ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 71 ผลอิงเถา (ต้น)

ตอนที่ 71 ผลอิงเถา (ต้น)

“บ้านสกุลสวีส่งผลอิงเถามาหรือ” ความฉงนใจปรากฏขึ้นบนสีหน้านายหญิงใหญ่ “เชิญป้าทั้งสองเข้ามา!” 

 

 

ป้าสวี่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เห็นว่าฮองเฮาเป็นคนประทานให้ ไท่ฮูหยินตั้งใจส่งมาให้ชิมโดยเฉพาะเจ้าค่ะ” 

 

 

นายหญิงใหญ่พยักหน้าเบาๆ ป้าสวี่จึงไปเชิญป้าทั้งสองเข้ามาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม 

 

 

ป้าทั้งสองย่อตัวทำความเคารพนายหญิงใหญ่ จากนั้นก็เรียนจุดประสงค์ที่มากับนายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่กล่าวขอบคุณ พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง นายหญิงใหญ่ก็ได้ตกรางวัลให้ป้าทั้งสองเล็กๆ น้อยๆ จากนั้นก็ได้ให้ป้าสวี่ส่งป้าทั้งสองออกไปอย่างเช่นเคย 

 

 

นางค่อยๆ เปิดฝาตะกร้าที่สานด้วยไม้ไผ่ออก ข้างในเป็นผลอิงเถาสีแดงสดวางเรียงรายอยู่บนใบไม้สีเขียว ราวกับหินโมราสีแดงก็ไม่ปาน งดงามเป็นอย่างมาก 

 

 

นายหญิงใหญ่เรียกลั่วเชี่ยวมา “เก็บครึ่งหนึ่งไว้ให้นายท่านใหญ่ ส่วนอีกครึ่งนำไปส่งให้คุณนายใหญ่” 

 

 

ลั่วเชี่ยวขานรับแล้วจึงรีบไปจัดการทันที 

 

 

เมื่อถึงที่คุณนายใหญ่ ก็เจอคุณชายสี่หลัวเจิ้นเซิงเข้าพอดี 

 

 

ใบหน้าของเขาบวมแดง เมื่อเห็นลั่วเชี่ยวเข้ามา ก็รีบขอตัวออกไปทันที 

 

 

ลั่วเชี่ยวค่อนข้างรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก 

 

 

ปกติเวลาเจอหน้าคุณชายสี่ก็มักจะพูดคุยกับนางอยู่เสมอ วันนี้ทำไมถึงหลบหน้าหลบตารีบร้อนออกไปเช่นนี้ 

 

 

คุณนายใหญ่เองก็ดูเหมือนว่าจะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ จึงรีบถามนางว่า “ท่านแม่ให้เจ้ามาทำอะไร” 

 

 

ลั่วเชี่ยวจึงรีบสลัดความคิดในหัวออก นางยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ฮองเฮาทรงประทานผลอิงเถาให้บ้านสกุลสวี บ้านสกุลสวีจึงแบ่งมาให้ทางนี้ด้วย นายหญิงใหญ่จึงสั่งให้บ่าวนำมาให้คุณนายใหญ่ลองชิมดูเจ้าค่ะ” 

 

 

“งดงามจริงเชียว!” คุณนายใหญ่ชอบใจเป็นอย่างมาก รีบเรียกซิ่งหลินมา “นำครึ่งหนึ่งไปให้คุณชายใหญ่ ส่วนอีกครึ่งแบ่งไปให้ซิวเกอด้วย!” 

 

 

ซิ่งหลินขานรับแล้วรีบไปทันที คุณนายใหญ่ยังได้ให้ผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนแก่ลั่วเชี่ยวเป็นรางวัลอีกด้วย 

 

 

ลั่วเชี่ยวขอบคุณนายหญิงใหญ่ หมุนตัวแล้วเดินออกไปจากประตู ก็เห็นหลัวเจิ้นเซิงพูดอะไรบางอย่างกับคนขับรถม้าที่กำลังรีบออกรถม้าอยู่ พลางล้วงเงินก้อนออกจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้กับคนขับรถม้า คนขับรถม้ากำลังจะยื่นมือออกไปรับ แต่เห็นลั่วเชี่ยวเข้าก่อน จึงรีบผลักเงินออก หมุนตัวแล้วรีบวิ่งออกไปทันที 

 

 

หลัวเจิ้นเซิงจึงได้หันกลับมามอง ก็เห็นว่าเป็นลั่วเชี่ยว 

 

 

เขาค่อยๆ เดินกลับมาด้วยสีหน้าแปลกๆ “ข้าจะให้เขาช่วยซื้อของกินเสียหน่อย ใครจะไปรู้ว่าจะเป็นคนชอบดูถูกผู้อื่น” 

 

 

ลั่วเชี่ยวยิ้มขึ้นเล็กน้อย “น่าเสียดายที่พี่ใหญ่ซินไฉไม่อยู่ มิเช่นนั้น เขาจะต้องจัดการได้อย่างเรียบร้อยแน่นอน” 

 

 

แต่ในใจนางกลับกำลังครุ่นคิด เรื่องที่ให้ไปซื้อของข้างนอก เป็นผลประโยชน์เห็นๆ ใครจะไปผลักไสปฏิเสธเรื่องดีๆ เช่นนี้กัน คงจะเพราะตนไปเห็นเข้าพอดี จึงทำตัวไม่ถูกกระมัง งั้นข้ารีบไปดีกว่า ไม่แน่บางทีคนขับรถม้าอาจจะย้อนกลับมาหาคุณชายสี่ถึงที่เพื่อไปช่วยซื้อของก็เป็นได้! 

 

 

จากนั้นนางก็ได้อยู่พูดคุยกับหลัวเจิ้นเซิงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหมุนตัวกลับเรือนไป 

 

 

ตกค่ำ เมื่อนายท่านใหญ่กลับมาแล้ว นายหญิงใหญ่ก็รีบเข้าไปช่วยปลดเสื้อผลัดผ้า “ทานข้าวมาแล้วหรือยัง” 

 

 

นายท่านใหญ่ยืนให้นายหญิงใหญ่ช่วยปลดเสื้อคลุมออก พลางพยักหน้าเบาๆ “ทานแล้ว ทานที่บ้านน้องสาม” 

 

 

นายหญิงใหญ่ก็ได้สั่งให้ลั่วเชี่ยวไปยกผลอิงเถามา “…ไท่ฮูหยินส่งมา เห็นว่าฮองเฮาเป็นคนประทานให้ ถึงแม้ไม่มาก แต่ถือว่าเป็นน้ำใจ” 

 

 

นายท่านใหญ่ตอบกลับไปว่า “อืม” เมื่อล้างหน้าเรียบร้อย ก็ได้หย่อนตัวนั่งลงบนเตียงเตา พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตำแหน่งหน้าที่การงานของน้องสามมีข่าวดีแล้ว ได้ตำแหน่งที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการมณฑลซื่อชวน” 

 

 

“จริงหรือ!” นายหญิงใหญ่พูดขึ้นด้วยความดีใจ “นี่ถือเป็นข่าวดีไม่น้อย!” 

 

 

นายท่านใหญ่พยักหน้าเล็กน้อย “ได้ยินมาว่าท่านโหวเป็นคนช่วยฝากฝัง” 

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของนายหญิงใหญ่หมองลงเล็กน้อย พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความสงสัยว่า “แล้วตำแหน่งหน้าที่การงานของท่าน…” 

 

 

“เกรงว่าคงจะเป็นไปไม่ได้แล้วกระมัง!” นายท่านใหญ่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ 

 

 

นายหญิงใหญ่หัวใจหล่นฮวบ ค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงช้าๆ “เกิดอะไรขึ้นหรือ” น้ำเสียงค่อนข้างแผ่วเบาลงไปมาก 

 

 

“วันนี้ข้าคุยกับน้องสามไปครึ่งค่อนวัน สุดท้ายฝ่าบาทก็ทรงแต่งตั้งเฉินจื่อเสียงขึ้นรับตำแหน่งโส่วฝู่ นั่นก็หมายความว่าฝ่าบาททรงตัดสินใจจะผลักดันการปฏิรูปราชสำนักใหม่ ข้าเป็นคนของหลิ่วเก๋อเหล่า ตราบใดที่เฉินจื่อเสียงยังอยู่ในตำแหน่งนี้ ข้าก็จะไม่มีวันเงยหน้าอ้าปากได้” นายท่านใหญ่ยิ้มขึ้นด้วยความขมขื่น “ไม่รู้จักหน้าตาที่แท้จริงของเขาหลูซาน เพียงเพราะตนเองก็อยู่ในขุนเขา วันนี้น้องสามเปิดอกคุยกับข้าอย่างตรงไปตรงมา ข้าจึงได้ตื่นขึ้นจากฝันครั้งใหญ่ รู้ซึ้งถึงต้นตอสาเหตุที่แท้จริง” พูดจบ ก็ได้ส่ายหน้าเบาๆ 

 

 

นายหญิงใหญ่จึงพูดขึ้นด้วยความลังเลใจว่า “ไม่มีวิธีอื่นใดแล้วหรือ” 

 

 

“มี” นายท่านใหญ่หัวเราะเยาะตัวเองเบาๆ “หากว่าการปฏิรูปราชสำนักใหม่ล้มเหลว” 

 

 

นายหญิงใหญ่เงียบไป พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว 

 

 

“เกรงว่าในราชสำนักนี้ ข้าคงจะยืนผิดที่เสียแล้ว” นายท่านใหญ่ทอดถอนใจด้วยความหดหู่ “กลัวว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองครั้งยิ่งใหญ่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เสียมากกว่า ในตอนนั้น เพื่อเรื่องภาษีใบชา หลิ่วเก๋อเหล่าจึงไหว้วานให้ข้าช่วยเขียนจดหมายต่อต้านโดยเฉพาะ เวลานั้นน้องสองและน้องสามไม่ได้เข้าร่วมด้วย จึงค่อยยังชั่วหน่อย ข้าไม่อาจสามารถไปสนับสนุนการปฏิรูปราชสำนักใหม่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ได้” 

 

 

เมื่อครั้งยังเยาว์วัย นายหญิงใหญ่เคยติดตามบิดาไปพำนักอยู่ในสำนักขุนนางข้าราชการ แน่นอนว่าจะต้องเข้าใจความหมายในคำพูดของนายท่านใหญ่ เป็นดังคำที่นายท่านใหญ่กล่าวไว้ไม่มีผิด ยืนกรานและยึดมั่นจนถึงที่สุดโดยที่ไม่ยอมรับความผิดพลาด หยิ่งทะนงและหวงแหนในศักดิ์ศรี หากว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองครั้งใหญ่ขึ้นมาจริงๆ ใครจะเป็นคนกุมอำนาจ เกรงว่าก็คงจะไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว 

 

 

“เช่นนั้น เราจะต้องกลับไปที่อวี๋หังหรืออย่างไรกัน…” นายหญิงใหญ่ไม่อาจปกปิดความรู้สึกหวาดวิตกนี้ได้ 

 

 

“เรายังมีซิ่งเกอมิใช่หรือ” แม้ว่าจะพูดออกมาเช่นนี้ แต่ใบหน้าของเขากับแสดงสีหน้าที่ผิดหวังและเศร้าใจออกมา 

 

 

สองสามีภรรยานั่งอยู่ตรงข้ามกัน เงียบงันเช่นนั้นอยู่พักใหญ่ 

 

 

จู่ๆ ไม่รู้ว่าใครเดินผ่านฉลุบานหน้าต่าง หัวเราะเสียงเบาอย่างเบิกบานใจ 

 

 

นายหญิงใหญ่ได้ยินแล้วก็รู้สึกฉุนจัดขึ้นมา พร้อมกับลุกขึ้นยืนในทันที ตั้งใจว่าจะตะโกนด่าเสียงดัง แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นสามีของตนที่ก้มหน้าก้มตาหมดกำลังใจอยู่ตรงข้าม จึงกลัวว่านายท่านใหญ่จะรู้สึกว่าตนชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เอะอะโวยวายไปทั่ว จึงเปลี่ยนไปพูดว่า “ลั่วเชี่ยวล่ะ ให้นางไปยกผลอิงเถา ทำไมถึงไปนานขนาดนี้” 

 

 

ตู้เวยที่เฝ้าอยู่ข้างๆ ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดอย่างชัดเจน จึงรู้ว่านายหญิงใหญ่กำลังไม่สบอารมณ์ นางจึงรีบพูดขึ้นว่า “นายหญิงใหญ่ บ่าวจะไปดูเองเจ้าค่ะ” พูดจบก็รีบตรงไปยังห้องเอ่อร์ฝังที่อยู่ด้านข้างทันที 

 

 

ห้องเอ่อร์ฝังจุดไฟสว่างไสว ลั่วเชี่ยว ซานหู ใต้เม่าและเฝ่ยชุ่ยอยู่กันครบทุกคน แต่ละคนดูเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง โกลาหลวุ่นวายไปหมด 

 

 

“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น” ตู้เวยพูดขึ้นอย่างร้อนใจ “นายหญิงใหญ่ให้ข้ามาตาม ทำไมยังไม่รีบยกผลอิงเถาไปอีก” 

 

 

ลั่วเชี่ยวเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของนางขาวซีดไปหมด 

 

 

เฝ่ยชุ่ยที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นด้วยความเป็นกังวลใจว่า “ทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี” จากนั้นก็ได้พูดต่ออีกว่า “เมื่อครู่นี้ใครเป็นคนเฝ้าที่นี่ ไปตามทุกคนมาถามให้หมด ข้าไม่เชื่อว่าผลอิงเถาจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้” 

 

 

ตู้เวยจึงพึ่งเข้าใจถึงสถานการณ์ ที่แท้แล้วเมื่อครู่นี้ทุกคนกำลังตามหาผลอิงเถากันอยู่ 

 

 

“ไม่ได้” ใต้เม่าใบหน้าซีดเผือด “หากเรื่องนี้บานปลายขึ้นมา ถึงเวลานั้น ก็จะจบเรื่องยากแล้ว” 

 

 

“หน้าสิ่วหน้าขวาน มาพูดถึงเรื่องพวกนี้ทำไมกัน” สีหน้าของซานหูขาวซีดเสียยิ่งกว่าลั่วเชี่ยว “ตอนนี้จะต้องรีบไปเรียนนายหญิงใหญ่ก่อน มิเช่นนั้น หากถ่วงเวลานานกว่านี้ นายหญิงใหญ่จะยิ่งไม่สบายใจเพิ่มขึ้นไปอีก ไปเรียนเรื่องที่เกิดขึ้นตามจริง หากนายหญิงใหญ่พึงพอใจ ก็อาจจะไม่ถือโทษโกรธก็ได้” 

 

 

เรื่องมาถึงตอนนี้ ลั่วเชี่ยวกลับพูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า “ข้าจะไปเรียนนายหญิงใหญ่เอง” 

 

 

นางเดินออกไปอย่างอกผายไหล่ผึ่ง 

 

 

“ลั่วเชี่ยว” ตู้เวยรีบเรียกลั่วเชี่ยวไว้ พร้อมกับเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ของนายหญิงใหญ่และนายท่านใหญ่ให้นางฟัง “…เกรงว่าเวลานี้คงจะไม่เหมาะ” 

 

 

สีหน้าของลั่วเชี่ยวเปลี่ยนไปหม่นหมองไร้ซึ่งชีวิตชีวาในทันที 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงค่อยฝืนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถึงกระนั้น ก็ไม่ควรนิ่งอยู่ตรงนี้ไม่ทำอะไรสักอย่างกระมัง” พูดจบก็สาวเท้าเดินออกไปทันที 

 

 

ซานหูกำมือแน่นด้วยความโมโห “รีบหาให้เจอ หาตัวคนที่ขโมยผลอิงเถาไปกินออกมาให้ได้ ข้าไม่เชื่อว่านางจะกล้ากินผลอิงเถาลงท้องไป กินแม้กระทั่งจานกระเบื้องสีขาวที่ใช้ใส่ผลอิงเถาลงท้องไปด้วย” 

 

 

ใต้เม่าได้ยินแล้วก็ได้พูดขึ้นด้วยความลังเลว่า “ไปเรียนคุณนายใหญ่ดีหรือเปล่า…เรื่องในเรือนเป็นหน้าที่ดูแลของคุณนายใหญ่ ไม่แน่คุณนายใหญ่อาจจะช่วยขอร้องแทนลั่วเชี่ยวก็ได้” 

 

 

เฝ่ยชุ่ยได้ยินแล้วก็รีบวิ่งออกมาทันที “ข้าจะไปขอร้องคุณนายใหญ่เอง” 

 

 

ซานหูรีบเรียกนาง “เดี๋ยว” แต่นางได้วิ่งไปไกลแล้ว ซานหูอดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิด “จังเฟย[1]ผู้ห้าวหาญ ไม่รู้จักคิดให้ดีเสียก่อน ไปเรียนคุณนายใหญ่ตอนนี้ คุณนายใหญ่พลอยจะนึกว่าพวกเราใส่ความนางพอดี” 

 

 

ใต้เม่าฟังแล้วก็เตรียมตัวจะวิ่งตามไป 

 

 

ซานหูถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ช่างเถอะ วิ่งไปตอนนี้ก็ไม่ทันหรอก” จากนั้นก็พูดต่อว่า “สู้เราตามไปดูด้วยดีกว่า หากมีอะไรที่เราพอจะช่วยพูดได้ ก็จะได้ช่วยๆ กันพูด” 

 

 

ใต้เม่าฟังแล้วรู้สึกมีเหตุผล จึงได้เดินไปยังใต้ชายคาพร้อมซานหู 

 

 

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินนายท่านใหญ่พูดขึ้นว่า “…ก็แค่ผลอิงเถาจานเดียว หายไปแล้วก็ช่างมันเถิด พรุ่งนี้ให้คนไปซื้อที่ประตูใหญ่ตงต้าเหมินก็สิ้นเรื่อง” 

 

 

“นายท่านใหญ่พูดถูก” น้ำเสียงของนายหญิงใหญ่ค่อนข้างเย็นชา “แค่ผลอิงเถาจานเดียว ก็ยังแอบขโมยได้ หากเป็นทองสักหนึ่งแผ่น แม้แต่กะพริบตาก็คงจะไม่ได้กระมัง ข้าอาศัยอยู่ในเรือนของข้าเองหรืออยู่ในรังโจรกันแน่!” 

 

 

ในขณะที่กำลังแอบฟังอยู่นั้น ก็เห็นเฝ่ยชุ่ยและคุณนายใหญ่เดินมาพอดี 

 

 

ซานหูและใต้เม่ารีบเปล่าทักทาย “คุณนายใหญ่” 

 

 

สีหน้าของคุณนายใหญ่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก นางพยักหน้าให้ทั้งสองเล็กน้อย แล้วจึงเดินเข้าเรือนไป 

 

 

ทั้งสามจึงพากันเงี่ยหูฟัง 

 

 

ตอนแรกฟังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นัก รู้เพียงแต่ว่าน้ำเสียงของนายหญิงใหญ่ค่อนข้างฉุนเฉียวเป็นอย่างมาก คุณนายใหญ่ไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ต่อมาจู่ๆ น้ำเสียงของนายหญิงใหญ่ก็ดังขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งสามจึงเพิ่งจะได้ยินอย่างชัดเจน “…มันลอยหายไปกลางอากาศหรืออย่างไร ปิดประตูค้นหาทุกซอกทุกมุมเดี๋ยวนี้!” 

 

 

คุณนายใหญ่ขานรับว่า “เจ้าค่ะ” แล้วจึงสั่งตู้เจวียนไปเรียกป้าหังและป้าเจียงมา จากนั้นก็แบ่งหน้าที่กันค้นหาทั้งเรือนหลักและเรือนหลัง 

 

 

ป้าเจียงรู้ว่าเรือนหลังเป็นที่อาศัยของเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลาย หลังจากที่พาเหล่าแม่เฒ่าเคาะประตูเข้าไปแล้ว ก็ยืนนิ่งอยู่ข้างประตูไม่กล้าขยับ 

 

 

จึงมีแม่เฒ่าพูดแทนว่า “ท่านป้าเป็นอะไรไป คุณนายใหญ่รอรายงานจากพวกเราอยู่นะ” 

 

 

ป้าเจียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ของมันหายในเรือนหลักคงจะอยู่ในเรือนหลัก เรารอให้พวกเขาค้นหาเรือนหลักให้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยว่ากัน มิฉะนั้นเราจะล่วงเกินคุณหนูทั้งหลายเสียเปล่า” 

 

 

เหล่าแม่เฒ่าต่างพากันเงียบ ที่เรือนหลังมีคุณหนูสามท่านพำนักอยู่ ท่านหนึ่งกำลังจะเป็นฮูหยินของขุนนางในราชสำนัก อีกท่านคือภรรยาของบัณฑิตจู่เหริน ยังเป็นป้าเจียงที่ฉลาดมีไหวพริบ 

 

 

ทุกคนจึงพากันช่วยกันสังเกตและเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของเรือนหลัก 

 

 

ไม่นาน พวกนางก็ได้ยินเสียงแม่เฒ่าคนหนึ่งที่ไปค้นพร้อมกับป้าหังรายงานว่า “ท่านป้าหัง จานหาไม่เจอ แต่เจอผลอิงเถาอยู่จำนวนหนึ่ง” 

 

 

ป้าเจียงได้ยินแล้วก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก รีบหันไปส่งสายตาให้กับเหล่าบรรดาแม่เฒ่า จากนั้นก็พากันเดินเข้าไปเรียนคุณนายใหญ่ว่า “คุณนายใหญ่ ที่เรือนหลังไม่เจออะไรเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

คุณนายใหญ่หันไปโบกมือให้กับป้าเจียงเบาๆ ทุกสายตาหันไปจดจ่อกับป้าหังคนเดียว 

 

 

“เอามาให้ข้าดู” 

 

 

แม่เฒ่ายื่นจานกระเบื้องลายครามที่มีผลอิงเถาวางอยู่ให้กับคุณนายใหญ่ 

 

 

จากนั้นก็มีเสียงของสาวรับใช้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “คุณนายใหญ่ บ่าวไม่ได้ขโมยไปทาน บ่าวไม่ได้ขโมยไปจริงๆ เจ้าค่ะ…” 

 

 

ป้าเจียงหันไปมอง ก็เห็นว่าเป็นตี้จิ่นสาวใช้ในเรือนของคุณชายสี่ 

 

 

คุณนายใหญ่ไม่ชายตามองเลยแม้แต่นิดเดียว รีบตรงไปหานายหญิงใหญ่ทันที 

 

 

ตี้จิ่นน้ำตานองหน้า นางหันไปมองเรือนปีกทางทิศตะวันออกอยู่บ่อยครั้ง “บ่าวไม่ได้ขโมยไปทานจริงๆ เจ้าค่ะ…” 

 

 

ที่บานประตูของเรือนปีกทางทิศตะวันออกมีศีรษะของสาวใช้หลายๆ คนโผล่ออกมาดู แต่กลับไม่มีใครช่วยพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว 

 

 

ไม่นาน คุณนายใหญ่ก็เดินออกมา แล้วจึงหันไปพูดกับตี้จิ่นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “เอาไปขังไว้ที่โรงเก็บฟืนก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที!” จากนั้นก็หันหน้ามาหาทุกคน “แยกย้ายกันเถอะ!” แม่เฒ่าก็เข้ามานำตัวตี้จิ่นไปขังไว้ที่โรงเก็บฟืน 

 

 

ตี้จิ่นพยายามดิ้นรนขัดขืน “คุณชายสี่ คุณชายสี่ บ่าวไม่ได้ขโมยไปทานจริงๆ เจ้าค่ะ…” 

 

 

บานประตูของเรือนปีกทางทิศตะวันออกเงียบสนิท มีเพียงแสงแดดสลัวของยามพลบค่ำสาดส่องลงมา ทอดยาวกระทบลงบนผิวของขั้นบันไดหินขาว แม้ว่าแสงแดดจะดูอ่อนโยนและนุ่มนวล แต่กลับรู้สึกเงียบเหงาวังเวงเป็นอย่างมาก 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1]จังเฟย หรือ เตียวหุย เป็นแม่ทัพในวรรณกรรมจีนเรื่องสามก๊ก เป็นคนหยาบช้า อารมณ์ร้อน แต่ก็เป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์มาก ตรงไปตรงมา นับถือคุณธรรมและกล้าหาญ 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท