ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 64 แต่งงาน (ปลาย)

ตอนที่ 64 แต่งงาน (ปลาย)

ซุ่ยเอ๋อร์ถูกถีบจนสีหน้าซีดเผือดไปหมด นางเอามือทาบอกไม่กล้าส่งเสียงร้องแม้แต่นิดเดียว ฝืนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “บ่าวสมควรตายเจ้าค่ะ!”  

 

 

คุณชายห้าเห็นนางสำนึกผิด ถึงแม้ว่าจะรู้สึกหายฉุนเฉียวไปบ้างแล้ว แต่ไม่ได้อยากจะสนใจอะไรมาก จึงหันไปจูงมือของสืออีเหนียงพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่หญิงสิบเอ็ด เราไปที่ห้องของท่านดีกว่า ที่ห้องของท่านมีขนมวัวซือถังหรือเปล่า” 

 

 

สืออีเหนียงไม่ชอบนิสัยใจคอของคุณชายห้าเป็นอย่างมาก เพราะเขามักจะก้าวร้าวทำร้ายร่างกายผู้อื่นตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้เสมอ 

 

 

นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้ากลัวว่าฟันจะเสีย ก็เลยไม่กินขนมวัวซือถังตั้งนานแล้ว” 

 

 

เมื่อคุณชายห้าได้ยินแล้วก็รู้สึกค่อนข้างผิดหวัง 

 

 

ชีเหนียงเองก็รู้สึกไม่สนุก จึงยิ้มขึ้นพร้อมกับไล่เขาว่า “พวกเราพี่หญิงน้องหญิงจะคุยเรื่องส่วนตัวกัน พวกเจ้าสองพี่น้องจะอยู่ที่นี่ทำไม รีบๆ ออกไปเร็วเข้า!” จากนั้นก็ได้เรียกแม่นมและสาวใช้เข้ามา “พาพวกเขาออกไปเล่นข้างนอก” 

 

 

ที่ผ่านมาคุณชายหกก็ค่อนข้างกลัวพี่หญิงคนนี้อยู่บ้าง เมื่อได้ยินแล้วก็พูดจาติดอ่างทำตัวไม่ถูก ส่วนคุณชายห้านั้นไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดนอกจากนายท่านสามและนายหญิงสาม เขาจ้องมองไปยังชีเหนียงพร้อมกับยิ้มอย่างเย็นชา “เรื่องของคุณชายอย่างพวกข้า ท่านยุ่งให้มันน้อยๆ หน่อย!” 

 

 

“โอ้โห เจ้ายังนับว่าเป็นคุณชายอยู่อีกหรือ” ชีเหนียงเป็นน้องคนสุดท้องของบ้าน นางเพิ่งคลอดได้เพียงไม่กี่วัน นายท่านสองก็สอบบัณฑิตจู่เหรินได้ เมื่อนางโตขึ้นเรื่อยๆ หน้าที่การงานของนายท่านสองก็ราบรื่นและก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นบิดามารดาจึงรักใคร่เอ็นดูเป็นพิเศษ นางจึงเป็นคนไม่ค่อยกลัวอะไรเท่าไรนัก “หากเจ้าเป็นคุณชายจริง จะลงไม้ลงมือเตะถีบผู้หญิงได้อย่างไรกัน รีบๆ ออกไปเถิด ไม่เช่นนั้น…หากข้าไปฟ้องท่านอาสะใภ้สามละก็ เจ้าจะถูกนางลงโทษให้ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชนเอาได้” 

 

 

“ศาลบรรพชนของพวกเราอยู่ที่อวี๋หัง!” คุณชายห้ายังคงสู้ไม่ยอมถอย “ท่านทำเหมือนพวกข้าเป็นเด็กที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวหรืออย่างไรกัน” เมื่อพูดจบก็ได้พาน้องชายของเขาถอยออกไป  

 

 

ชีเหนียงได้ยินแล้วก็ปิดปากหัวเราะชอบใจ แต่เมื่อหันกลับไปก็เห็นอู่เหนียงและสืออีเหนียงนั่งเงียบไม่พูดอะไร  

 

 

“เป็นอย่างไรบ้าง” นางยิ้มขึ้นพร้อมกับเดินตรงไปหาซุ่ยเอ๋อร์ “มาให้ข้าดูหน่อย บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” 

 

 

ซุ่ยเอ๋อร์กล่าวขอบคุณเสียงเบา แล้วจึงขอตัวไปห้องเอ่อร์ฝังที่อยู่ด้านข้างพร้อมกับจั๋วเถา 

 

 

“พี่หญิงห้ายอมเขาเกินไปแล้ว” ชีเหนียงอดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นว่า “คนอย่างเขา เห็นใครอ่อนแอก็ชอบรังแกไปหมด” 

 

 

สือเหนียงที่อยู่ด้านข้างจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา “คำพูดเช่นนี้ก็มีแต่พี่หญิงเจ็ดเท่านั้นที่สามารถจะพูดได้ หากเป็นพวกข้า เกรงว่าคนที่จะไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชนนั้นคงจะเป็นพวกเราเสียมากกว่า” เมื่อคำพูดจบลง ใบหน้าของชีเหนียงก็แดงก่ำขึ้นมาทันที  

 

 

สืออีเหนียงจึงได้รีบพูดขึ้นเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ “ตั้งแต่พี่หญิงเจ็ดกลับเมืองเยี่ยนจิงพร้อมท่านอาสะใภ้รอง พวกเราก็ไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกเลย อาศัยโอกาสนี้มาเล่นไพ่ด้วยกันดีกว่า” 

 

 

ชีเหนียงรีบตอบเห็นด้วย ส่วนสือเหนียงนั้นเม้มปากพร้อมกับพูดว่า “ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ!” จากนั้นก็ได้เรียกสาวใช้เหลียนจินและอิ๋นผิงกลับเรือน “เมื่อวานไม่ได้นอนหลับดีๆ จะกลับไปนอนพักเสียหน่อย”  

 

 

ประโยคนี้ทำเอาชีเหนียงรู้สึกโกรธจนใบหน้าขาวซีดไปหมด “ตั้งแต่เช้าจรดเย็นนิสัยใจคอกลับตาลปัตรไปมาไม่หยุด มิน่าล่ะป้าสะใภ้ใหญ่ถึงได้ไม่ชอบ” 

 

 

อู่เหนียงได้ยินก็สบถ “หึ” แล้วจึงพูดขึ้นว่า “คนเขาจะได้แต่งงานไปเป็นสะใภ้ตระกูลสูงศักดิ์ แน่นอนว่าคงไม่จำเป็นจะต้องมาคบค้าสมาคมกับคนเช่นเราๆ หรอก” ทิ้งท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงที่ประชดประชัน 

 

 

ชีเหนียงได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าคำพูดนั้นมีอะไรแอบแฝง จึงรีบถามขึ้นว่า “หมายความว่าอย่างไร มีใครมาทาบทามเรื่องสู่ขอหรือ” 

 

 

สืออีเหนียงจึงได้หันไปส่งสายตาให้กับอู่เหนียง ยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “พวกเราไม่ได้ยินอะไรมาเลย พี่หญิงเจ็ดได้ยินอะไรมาหรือ” 

 

 

อู่เหนียงจึงได้ลดโทสะลง พลางยิ้มขึ้นบางๆ  

 

 

ชีเหนียงมองสีหน้าท่าทางของทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง “ถึงแม้ว่าพวกท่านจะไม่พูดออกมา ข้าเองก็พอจะรู้” 

 

 

สืออีเหนียงตีเนียนแสร้งทำว่าไม่รู้เรื่อง หันไปเรียกตงชิงให้ไปเอาสำรับไพ่มา “คราวที่แล้วพี่หญิงเจ็ดชนะข้าไปตั้งยี่สิบอีแปะ วันนี้จะต้องระวังตัวดีๆ เสียแล้ว”  

 

 

ชีเหนียงหัวเราะเสียงดัง ทั้งสามจึงตั้งวงและได้เรียกจื่อเวยมาร่วมวงด้วย นั่งเล่นไพ่ครึ่งค่อนวันบนโต๊ะเตียงเตา  

 

 

หลังจากทานมื้อค่ำเรียบร้อย ก็ได้ส่งครอบครัวของนายท่านสองและครอบครัวของนายท่านสามกลับ แต่แล้วจู่ๆ อู่เหนียงก็เข้ามา  

 

 

“น้องสิบเอ็ด ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” 

 

 

สืออีเหนียงจึงได้เดินตามเข้าเรือนไป  

 

 

นางอดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นว่า “…ที่ผ่านมาไม่มีเลยสักครั้งที่ข้าจะทำให้ท่านแม่เป็นกังวลใจ แล้วเหตุใดถึงได้ให้ข้ามาหมั้นหมายเช่นนี้ได้ หากเป็นผู้ดีตกอับข้าก็ยังพอจะเข้าใจ แต่คุณชายเฉียงเป็นแค่คนธรรมดาที่ไร้ซึ่งลำดับศักดิ์ คนอย่างพวกเขา ในสายตาก็มีเพียงแค่การเปรียบเทียบเท่านั้น คิดว่าที่บ้านมีบัณฑิตจู่เหรินเพียงแค่คนเดียว ก็หลงระเริงยืนไม่ติดพื้นแล้ว ไม่รู้จักคำว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีมนุษย์ ความสูงศักดิ์ในสายตาของพวกเขา หากเปรียบเทียบกับผู้อื่นก็ถือว่ากระจอกเสียด้วยซ้ำ แต่กลับไม่ตระหนักรู้ ถึงเวลานั้น หากไม่ได้รับราชการเข้าเป็นขุนนาง เกรงว่าโคลนที่เท้ายังล้างไม่ทันสะอาด พวกเหล่าบรรดาญาติห่างๆ ก็คงจะพากันเข้ามาตีเนียนขอส่วนแบ่งอย่างแน่นอน…” 

 

 

สืออีเหนียงที่กำลังรินชาอยู่นั้นก็ได้ยินนางบ่นขึ้นพึมพำ เมื่อรินถึงถ้วยที่สองและถ้วยที่สาม นางจึงค่อยเงียบลงในที่สุด “…ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไร้ซึ่งหนทางเลือกแล้ว ทนลำบากกับเขาตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เมื่อข้าอายุมากขึ้นแล้ว เขาได้เป็นเจ้าคนนายคนขึ้นมา ถึงตอนนั้น ข้าก็จะแก่ชราถูกคนอื่นเขารังเกียจเสียแล้ว!” พูดจบ นางก็เข้ามากุมมือของสืออีเหนียงไว้ “น้องสิบเอ็ด เจ้าเป็นคนจิตใจกว้างขวางและซื่อสัตย์จริงใจมาโดยตลอด สิ่งที่ข้าพูดมา เจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธข้าเลย เจ้าดูอย่างวันนี้ คุณชายห้าถีบสาวใช้ของข้า ข้ายังต้องฝืนยิ้มให้กับเขา แต่น้องหญิงเจ็ดกลับสามารถไล่เขาไปได้ เพราะอะไรเล่า ก็เพราะว่าเราเป็นบุตรีของอนุไง ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงใดๆ ในบ้านหลังนี้ นึกถึงคำพูดที่ท่านแม่พูดกับข้าตอนแรกๆ ให้ข้าเข้าเมืองเพื่อที่จะไปดูแลจุนเกอของพี่หญิงใหญ่ แต่พริบตาเดียวก็จะให้ข้าไปแต่งงานกับคุณชายเฉียนเสียแล้ว” นางจ้องมองมายังสืออีเหนียง น้ำตาคลอเบ้า “เราพี่น้องขอเพียงร่วมด้วยช่วยเหลือกัน วันข้างหน้าจึงจะมีอนาคตที่ดีได้”  

 

 

นางคิดว่าตัวเองจะถูกแต่งเข้าจวนหย่งผิงโหวกระมัง หากเปรียบเทียบกับสือเหนียงแล้ว ดูออกชัดเจนว่านายหญิงใหญ่ชอบนางมากกว่า ไม่ว่าจะพิจารณาใคร่ครวญอย่างไร ก็เป็นไปไม่ได้เลยว่านายหญิงใหญ่จะให้สือเหนียงแต่งเข้าจวนหย่งผิงโหว เมื่อชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบกันแล้ว ก็จะเห็นคำตอบที่ชัดเจนขึ้นมาทันที ฉะนั้นเวลานี้ถึงได้มาอธิบายคำพูดในตอนนั้นให้นางฟัง จะได้ไม่ต้องกลับมาปั้นหน้าไม่ถูกอีก… 

 

 

สืออีเหนียงยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ข้าเองรู้สึกว่าคุณชายเฉียนก็ไม่เลวทีเดียว ท่านดูอย่างพี่หญิงสี่ ท่านอาสะใภ้รองลงทุนลงแรงไปตั้งมากมายถึงเพียงนั้น สุดท้ายก็ยังเป็นดังเช่นพี่หญิงห้า” 

 

 

เมื่ออู่เหนียงได้ยินแล้วก็ยิ้มขึ้นบางๆ “เจ้าคิดเช่นนี้จริงๆ น่ะหรือ” 

 

 

สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “คนเราจะดีหรือชั่วต้องมองวันข้างหน้า เฉกเช่นท่านแม่ ใครต่อใครก็พากันพูดว่านางมีบุญวาสนา ไม่ใช่เพราะท่านพ่อได้เป็นขุนนางใหญ่โต แต่เป็นเพราะคุณชายใหญ่กตัญญูอีกทั้งยังสอบเป็นบัณฑิตจู่เหรินได้” นางอยากจะเปลี่ยนแปลงความคิดที่ขุ่นหมองของอู่เหนียง เพราะไม่ว่าอย่างไร ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นพี่น้องด้วยกันทั้งสิ้น ในขณะที่ยังพอจะสามารถชี้แนะได้ก็ควรจะชี้แนะ ส่วนอู่เหนียงจะฟังหรือไม่ฟังก็เป็นเรื่องของนางแล้ว แต่อู่เหนียงฉลาดหลักแหลม สีหน้าของนางค่อยๆ ผ่อนคลายลง นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “วันมะรืนนี้พวกเจ้าจะไปที่จวนจงฉินปั๋วใช่หรือไม่ ข้าเห็นน้องหญิงสิบค้นเอาของของเจ้าไปไม่น้อย ที่ข้ายังมีเครื่องประดับผมพลอยตาแมวฟ้าอยู่ชุดหนึ่ง ข้าให้เจ้าไปยืมสวมพรุ่งนี้ ข่มนางได้ก็พอ” ทิ้งท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างฉุนเฉียว  

 

 

หากเปรียบเทียบกับสือเหนียง อู่เหนียงคงยอมที่จะให้นางดีมากกว่า  

 

 

สืออีเหนียงจึงได้กล่าวขอบคุณ ทั้งสองคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง อู่เหนียงจึงได้ขอตัวกลับไป สืออีเหนียงเดินออกไปส่งนางที่หน้าประตูด้วยตัวเอง  

 

 

จู่ๆ ปินจวี๋ก็พูดขึ้นด้วยความสงสัยว่า “พระอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันตกหรืออย่างไรกัน อยู่ดีๆ คุณหนูห้าถึงได้มาพูดความในใจกับคุณหนูได้”  

 

 

หู่พั่วยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “มีอะไรให้น่าประหลาดใจกันเล่า คุณหนูของเราทั้งอ่อนโยนนิสัยดี อีกทั้งไม่ได้เป็นคนปากเปราะพูดไปทั่ว ไม่ว่าใครก็อยากจะมาพูดคุยกับคุณหนูของเราทั้งนั้น อีกอย่างในเรือนนี้นอกจากคุณหนูของเราแล้ว คุณหนูห้าจะไปคุยกับใครได้อีกเล่า” 

 

 

“ทุกคนหยุดพูดได้แล้ว” สืออีเหนียงไม่อยากจะให้เรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป มิเช่นนั้นอู่เหนียงอาจจะคิดว่านางมาพูดจาอวดต่อหน้าสาวใช้ พลอยจะโกรธเกลียดนางเอา ได้ไม่คุ้มเสีย “รีบไปพักผ่อนกันเถิด”  

 

 

***** 

 

 

วันรุ่งขึ้น ทุกคนก็พากันไปคารวะนายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่ก็ได้พูดถึงเรื่องการไปเป็นแขกของจวนจงฉินปั๋ว “…อาศัยที่อากาศสดใสของแดดฤดูใบไม้ผลินี้ออกไปเดินเล่นหน่อยก็ดีไม่น้อย” 

 

 

อู่เหนียงจึงรีบพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ข้าไม่ไป ข้าจะเย็บปักถักร้อยอยู่ที่เรือนเจ้าค่ะ” 

 

 

ใบหน้าของนายหญิงใหญ่ปรากฏสีหน้าพึงพอใจเป็นอย่างมาก นั่งยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่เป็นคำพูดที่คุณหนูสิบเอ็ดของเรามักพูดอยู่เป็นประจำ ตอนนี้ถูกพูดออกมาโดยคุณหนูห้า ถือว่ารู้เรื่องไม่น้อย” อู่เหนียงก้มหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าที่เขินอาย  

 

 

สืออีเหนียงรู้สึกตื้นตันคุณหนูเจ็ดสกุลกานเป็นอย่างมาก ไม่เพียงจะยังจำพวกนางได้ ยังให้คนมาส่งเทียบเชิญให้พวกนางอีก อีกทั้งยังรู้ว่าพวกนางออกไปข้างนอกยาก จึงได้ส่งท่านป้าบ่าวรับใช้ที่พูดจาเก่งและฉะฉานมาแทน จนคุณนายใหญ่ปฏิเสธแทบจะไม่ไหว แม้ว่าในตอนสุดท้ายคุณนายใหญ่จะไม่ได้ตอบตกลง แต่ความตั้งใจครั้งนี้ของคุณหนูเจ็ดสกุลกาน นางสัมผัสและรับรู้ได้เป็นอย่างดี  

 

 

“สืออีเหนียงก็อยู่ด้วยกันเถิด!” นายหญิงใหญ่หันมายิ้มให้กับนาง “งานเย็บปักที่พี่หญิงของเจ้าต้องทำค่อนข้างเยอะ เจ้าเองก็ฝีมือดีไม่น้อย อยู่ช่วยนางดีกว่า” 

 

 

สืออีเหนียงไม่กล้าที่จะฝ่าฝืน ได้แต่ยิ้มพร้อมกับขานรับว่า “เจ้าค่ะ” แต่ในใจค่อนข้างผิดหวัง รู้สึกผิดต่อความตั้งใจของคุณหนูเจ็ดสกุลกาน  

 

 

นายหญิงใหญ่พยักหน้าเบาๆ หันไปยิ้มให้กับป้าสวี่พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าไปเป็นเพื่อนคุณหนูสิบก็แล้วกัน จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาด้วย”  

 

 

งานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ ที่จวนมีทั้งสาวใช้และท่านป้าคอยปรนนิบัติดูแล คนที่ติดตามไปด้วยก็จะได้รับการปรนนิบัติเฉกเช่นแขกโดยปริยาย มีคนมาดื่มสุราเป็นเพื่อน ถือเป็นบรรยากาศที่น่ารื่นเริงไม่น้อย แต่ทว่าการที่นายหญิงใหญ่ให้ป้าสวี่ตามไปด้วยนั้น เกรงว่าคงจะไม่ใช่เพียงแค่ต้องการให้ป้าสวี่ออกไปเที่ยวสำราญเป็นแน่ ดูท่าแล้วคงจะต้องการให้ไปควบคุมสือเหนียงเสียมากกว่า!  

 

 

ป้าสวี่เองก็ดูเหมือนจะเข้าใจ จึงได้ยิ้มพร้อมกับขานรับว่า “เจ้าค่ะ” อีกทั้งยังพูดติดตลก “บ่าวจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”  

 

 

ทุกคนจึงพากันหัวเราะขึ้นมา พูดคุยหยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นป้าผู้ดูแลกลับมารายงาน คุณหนูทั้งหลายจึงเตรียมจะขอตัวลา แต่เพิ่งจะลุกขึ้นยืนเท่านั้น ก็มีสาวใช้มาเรียนว่า “นายหญิงใหญ่ หวังฮูหยินมาแล้วเจ้าค่ะ!”  

 

 

เช้าขนาดนี้…สืออีเหนียงรู้สึกตกใจเล็กน้อย นายหญิงใหญ่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เชิญนางเข้ามา!” นางพูดพลางเดินออกไปรับ  

 

 

หวังฮูหยินเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ยินดีกับนายหญิงใหญ่ด้วย ข้าตั้งใจจะมาขอดื่มสุรามงคลโดยเฉพาะ”  

 

 

เมื่อได้ยินแล้วนายหญิงใหญ่ก็เลิกคิวเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ พร้อมกับรีบเดินเข้าไปควงแขนของหวังฮูหยิน “ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานของท่านทั้งนั้น” จากนั้นก็ได้หันไปสั่งอู่เหนียงและคนอื่นๆ ว่า “พวกเจ้ากลับเรือนไปพักผ่อนก่อนเถิด!”  

 

 

ได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ ทุกคนก็รู้ได้เลยทันทีว่าหวังฮูหยินมาที่นี่ทำไม!  

 

 

อู่เหนียงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกลังเลใจเล็กน้อย ส่วนสือเหนียงนั้นได้หมุนตัวแล้วเดินออกไปทันที อู่เหนียงจ้องมองแผ่นหลังของนาง เม้มปากเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยเดินตามนางออกไป 

 

 

เป็นดังที่คิด หวังฮูหยินผู้นั้นเป็นตัวแทนของทางเม่ากั๋วกงมาคุยเรื่องเกี่ยวกับการหมั้นหมาย และคนที่พูดถึงนั้นก็คือสือเหนียง 

 

 

นายหญิงใหญ่ตอบรับด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง ตกบ่ายก็ได้ไปที่เรือนของนายหญิงสามด้วยตัวเอง และได้เชิญใต้เท้าจินลูกศิษย์ท่านหนึ่งของหลิ่วเก๋อเหล่า ดำรงตำแหน่งอาลักษณ์หลวงที่สำนักศึกษาฮั่นหลินย่วนท่านหนึ่งมาเป็นแขกผู้ใหญ่  

 

 

เช่นนี้ สือเหนียงที่ตั้งใจจะไปชื่นชมฤดูใบไม้ผลิที่จวนจงฉินปั๋วก็ไปไม่ได้เสียแล้ว นายหญิงใหญ่จึงได้ให้สืออีเหนียงเขียนจดหมายอธิบายถึงสถานการณ์ส่งไปให้คุณหนูเจ็ดสกุลกาน  

 

 

สืออีเหนียงไม่เพียงแต่ส่งจดหมายไปให้คุณหนูเจ็ดสกุลกานเท่านั้น ยังได้ให้คนส่งจดหมายนำถุงผ้าสำหรับใส่เงินสองใบพร้อมด้วยผ้าเช็ดหน้าอีกสองผืนไปให้สองพี่น้องสกุลกานอีกด้วย เพื่อตอบแทนน้ำใจที่พวกนางอุตส่าห์มาเชื้อเชิญ  

 

 

ผ่านไปสองวัน ก็มีคนจากบ้านสกุลหวังมารับหนังสือผูกดวงของบ้านสกุลหลัว คนที่ได้รับเชิญให้มาเป็นแขกผู้ใหญ่นั้นคือพี่ชายแท้ๆ ของใต้เท้าหวังที่เข้ารับตำแหน่งในฝูเจี้ยนเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้แม้แต่ทหารองครักษ์ค่ายหู่เวยยังต้องอยู่ใต้บัญชาการ เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ระดับสาม จึงถือว่าค่อนข้างมีหน้ามีตาเป็นอย่างมาก  

 

 

ทั้งสองตระกูลแลกเปลี่ยนหนังสือดวงชะตา และได้เลือกวันที่สิบสองเดือนสี่เป็นวันส่งของกำนัล 

 

 

ทุกคนต่างล้วนยินดีกันถ้วนหน้า เพราะดีใจที่ได้ส่งคนของตนไปเป็นฮูหยินในตระกูลขุนนางใหญ่โตของราชสำนักเพิ่มอีกหนึ่งคน บ้านสกุลหลัวยิ่งอยู่ก็จะยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ  

 

 

จากนั้น นายหญิงใหญ่ก็ได้อุทิศตนเพื่อสนับสนุนและเตรียมความพร้อมในการสอบฮุ่ยซื่อให้กับหลัวเจิ้นซิ่งอย่างเป็นทางการ 

 

 

ไม่เพียงแต่สั่งตัดชุดใหม่ทั้งชุด ยังให้คนไปที่ร้านขายพู่กันและน้ำหมึกที่ดีที่สุดของเมืองเยี่ยนจิง เพื่อซื้อสี่สิ่งล้ำค่าแห่งห้องตำรามาสองชุด ชุดหนึ่งมอบให้หลัวเจิ้นซิ่ง ส่วนอีกชุดก็ได้ให้คนนำไปส่งให้กับคุณชายเฉียน 

 

 

หลังจากที่คุณชายเฉียนได้รับของแล้ว ก็ได้เขียนจดหมายตอบกลับมาเพื่อกล่าวขอบคุณโดยเฉพาะ ว่าหากวันใดเขารุ่งโรจน์เจริญก้าวหน้าขึ้นมา จะไม่ลืมบุญคุณของนายหญิงใหญ่เลย  

 

 

นายหญิงใหญ่อ่านแล้วก็ปลื้มปริ่มยิ้มทั่วหน้า จากนั้นก็ได้ให้คนไปซื้อผัดสุ่ยจิงฮุ่ยที่หอชุนซีส่งไปให้เขา 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท