วันรุ่งขึ้นเป็นพิธีบรรจุศพลงหีบของหยวนเหนียง ตามหลักแล้ว บ้านสกุลหลัวจะต้องตั้งโต๊ะเซ่นไหว้เผากระดาษเงินกระดาษทองให้หยวนเหนียงที่โถงไว้ทุกข์ แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ นายหญิงใหญ่ก็อาเจียนเลอะเทอะไปทั้งตัว นายท่านใหญ่ตกใจจนหน้าขาวซีดไปหมด จึงรีบให้คนไปเชิญหมอมา หลัวเจิ้นซิ่งทราบข่าวก็รีบมาดูอาการทันที นายหญิงใหญ่กลัวว่าตนจะทำให้งานศพของหยวนเหนียงล่าช้า จึงได้ไล่ให้บุตรชายของตนรีบไป “…ที่บ้านยังมีป้าสวี่ ท่านพ่อของเจ้าและอี๋เหนียงหกอยู่ด้วย มีอะไรให้เป็นห่วงกันนักเชียว”
หลัวเจิ้นซิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
นายหญิงใหญ่จึงได้ให้สืออีเหนียงอยู่เป็นเพื่อน “น้องหญิงของเจ้าคนนี้สุขุมใจเย็น คราวนี้เจ้าวางใจได้แล้วหรือยัง”
พึ่งจะพูดจบ คุณชายสามหลัวเจิ้นต๋า พี่เขยสี่อวี๋อี๋ชิง คุณนายสาม ซื่อเหนียง และชีเหนียงของบ้านนายท่านสองก็มาถึงพอดี
“รีบไปเถิด!” นายหญิงใหญ่พูดขึ้น “ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่โดนลมหนาวนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น ทุกคนกำลังรอเจ้าอยู่”
หลัวเจิ้นซิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหันไปกำชับกับสืออีเหนียง จากนั้นจึงค่อยไปยังเรือนหน้า
เฉียนหมิงและอวี๋อี๋ชิงกำลังคุยกันอย่างถูกคอ ส่วนหลัวเจิ้นต๋าที่อายุราวยี่สิบปียังเป็นเพียงบัณฑิตรุ่นเยาว์ แต่หลัวเจิ้นเซิงนั้นยังไม่ได้เป็นแม้แต่บัณฑิตรุ่นเยาว์ ทั้งคู่ยืนอยู่ด้วยกันแต่กลับไม่กล้าคุยอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว เมื่อเห็นหลัวเจิ้นซิ่งมาแล้ว อวี๋อี๋ชิงก็ได้ยิ้มขึ้นพร้อมกับไถ่ถามเรื่องการสอบฮุ่ยซื่อกับเขา
หลัวเจิ้นซิ่งรู้สึกว่าตัวเองสอบได้ไม่เลวเท่าไรนัก แต่เรื่องนี้ไม่สามารถพึ่งเพียงความคิดเห็นส่วนตัวแล้วมาตัดสินว่าผ่าน จึงไม่ได้พูดจาโอ้อวดใหญ่โต เขาเพียงแค่ตอบกลับไปตามมารยาทเท่านั้น จากนั้นก็ได้เรียกบ่าวรับใช้ไปรอเฝ้าที่หน้าประตูใหญ่ “ไปดูหน่อยว่าคุณชายห้ากับคุณชายหกทำไมถึงยังไม่มา”
“เด็กสองคนนี้นี่ ห่วงแต่เล่น” อวี๋อี๋ชิงตัวไม่ค่อยสูงเท่าไรนัก แต่กลับดูสง่าผ่าเผยและอ่อนโยน ดวงตาที่ไม่ค่อยโต แต่ดูสดใสชัดเจนและมีพลัง เปี่ยมล้นไปด้วยจิตวิญญาณ
เฉียนหมิงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พวกเขายังเด็ก อายุยังน้อย วัยกำลังชอบเล่นชอบซน!”
อวี๋อี๋ชิงหัวเราะขึ้นเบาๆ กำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่จู่ๆ ก็มีเสียงที่ฉุนจัดของเด็กน้อยดังขึ้นจากด้านนอกประตู “ยังเป็นพี่เขยห้าที่นิสัยดี ไม่เหมือนพี่เขยสี่ที่ชอบสวมรอยแกล้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อยู่ตลอดเวลา”
ทุกคนจึงพากันหันไปมอง นอกจากคุณชายห้าหลัวเจิ้นไคแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
อวี๋อี๋ชิงจึงหัวเราะเสียงดังลั่น “ข้าก็เป็นผู้ใหญ่อยู่แล้วนี่นา ทำไมข้ายังต้องสวมรอยเป็นผู้ใหญ่อีกด้วยเล่า”
หลัวเจิ้นไคอ้าปากจะพูดต่อ หลัวเจิ้นอวี้ก็รีบเข้าไปดึงเสื้อของพี่ชายตัวเองเบาๆ “ท่านแม่บอกแล้วว่าออกมาข้างนอกต้องเชื่อฟังคำพูดของพี่ๆ ทุกคน” เขาจึงหันไปจ้องน้องชายตาเขม็งด้วยความโมโห
หลัวเจิ้นซิ่งเห็นแล้วก็ได้พูดขึ้นว่า “ในเมื่อทุกคนมาครบแล้ว เรารีบออกเดินทางกันเถิด!”
ทุกคนจึงหุบยิ้ม แล้วเดินทางไปยังบ้านสกุลสวีพร้อมหลัวเจิ้นซิ่ง
หน้าประตูจวนบ้านสกุลสวีมองเห็นเพียงสีขาวสุดลูกหูลูกตา ผู้คนเข้าออกมากมาย ขุนนางระดับสามขึ้นไปเท่านั้นที่จะได้หยุดขึ้นนั่งรถม้าสีดำเงาและม่านที่ปักฉลุสีเงิน
เฉียนหมิงพูดขึ้นด้วยความตื่นตระหนกว่า “ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งเมืองเยี่ยนจิงคงจะมาหมดแล้วกระมัง”
อวี๋อี๋ชิงหันไปมองแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “รู้สึกว่าท่านโหวอายุมากกว่าข้าแค่ปีเดียวเท่านั้น”
“อืม” หลัวเจิ้นซิ่งยิ้มเจื่อน “ปีนี้ท่านโหวอายุยี่สิบหกปี”
เพิ่งพูดจบ ก็มีผู้ดูแลตาดีมองเห็นพวกเขา จึงรีบเข้ามาต้อนรับโดยทันที พร้อมกับเชื้อเชิญทุกคนเข้าจวน
จากระยะไกล หลัวเจิ้นซิ่งมองเห็นสวีลิ่งอี๋สวมชุดสีขาวทั้งชุดยืนอยู่หน้าเพิงแสดงความกตัญญูและกำลังคุยกับชายอายุราวๆ สี่สิบปีอยู่สองท่าน
เมื่อเห็นหลัวเจิ้นซิ่ง เขาก็ได้พูดกับชายสองท่านนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้เดินออกมาต้อนรับ “มากันแล้วหรือ”
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ หลัวเจิ้นซิ่งจึงสังเกตเห็นว่าสีหน้าของสวีลิ่งอี๋ค่อนข้างซีดเซียว
ทุกคนรีบทำความเคารพสวีลิ่งอี๋ เฉียนหมิงรีบแนะนำตัวเอง “บัณฑิตเมืองอี๋ชวนแซ่เฉียน คารวะท่านพี่เขย”
สวีลิ่งอี๋อึ้งไปเล็กน้อย
หลัวเจิ้นซิ่งจึงได้รีบเข้ามาอธิบายว่า “คู่หมั้นของน้องหญิงห้า เพิ่งจะส่งมอบของกำนัลขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็ได้หันไปพยักหน้าให้เฉียนหมิงเล็กน้อย จากนั้นก็ได้หันไปทักทายอวี๋อี๋ชิง “เจ้าเคยมาตอนตรุษจีนปีที่แล้ว เตรียมการสอบฮุ่ยซื่ออยู่ใช่หรือไม่”
อวี๋อี๋ชิงพยักหน้าเบาๆ “โอกาสครั้งเดียวในรอบสามปี”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย เฉียนหมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ปีนี้ข้าเองก็ลงสนามสอบพร้อมพี่ภรรยาและอวี๋เหลียนจินด้วย เพียงแต่ความรู้ตื้นเขิน ไม่รู้ว่าจะสอบผ่านหรือไม่”
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรเล่า” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย จากนั้นก็ได้เชื้อเชิญทุกคนเข้าไปที่เพิงแสดงความกตัญญูด้วยตัวเอง ส่วนคุณนายใหญ่ ซื่อเหนียงและคนอื่นๆ ได้ถูกแม่เฒ่าเชื้อเชิญเข้าไปที่เรือนชั้นในเพื่อที่จะจุดธูปหน้าหีบศพของหยวนเหนียงที่ห้องไว้อาลัย
จึงเหลือเพียงหลัวเจิ้นซิ่งและคนอื่นๆ อีกไม่กี่คนที่เพิ่งจะเข้าไปในเพิงแสดงความกตัญญู จู่ๆ ก็มีผู้ดูแลเข้ามาเรียนว่า “เครื่องเซ่นไหว้จากฮองเฮามาถึงแล้วขอรับ”
สวีลิ่งอี๋จึงได้ให้ผู้ดูแลไปดูแลหลัวเจิ้นซิ่งและคนอื่นๆ ต่อ จากนั้นตัวเองก็ไปยังห้องโถงหลัก
*****
สืออีเหนียงถูกเรียกให้อยู่เฝ้าบ้าน จึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
นางเองก็กลัวว่าจุนเกอจะพูดอะไรแปลกๆ กลางโถงไว้ทุกข์ จะพลอยทำให้ทุกคนกระอักกระอ่วนไปด้วย
เมื่อช่วยประคองนายหญิงใหญ่เอนตัวนอนลงเรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงก็ได้ไปยกเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียงเพื่อเย็บปักผ้าต่อ
ผ่านไปเพียงไม่นาน ท่านหมอก็เดินทางมาถึง
สืออีเหนียงจึงปลีกตัวไปที่ห้องปีกทิศตะวันออก เมื่อท่านหมอกลับไปแล้ว ตนถึงได้กลับเข้ามายังเรือนชั้นใน
“ท่านหมอว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“บอกว่าช่วงอกค่อนข้างร้อน ส่วนกระเพาะค่อนข้างเย็น กระเพาะเกิดความผิดปกติ ฉะนั้นจึงได้อาเจียนออกมา” ป้าสวี่ยื่นใบสั่งยาให้สืออีเหนียงดู “สั่งตำรับยาซุปหวงเหลียนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้ารู้เรื่องนี้ดีเชียวแหละ คิดว่าที่ท่านหมอพูดมาไม่ผิดเป็นแน่ แต่ขาดคนไปเอายานี่สิ หรือว่าให้ข้าไปตั้งเตาน้อยรอ ตอนที่ได้ยามาจะได้ต้มทันท่วงที”
ป้าสวี่ได้ยินนางพูดขึ้นอย่างเชื่อฟัง จึงยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “จะให้ท่านไปจุดเตาได้อย่างไรกัน สั่งสาวใช้ไปทำก็พอเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “มันเป็นภาระหน้าที่อันพึงปฏิบัติ ท่านป้าไม่ต้องเกรงใจ”
ทั้งสองคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง คนไปซื้อยาก็กลับมาพอดี
สืออีเหนียงนำยาไปให้ป้าสวี่ดู จากนั้นก็ได้นำยาห่อหนึ่งไปยังห้องเอ่อร์ฝัง จุดเตาเล็ก จากนั้นก็ต้มยาหม้อให้กับนายหญิงใหญ่ด้วยไฟอ่อน
ตอนที่ยกยาหม้อเข้าไปนั้น นายหญิงใหญ่กำลังคุยกับป้าสวี่อยู่ “…จะปิดหูปิดตานางไม่ให้รู้เรื่องรู้ราวเช่นนี้ตลอดไปไม่ได้”
เมื่อเห็นสืออีเหนียงเข้ามา นายหญิงใหญ่ก็ได้หยุดคำพูดลง
‘จะปิดหูปิดตานางไม่ให้รู้เรื่องรู้ราวเช่นนี้ตลอดไปไม่ได้’ นางในที่นี้หมายถึงใครกัน ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวหมายความว่าอย่างไรกันนะ
สืออีเหนียงไม่กล้าที่จะแสดงออกถึงความงุนงงสับสนในใจ ทำได้เพียงยิ้มแล้วเข้าไปป้อนยาให้กับนายหญิงใหญ่
เมื่อนายหญิงใหญ่ทานยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงและป้าสวี่ก็นั่งลงข้างเตียงเย็บปักผ้าต่อ เมื่อเห็นว่าสายมากแล้ว จึงได้ให้ห้องครัวต้มโจ๊กข้าวฟ่างหางกระรอกผสมข้าวขาวให้นายหญิงใหญ่ ขณะที่กำลังยกเข้ามานั้น นายหญิงใหญ่ก็ตื่นขึ้นพอดี
“สืออีเหนียงรู้จักใส่ใจเป็นแล้ว!” ป้าสวี่ชื่นชมสืออีเหนียงต่อหน้านายหญิงใหญ่
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ก็ฝึกฝนเรียนรู้จากท่านป้าที่คอยปรนนิบัติดูแลท่านแม่นี่แหละ”
“ไอ๊หยา ไปๆ มาๆ ผลงานก็ตกมาที่บ่าวจนได้!” ป้าสวี่หัวเราะชอบใจ
นายหญิงใหญ่เห็นแล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย
หลังจากทานมื้อค่ำเสร็จแล้ว หลัวเจิ้นซิ่งและคนอื่นๆ ก็ได้กลับมาถึงพอดี จากนั้นก็ได้รีบเข้าไปถามไถ่อาการของนายหญิงใหญ่
เมื่อรู้ว่านายหญิงใหญ่ไม่เป็นไรแล้ว ซื่อเหนียง อู่เหนียงและชีเหนียงก็ได้เข้าไปเล่าเรื่องเครื่องเซ่นไหว้ของหยวนเหนียง “…เครื่องเซ่นไหว้ของฮองเฮาไม่ได้พิเศษมากมายอะไรนัก แต่ทว่าเครื่องเซ่นอาหารคาวทั้งสามและพิธีทั้งหกขั้นตอนนั้น มีคนชื่อหยางเหวินซยงเป็นผู้สั่งการ ของที่ส่งมาถึงจะเรียกว่าอลังการเจ้าค่ะ เครื่องเซ่นไหว้ทั้งหมูและแกะ ภูเขาเงินภูเขาทอง ผ้าไหมผ้าทอ กระดาษเงินกระดาษทอง ทั้งธูปและเทียน ต้องยกกันเป็นร้อยๆ รอบเชียวเจ้าค่ะ”
แต่นายหญิงใหญ่กลับถามขึ้นว่า “รู้หรือไม่ว่าบ้านสกุลเหวินส่งอะไรมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้”
ทุกคนต่างหันมาสบตากัน มีเพียงคุณนายใหญ่ที่พูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า “เป็นของจำพวกหมูและแกะ ราวเก้าโต๊ะเห็นจะได้เจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่พยักหน้ารับรู้เบาๆ
ตอนนี้หยวนเหนียงจากไปแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่ก็คงจะหวาดระแวงบ้านสกุลเหวินอย่างแน่นอน
ซื่อเหนียงรู้สึกว่าตัวเองอ่านความคิดของนายหญิงใหญ่ออก นางยิ้มพร้อมกับขอตัวลากลับ “นี่ก็สายมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมท่านป้าสะใภ้ใหญ่ใหม่นะเจ้าคะ”
นายหญิงใหญ่เองก็ไม่ได้รั้งให้อยู่ต่อ และได้ให้คุณนายใหญ่ออกไปส่ง จากนั้นก็ได้หันไปพูดกับสืออีเหนียงที่ยังอยู่ในห้องว่า “ตอนนั้นบ้านสกุลเหวินเมืองหยางโจวได้มีความข้องเกี่ยวกับบ้านสกุลสวี อาศัยบ้านสกุลสวีเพื่อไปทำการค้ากับทางกรมราชกิจภายใน ไม่ว่าจะเป็นผ้าทอของทางฝั่งใต้ หรือสนามม้าของทางเหนือก็ล้วนมีความเกี่ยวข้องด้วยทั้งนั้น…แต่ก็ยังสามารถอ่อนน้อมถ่อมตนถึงเพียงนี้ ไม่ง่ายเลย” เมื่อพูดจบ จู่ๆ ก็หันมาจ้องมองสืออีเหนียง “จะต้องรู้ว่าสิ่งที่ส่งมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องเซ่นไหว้บนโต๊ะทั้งสิ้น ส่วนที่ส่งไปยังซุ้มบัญชีต่างหากถึงจะเป็นทองแท้เงินจริง”
สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ
นายหญิงใหญ่…กำลังสอนงานนางว่าจะต้องจัดการอย่างไรเช่นนั้นหรือ
แล้วก็ได้นึกไปถึงคำพูดประโยคนั้นของนายหญิงใหญ่ ‘ปิดหูปิดตา?’
ตั้งแต่นั้นมา นายหญิงใหญ่ก็ได้ให้สืออีเหนียงอยู่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายตลอดเวลา ยังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับบ้านสกุลสวีบ่อยครั้งอีกด้วย
ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่ได้นำเรื่องนี้มาเป็นมาตรฐานเป้าหมายของตัวเอง เพราะท้ายที่สุด ทุกคนล้วนมีวิธีการเรียนรู้และทำความเข้าใจในแบบฉบับของตัวเอง
*****
ตั้งแต่เจ็ดวันแรกจนถึงเจ็ดวันรอบที่ห้าของการไว้ทุกข์ เหล่าบรรดาภิกษุแม่ชีและญาติทั้งหลายจะต้องมาร่วมพิธีเซ่นไหว้ทางศาสนาอีกรอบ ดังนั้นวันที่ยี่สิบห้าเดือนสาม คนบ้านสกุลหลัวจึงต้องไปที่จวนสกุลสวีอีกครั้ง สืออีเหนียงยังคงคอยอยู่ดูแลนายหญิงใหญ่ที่จวนไม่ได้ตามไปด้วย อาการอาเจียนของนายหญิงใหญ่ดีขึ้นมากแล้ว แต่เจ้าตัวกลับเงียบซึมไร้ซึ่งชีวิตชีวา ร่างกายอาจจะสบายดีแล้ว แต่เหตุการณ์การจากไปของหยวนเหนียงคงจะมีผลกระทบกับนางเป็นอย่างมากกระมัง
สืออีเหนียงกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ แต่จู่ๆ ก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากคนของคุณหนูเจ็ดสกุลกาน
ในจดหมาย นางได้กล่าวขอบคุณผ้าเช็ดหน้าและถุงผ้าที่สืออีเหนียงปักให้เมื่อครั้งก่อน จากนั้นก็ได้แสดงความเสียใจถึงเรื่องการจากไปของหยวนเหนียง ให้สืออีเหนียงทำใจให้สบาย ไว้นางจะหาเวลาว่างมาเยี่ยมสืออีเหนียง ยังแนะนำสืออีเหนียงว่ายามว่างก็อ่านคัมภีร์พระไตรปิฎกบ้าง อีกทั้งยังพูดถึงหลักธรรมของคัมภีร์พระไตรปิฎกด้วย บอกว่าฮูหยินกานแม่เลี้ยงของตนชอบอ่านคัมภีร์พระไตรปิฎกเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงอ่านจดหมายแล้วก็อดที่จะยิ้มเสียไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันใจอย่างมาก
ซาบซึ้งในน้ำใจและความหวังดีของคุณหนูเจ็ด
ฮูหยินสามถือเป็นพี่สะใภ้ของนาง บ้านสกุลสวีเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต้นสายปลายเหตุของคำพูดจุนเกอ คาดว่านางคงจะรู้ดีมากกว่าตน แต่นางกลับยังสามารถมาปลอบใจตนด้วยวิธีที่คลุมเครือเช่นนี้…
สืออีเหนียงจึงได้ตอบกลับจดหมายนางไปหนึ่งฉบับ ว่าตนนั้นสบายดี จากนั้นก็ได้ส่งจดหมายไปให้คุณหนูเจ็ดสกุลกานพร้อมด้วยเชือกจีนห้ามงคลที่ตนถักเองกับมืออีกสองเส้น
*****
เมื่อถึงวันที่ยี่สิบแปดเดือนสาม หลัวเจิ้นซิ่ง หลัวเจิ้นเซิงและอู๋เซี่ยวเฉวียนออกไปดูผลการสอบแต่เช้า แต่เที่ยงแล้วก็ยังไม่กลับมา นายหญิงใหญ่จึงค่อนข้างรู้สึกเป็นกังวลใจ กลัวว่าบุตรชายของตนจะสอบไม่ผ่านการคัดเลือก แล้วจึงไม่ยอมกลับมา อีกทั้งยังกลัวว่าหากบุตรชายของตนผ่านการคัดเลือกแล้ว จะถูกผู้อื่นชักชวนให้ไปดื่มสุรา จึงได้ให้หังซินบุตรชายของป้าหังออกไปตาม หังซินเพิ่งจะออกไปตาม จู่ๆ ก็มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามาเรียนว่า “…คุณชายใหญ่สอบติดแล้ว! สอบติดแล้วขอรับ!”
นายหญิงใหญ่ได้ยินแล้วก็รีบลุกออกไปด้านนอก จึงได้เจอกับหลัวเจิ้นซิ่งเข้าพอดี
“ท่านแม่ ข้าสอบผ่านแล้ว สอบผ่านแล้ว” หลัวเจิ้นซิ่งพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ “ลำดับที่หกสิบหกขอรับ”
“เร็วเข้า รีบจุดธูปกราบไหว้บรรพบุรุษ” สีหน้าของนายหญิงใหญ่เต็มไปด้วยความปีติยินดี จากนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า “รีบไปบอกนายท่านใหญ่ด้วย”
ทั้งบ้านจึงดูครึกครื้นขึ้นมาทันที
หลัวเจิ้นซิ่งยังได้พูดขึ้นอีกว่า “น้องเขยสี่ก็สอบติดด้วย ลำดับที่เก้าขอรับ”
นายหญิงใหญ่ชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงรีบถามขึ้นว่า “แล้วคุณชายเฉียนล่ะ”
หลัวเจิ้นซิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ก็คงต้องรออีกสักสองสามปีแล้ว”
นายหญิงใหญ่ดูสลดไปเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดขึ้นว่า “นี่มันเป็นเรื่องสุดวิสัย ตอนนั้นท่านอาสามของเจ้าก็ยังต้องสอบใหม่ตั้งหลายครั้งหลายหน”
“ขอรับ!” หลัวเจิ้นซิ่งกลัวว่ามารดาของตนจะผิดหวัง จึงได้รีบพูดขึ้นว่า “เขายุ่งเกินไป หากเขาสามารถสงบจิตสงบใจตั้งใจอ่านหนังสือตำรา จะต้องสอบจอหงวนได้อย่างง่ายดายแน่นอน”
จู่ๆ นายหญิงใหญ่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวเจ้าไปเชิญเขามาทานอาหารสักมื้อก็แล้วกัน จะได้ปลอบใจเขาด้วย และหากเขาเต็มใจ ค่าเล่าเรียนที่สำนักศึกษาทั้งสามปี บ้านเราจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้เอง”
หลัวเจิ้นซิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
นายหญิงใหญ่ยังได้พูดอีกว่า “อย่างไรเสีย เขยสี่ก็เป็นคนของบ้านนายท่านสอง ไม่เท่าคุณชายเฉียนหรอก เขาเป็นน้องเขยของเจ้า”
หลัวเจิ้นซิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาเองไม่ได้ปฏิเสธ จากนั้นก็ได้ให้คนใช้ไปเชิญเฉียนหมิงมา
เฉียนหมิงไม่ได้ตื่นเต้นดีใจเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา แต่เมื่อได้ยินว่าบ้านสกุลหลัวยินดีจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการร่ำเรียนทั้งหมดของเขา จึงได้รีบลุกขึ้นประสานมือคารวะเพื่อกล่าวขอบคุณหลัวเจิ้นซิ่ง “พี่ใหญ่ภรรยา ขอบคุณอย่างเหลือล้น!”
หลัวเจิ้นซิ่งเห็นว่าเขาไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด อีกทั้งยังดูดีอกดีใจอีกด้วย จึงได้กอดคอเขาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ระหว่างเรายังจะต้องมากล่าวคำขอบคุณอะไรกัน!”