจุนเกอ แล้วทั้งคู่ก็ได้พากันจูงมือเดินมายังทางสวีลิ่งอี๋

ไท่ฮูหยินเองก็ได้มองเห็นด้วย “เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นเด็กดีคนหนึ่ง…”

“นั่นเป็นเพราะท่านอบรมสอนสั่งมาเป็นอย่างดี” สวีลิ่งอี๋ตอบกลับน้ำเสียงเรียบเฉย พร้อมกับหันไปหย่อนตัวนั่งลง

ไท่ฮูหยินถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับหันไปหย่อนตัวนั่งลงด้วยเช่นกัน

จากนั้นก็มีเสียงของสาวใช้เรียนว่า “ไท่ฮูหยิน ท่านโหว คุณหนูใหญ่และคุณชายสี่จะมากล่าวทักทายเจ้าค่ะ”

“เข้ามา!” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร แต่สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ค่อนข้างขรึมและสำรวมเล็กน้อย

เจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอจึงได้พากันเดินเข้ามา จากนั้นก็ทำความเคารพท่านย่าและท่านพ่อด้วยความนอบน้อม

ไท่ฮูหยินกวักมือเรียกจุนเกอ “มานี่มา มานั่งข้างย่านี่!”

จุนเกอหันไปมองบิดาของเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยก้าวฝ่าเท้าน้อยๆ เดินเข้าไปหาไท่ฮูหยินช้าๆ

สวีลิ่งอี๋มองแล้วก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นมา

จุนเกอจึงก้าวสั้นลงและช้ากว่าเดิมไปอีก

เจินเจี่ยเอ๋อร์เองก็ยืนอยู่กับที่และทำตัวไม่ค่อยถูกด้วยเช่นกัน

ไท่ฮูหยินส่ายหน้าเล็กน้อย ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หากท่านโหวมีเรื่องอื่นต้องจัดการ ก็ไปทำก่อนเถิด!”

สวีลิ่งอี๋จึงเงียบไป เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ทำความเคารพไท่ฮูหยินพร้อมกับขานตอบไปว่า “ขอรับ” แล้วจึงค่อยถอยออกไป

เมื่อสวีลิ่งอี๋ไม่อยู่แล้ว จุนเกอก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เขายิ้มขึ้นพร้อมกับถามท่านย่าว่า “ท่านแม่ยังนอนหลับอยู่หรือ นางตื่นแล้วหรือยัง นางได้ถามหาหลานหรือไม่ขอรับ”

เจินเจี่ยเอ๋อร์เองก็รู้เรื่องนี้ดี จึงได้หันไปมองจุนเกอด้วยสายตาที่เห็นใจ

ไท่ฮูหยินหัวเราะออกมาเบาๆ “ใช่แล้ว ท่านแม่ของเจ้ายังหลับอยู่ ถ้านางตื่นแล้วก็จะต้องถามหาจุนเกอ ถึงเวลานั้น ป้าเถาจะต้องรีบมาอุ้มเจ้าไปหาอย่างแน่นอน!”

จุนเกอเม้มปากพร้อมกับยิ้มขึ้น

จากนั้นสาวใช้ก็ได้เข้ามาเรียนว่า “ไท่ฮูหยิน นายหญิงใหญ่บ้านฝ่ายหญิงมาแล้วเจ้าค่ะ!”

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท