ในคืนฤดูใบไม้ร่วง แสงดวงจันทร์สว่างไสว สอดส่องเข้ามาทางหน้าต่างกระทบลงบนพื้นกระเบื้องสีฟ้า ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบสงบ
มองดูชุดแพรสีแดงที่แขวนอยู่บนราวแขวนผ้า สืออีเหนียงก็นอนไม่หลับ
พรุ่งนี้จะต้องแต่งเข้าไปในจวนสกุลสวีแล้ว ตัวเองพร้อมแล้วจริงๆ น่ะหรือ?
นางอดไม่ได้ที่จะพลิกตัว
อู๋เซี่ยวเฉวียนที่มาจากอวี๋หังมาถึงเยี่ยนจิง นอกจากจะมาเพราะเรื่องงานแต่งงานของหลัวเจิ้นเซิงแล้ว นางก็มาเพื่อนาง เพราะว่าสินเดิมของฝ่ายหญิงต้องมีผู้ติดตามสี่คน ดังนั้นนายหญิงใหญ่จึงให้อู๋เซี่ยวเฉวียนพาผู้ติดตามทั้งสี่สกุลมาจากอวี๋หังบ้านเกิด หนึ่งในนั้นคือเจียงปิ่งเจิ้ง ซึ่งเป็นลุงรองของป้าเจียง ปีนี้พึ่งจะอายุสามสิบต้นๆ อีกคนหนึ่งคือหลิวหยวนรุ่ย อายุเท่ากันกับเจียงปิ่งเจิ้ง อีกคนหนึ่งคือว่านอี้จง อายุสามสิบแปดปี อีกคนคือฉังจิ่วเหอ อายุสามสิบสองปี
อู๋เซี่ยวเฉวียนเคยบอกกับนางอย่างภาคภูมิใจ บอกว่าสี่คนนี้คือคนที่นางช่วยเลือกเอง ว่านอี้จงและฉังจิ่วเหอทำไรทำนาเก่ง เจียงปิ่งเจิ้งเคยเป็นเถ้าแก่ร้านสกุลหลัวที่หังโจว เพราะว่าทำให้พ่อบ้านเถาคนที่รับผิดชอบกิจการของสกุลหลัวที่เมืองหังโหวไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงถูกย้ายออกมา พ่อบ้านเถาก็คือลุงสามของของป้าเถาคนสนิทของหยวนเหนียง เป็นคนที่ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ แม้แต่ป้าเถาก็ยังต้องคอยระมัดระวังเขา…ส่วนหลิวหยวนรุ่ย เขาเป็นคนซื่อสัตย์ เชี่ยวชาญด้านการทำเกษตรกรรม เหตุผลหลักที่เลือกเขาก็เพราะว่าภรรยาของเขาทำอาหารอร่อย วันสำคัญๆ ในหมู่บ้าน ล้วนแต่เป็นบ้านของหลิวหยวนรุ่ยเป็นพ่อครัว พวกเขามีความสามารถมาก ถึงตอนนั้นสามารถให้คนของหลิวหยวนรุ่ยเป็นคนดูแลเรือน ไม่มีอะไรทำก็ไปเดินเล่นในเรือน ก็ยังมีคนคอยดูแลเรื่องอาหารการกิน
สืออีเหนียงยิ้มและขอบคุณอู๋เซี่ยวเฉวียน แต่นางกลับไม่ได้ไปทำความรู้จักกับสี่คนนั้น นางถามหู่พั่วว่า“…เจ้ารู้จักหรือไม่”
หู่พั่วพึมพำ “บ่าวรู้จักหลิวหยวนรุ่ยเจ้าค่ะ เขาคือหัวหน้าหมู่บ้าน เขาเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ต่อมาถูก…” พูดถึงตรงนี้ นางก็หยุดชะงักไปชั่วคราว “ถูกหลานชายของป้าสวี่เข้ามาแทน หากไม่ใช่เพราะว่าภรรยาของเขาเป็นคนมีความสามารถ ไปทำความรู้จักกับอู๋เซี่ยวเฉวียน เกรงว่าพวกเขาคงจะอยู่ที่หมู่บ้านต่อไปไม่ได้แล้ว แต่ว่านางทำอาหารอร่อย มักจะมีคนเชิญไปเป็นแม่ครัวในงานสำคัญๆ และถึงแม้ว่าบ่าวจะไม่รู้จักเจียงปิ่งเจิ้ง แต่บ่าวเคยได้ยินว่า เขาเป็นคนกระตือรือร้น ตอนนั้นยังจะแย่งตำแหน่งผู้ดูแลจวนที่หังโหวมาจากพ่อบ้านเถา ต่อมาถูกพ่อบ้านเถาจับได้ว่าเขายักยอกเงิน จึงถูกส่งตัวกลับมาที่หมู่บ้าน หากไม่ใช่เพราะอู๋เซี่ยวเฉวียนปกป้องเขา นายหญิงใหญ่คงจะไล่เขาออกไปตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ” นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เขาทำไร่ทำนาก็ไม่เป็น แม้แต่ทำงานในหมู่บ้านก็แค่สามวันจับปลาสองวันตากแห แต่เขามีความสัมพันธ์กับอู๋เซี่ยวเฉวียน ทุกคนล้วนทำอะไรเขาไม่ได้… ”
สืออีเหนียงสงสัย “เหตุใดอู๋เซี่ยวเฉวียนต้องปกป้องเขา”
หู่พั่วยิ้มและตอบว่า “เขาแต่งงานกับหลานสาวของอู๋เซี่ยวเฉวียน”
ด้านหนึ่งคือป้าเจียง อีกด้านหนึ่งคืออู๋เซี่ยวเฉวียน แล้วยังแย่งตำแหน่งกับพ่อบ้านเถา ภูมิหลังของเจียงปิ่งเจิ้งคนนี้ค่อนข้างซับซ้อน แต่อย่างไรก็ตาม จะมาอยู่กับนางก็ควรมีความสามารถสักหน่อย อย่างเช่นภรรยาของหลิวหยวนรุ่ย ตำแหน่งของสามีถูกหลานชายของป้าสวี่แย่งไป นางยังสามารถไปสร้างความสัมพันธ์กับอู๋เซี่ยวเฉวียน สุดท้ายยังถูกส่งติดตามมาที่เยี่ยนจิง…
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเบาๆ
“แต่บ่าวไม่เคยได้ยินชื่อว่านอี้จงและฉังจิ่วเหอ!” หู่พั่วพูด “ให้บ่าวไปสืบดูหรือไม่เจ้าคะ หลิวหยวนรุ่ยน่าจะรู้จักพวกเขา”
ล้วนแต่ไม่ใช่เด็กกันแล้ว นรลักษณ์[1]เกิดจากใจ แค่เจอกันก็รู้แล้วว่าเป็นคนเช่นไร!
สืออีเหนียงยิ้มและพูดว่า “ช่างเถิด เป็นแค่คำพูดของอู๋เซี่ยวเฉวียนคนเดียว ใครจะรู้ว่าท่านแม่จะจัดการเช่นไร”
หู่พั่วไม่พูดอะไรอีกต่อไป
สืออีเหนียงนึกถึงเรื่องอื่นขึ้นมา
เมื่อวานป้าสวี่บอกนางว่า นายหญิงใหญ่จะให้นางพาสาวใช้ไปด้วยสี่คน
นางครุ่นคิด บอกให้หู่พั่วไปเรียกตงชิง จากนั้นนางก็ถามตงชิงตัวต่อตัว “ตอนนั้นอาจจะไปได้แค่สี่คน เจ้าคิดเช่นไร“
ตงชิงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ นางก้มหน้าลง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พูดออกมาว่า “คุณหนู เห็นแก่ที่บ่าวเคยปรนนิบัติรับใช้ท่าน ท่าน ท่านให้บ่าวแต่งงานกับคนดีๆ สักคนเถิดเจ้าค่ะ!” นางพูดจบ น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างเงียบๆ ไหลไปตามกระโปรงราวกับสายน้ำ
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ
ตงชิงคงจะคิดว่านางลำบากใจ นางจึงพูดออกมาเช่นนี้ ให้นางได้เตรียมใจ
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าต้องพาเจ้าไปด้วยแน่นอน” นางยิ้มและปลอบใจตงชิง “ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าอยู่ในเงื้อมมือของป้าเหยาแน่นอน”
ตงชิงพยักหน้าทั้งน้ำตา “คุณหนู ชาติหน้าบ่าวจะเกิดเป็นวัวเป็นม้าตอบแทนบุญคุณของท่าน”
“ข้าจะให้เจ้าเป็นวัวเป็นม้าทำไมกัน” สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้
นางเรียกปินจวี๋มาถาม
ปินจวี๋พูดอย่างตรงไปตรงมา “แน่นอนว่าต้องหาวิธีไม่ให้หู่พั่วไปด้วย” แล้วยังออกความคิดเห็น “คุณหนู เช่นนั้น เราทำเหมือนเมื่อก่อนดีไหมเจ้าคะ ให้หู่พั่วกินยาถ่าย…”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ “ไม่ได้นะ!”
“เช่นนั้นควรทำเช่นไรเจ้าคะ” นางขมวดคิ้ว “บ่าวเห็นหน้านางแล้วรู้สึกขนลุก” ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่หู่พั่วเคยไปคุยโม้โอ้อวดที่สือเหนียงให้สืออีเหนียงฟัง “…ท่านบอกให้พวกบ่าวอดทน แต่นางกลับเย่อหยิ่งเพราะเรื่องเสื้อผ้าสองสามชิ้น บ่าวเกรงว่านางจะสร้างปัญหาให้ท่าน”
“อืม” สืออีเหนียงยิ้มและพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง!”
ปินจวี๋ถอนหายใจอย่างโล่งอก
สืออีเหนียงถามชิวจวี๋
ชิวจวี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองมาที่นางอย่างจริงจัง “คุณหนู ให้บ่าวกลับไปเถิดเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงตกใจ
ชิวจวี๋ยิ้มและพูดว่า “บ่าวอยากกลับไปอวี๋หัง พ่อกับแม่ของบ่าว แล้วยังมีพี่ชายน้องชาย พวกเขาล้วนแต่อยู่ที่อวี๋หัง”
รู้ว่าควรพูดอะไรเมื่อใด รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร…จู่ๆ สืออีเหนียงก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์นาง
นางอดไม่ได้ที่จะจับมือชิวจวี๋ “เจ้าอยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือไม่”
ชิวจวี๋ถอนหายใจเบาๆ
ถึงแม้ว่านางจะรู้ว่านายหญิงที่นางรับใช้ไม่ใช่คนใจคับแคบ แต่การที่ปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนี้ มันทำให้นางตกใจ
นางยิ้มและพูดว่า “บ่าวอยากเรียนงานปักสองด้านกับคุณหนูเจ้าค่ะ”
ไม่ว่าจะมองในแง่ของเวลาหรือสถานการณ์ตอนนี้ มันล้วนแต่เป็นไปไม่ได้
สืออีเหนียงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าจะบอกผู้ดูแลอู๋ ส่งเจ้าไปทำงานที่จวนในหังโจว แล้วข้าจะเขียนจดหมายให้อาจารย์เจี่ยน เจ้านำจดหมายของข้าไปหาอาจารย์เจี่ยน จะเรียนรู้เรื่องหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้ว”
ชิวจวี๋รีบคุกเข่ากัมหัวให้สืออีเหนียงสามครั้ง “บุญคุณของคุณหนู บ่าวจะจดจำไปตลอดชีวิต”
หมายถึงเรื่องที่ตัวเองให้นางกลับไปอยู่กับพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตาใช่หรือไม่!
เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากกัน สืออีเหนียงถึงตระหนักขึ้นมาได้ว่าชิวจวี๋คือไข่มุกล้ำค่า แต่น่าเสียดายที่ตัวนางเองมองไม่เห็น
สืออีเหนียงถามจู๋เซียงด้วยความด้วยความเสียใจ “…เจ้าคิดว่า ข้าเลือกสี่คนไหนดี”
สีหน้าของจู๋เซียงเต็มไปด้วยความตกใจ
นางเป็นสาวใช้น้อย มักจะเดินตามชิวจวี๋และปินจวี๋อยู่เสมอ ตัวเองถามนางเช่นนี้ นางรู้สึกตกใจก็ไม่แปลกอันใด
สืออีเหนียงยิ้มและพูดว่า “อี๋เหนียงห้าเป็นคนแนะนำเจ้าให้ข้า ข้าจะทิ้งเจ้าอยู่ที่เรือนไม่ได้ แต่เมื่อไปที่จวนสกุลสวี เราไม่คุ้นเคยกับที่นั่น แล้วยังเป็นคนนอก กลัวว่าจะเจอกับอะไรหลายๆ อย่าง ถึงตอนนั้น หากพวกเจ้าไม่สามัคคีกัน เกรงว่าข้าคงจะลำบาก ข้าจึงถามพวกเจ้า ข้าจะได้รู้ว่าควรจัดการเช่นไร!”
จู๋เซียงก้มหน้า บีบนิ้วมือไม่พูดไม่จาอยู่นาน
สืออีเหนียงก็ไม่เร่งนาง นางดื่มชาอย่างเงียบๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางถึงได้พูดออกมาเบาๆ “ให้ ให้พี่ชิวจวี๋กลับไปเถิดเจ้าค่ะ นางยังมีพ่อกับแม่อยู่ที่อวี๋หัง”
สืออีเหนียงตกใจ แต่นางก็ยิ้มและพูดว่า “ชิวจวี๋เข้ามาในจวนก็มาปรนนิบัติรับใช้ข้า ข้าอาลัยอาวรณ์นาง แต่ว่าหู่พั่ว…”
นางยังพูดไม่จบ จู๋เซียงก็เงยหน้าขึ้นมา
ดวงตาที่กลมโตของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “ท่านอย่าได้…นายหญิงใหญ่ไม่เห็นด้วยแน่นอนเจ้าค่ะ… อี๋เหนียงห้าก็ยังอยู่ที่อวี๋หัง ไม่เช่นนั้น ให้บ่าวกลับไปเถิดเจ้าค่ะ อี๋เหนียงห้าจะได้มีคนคอยรับใช้!”
สืออีเหนียงมองนางแล้วยิ้ม “ข้ารู้แล้ว”
แต่จู๋เซียงกลับพูดว่า “คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วง บ่าวจะไม่บอกเรื่องนี้กับคนอื่นแน่นอนเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มของสืออีเหนียงลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม
สองสามวันต่อมา นายหญิงใหญ่แนะนำผู้ติดตามสี่คนให้นางรู้จัก
เจียงปิ่งเจิ้งคนนั้นเป็นเหมือนที่หู่พั่วพูดไม่มีผิด เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ ดวงตาคู่นั้นของเขาช่างคล่องแคล่วว่องไว หลิวหยวนรุ่น ว่านอี้จงและฉังจิ่วเหอยืนอยู่ที่ประตู สองคนนั้นก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาแม้แต่น้อย แต่สายตาของเจียงปิ่งเจิ้งกลับมองมาที่สืออีเหนียงตั้งหลายครั้ง
สืออีเหนียงสังเกตมือของพวกเขาสี่คนอย่างละเอียด
มือของ เจียงปิ่งเจิ้งขาวสะอาด ไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป
ส่วนมือของหลิวหยวนรุ่ย ว่านอี้จงและฉังจิ่วเหอล้วนแต่หยาบกร้าน แต่มือของพวกเขาไม่เหมือนกัน มือของว่านอี้จงล้างอย่างสะอาด แต่เล็บมือของหลิวหยวนรุ่ยและฉังจิ่วเหอยังคงมีคราบโคลน
นึงถึงเรื่องนี้นางก็พลิกตัวอีกครั้ง
เสียงเสียดสีกันของชุดกระโปรงดังขึ้นมาในคืนที่เงียบสงัด
“คุณหนู ท่านหลับแล้วหรือยังเจ้าคะ”
หู่พั่วที่นอนเฝ้ายามอยู่ข้างล่างเตียงถามนาง
“ยังไม่หลับ!” สืออีเหนียงพูดเบาๆ
ปกติเวลานี้ หู่พั่วมักจะมีเรื่องพูดคุยกับนาง
รออยู่นาน ในที่สุดหู่พั่วก็พูดออกมา “ท่านโหวทำเช่นนี้ มันคงจะเป็นพรหมลิขิตใช่หรือไม่เจ้าคะ!” นางพูดเสียงเบาๆ จนแทบจะไม่ได้ยิน ราวกับว่ามันกำลังล่องลอยไปกับแสงจันทร์ “บ่าวมักจะได้ยินคนพูดว่า ไม่ว่าอะไรจะสวยงามแค่ไหน สุดท้ายแล้วมันก็ต้องสลายไป…” ในน้ำเสียงของนางมีกลิ่นอายของการแอบถาม “แล้วยังบอกอีกว่า ความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่เกินไป จะต้องมีจุดจบที่น่าอนาจ…ท่านโหว คงจะไม่ใช่คนเช่นนั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋กลับมาพร้อมกับชัยชนะ ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้เขาอีกครั้ง สวีลิ่งอี๋เขียนหนังสือขอบพระทัยอย่างยาวเหยียด จากนั้นก็ปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม ฮ่องเต้จึงมอบทองคำหนึ่งหมื่นตำลึงและที่ดินอีกสิบไร่ให้สวีลิ่งอี๋
นายหญิงใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแห้ง
แต่นายท่านใหญ่กลับถอนหายใจและพูดว่า ‘น่าเสียดาย’
คิดไม่ถึงว่า หู่พั่วก็เข้าใจเรื่องพวกนี้?
ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวของนางมาตลอดก็วาบขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
สืออีเหนียงตะเเคงข้าง นอนบนแขนแล้วมองไปที่หู่พั่ว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมท่านแม่ต้องส่งเจ้ามาอยู่กับข้า”
“บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ” หู่พั่วตกใจ “บ่าวก็คิดอยู่เหมือนกันเจ้าค่ะ บรรดาพี่ๆ ฉลาดหลักแหลมขนาดนั้น หรือว่ารู้สึกว่าบ่าวซื่อบื้อ จึงส่งบ่าวออกมา” นางหันหน้ามามองสืออีเหนียง สายตาเป็นประกายท่ามกลางความมืดมิด
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” สืออีเหนียงยิ้ม “แต่ว่า ในเมื่อนางเลือกเจ้า แสดงว่านางต้องมีเจตนาของนาง ตอนนี้ข้าอยากถามเจ้าว่า เจ้าอยากจะอยู่กับข้าหรือไม่”
ไม่ได้ถามว่านางอยากจะไปที่จวนสกุลสวีกับตัวเองหรือไม่ แต่ถามนางว่านางอยากจะอยู่กับตัวเองหรือไม่…ในนี้ มันมีความหมายที่แตกต่างกัน
“เจ้าไม่จำเป็นต้องให้คำตอบข้าตอนนี้!” สืออีเหนียงนอนลงอีกครั้ง “คิดดูให้ดีแล้วค่อยให้คำตอบกับข้าทีหลัง!”
หรือว่ายังจะกลับไปหานายหญิงใหญ่ได้อีกหรือ
นางไม่เคยมีทางเลือก
มาเป็นสาวใช้ในจวน คือความต้องการของพ่อกับแม่ ได้อยู่กับนายหญิงใหญ่ คือความต้องการของป้าสวี่ ย้ายมาอยู่ที่เรือนของสืออีเหนียง คือความต้องการของนายหญิงใหญ่…แต่นางรู้ว่า ตัวเองเป็นคนรักเดียวใจเดียวมาตลอด ผู้หญิงสองใจไม่เคยมีจุดจบที่ดี ตัวอยู่ที่นี่แต่ใจอยู่ที่นั่นก็ไม่เคยมีจุดจบที่ดี
หู่พั่วยิ้ม “แน่นอนว่าบ่าวต้องอยู่กับคุณหนูอยู่แล้วเจ้าค่ะ” น้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า มีกลิ่นอายของความเคร่งขรึม
ในความมืด สืออีเหนียงยิ้มมุมปาก นางนอนตะแคง “เจ้าต้องจำคำพูดของเจ้าเอาไว้นะ”
[1]นรลักษณ์ ลักษณะของมนุษย์