“ตามพระราชโองการ องค์ฮ่องเต้กล่าวว่า ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง เคารพผู้ที่มีคุณธรรม ความสำเร็จของบรรดาขุนนาง กฎเกณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ของการให้กำลังใจมีมากตั้งแต่สมัยอดีต หย่งผิงโหว สวีลิ่งอี๋แม่ทัพใหญ่ รับตำแหน่งมาหลายปี จงรักภักดี มีความดีความชอบ มีความสามารถ ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง แต่งตั้งให้เป็นราชครูขุนนางระดับสองของรัชทายาท แต่งงานกับสกุลหลัว สามีภรรยารักใคร่ปรองดองกัน สกุลเจริญรุ่งเริงเหมือนฮูหยินเจินซุ่นโหว สะใภ้หลัวภรรยาตัวแทน นอบน้อมอ่อนโยน ละเอียดรอบคอบ แต่งตั้งให้เป็นฮูหยินระดับหนึ่ง…”
สืออีเหนียงคุกเข่าอยู่บนพื้นเงียบๆ แต่หัวของนางกลับกำลังครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
ตำแหน่งขุนนางที่สูงที่สุดของต้าโจวคือสามตำแหน่งบริหารสูงสุด สามมหาเสนาบดีสูงสุดคือขุนนางขั้นหนึ่งระดับสูง ราชครูคือขุนนางขั้นหนึ่งระดับล่าง…ไม่ได้แต่งตั้งเป็นสามมหาเสนาบดีสูงสุดแต่แต่งตั้งเป็นราชครูของรัชทายาท…เข้าใจเช่นนี้ได้หรือไม่ ฮ่องเต้ยังคงต้องการใช้งานสวีลิ่งอี๋ หากแต่งตั้งเป็นสามมหาเสนาบดีสูงสุด หากเกิดสงครามขึ้น สวีลิ่งอี๋ก็ไม่สามารถเป็นผู้นำกองทัพทหารได้อีกต่อไป แล้วอีกอย่าง แต่งตั้งก็เหมือนไม่แต่งตั้ง ผู้สืบทอดตำแหน่งคนต่อไปในอนาคตจะเอาอะไรมาเป็นของรางวัลให้สวีลิ่งอี๋…
นางอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้ายาวๆ
ตอนนี้ ความปลอดภัยของสกุลสวีสำคัญที่สุด!
ระบบศักดินาการทำผิดกฏประเทศชาติไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
สำหรับการแต่งตั้งหยวนเหนียงหรือแต่ตั้งตัวเอง… เกรงว่าคงจะเป็นการชดเชยที่ไม่ได้แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้สวีลิ่งอี๋ใช่หรือไม่?
สืออีเหนียงไม่มีเวลามาคิดเรื่องพวกนี้
หลังจากขอบพระทัยพระราชโองการเสร็จ ของขวัญของฮองเฮาก็มาพอดี
ครั้งนี้นางให้ปิ่นระย้าและปิ่นเป่าฮวาอย่างละหนึ่งคู่ และผ้าลายปัก ‘สมความปรารถนา’ ‘ร่ำรวยมั่งคั่ง’ ‘เหลือกินเหลือใช้’ และ ‘เด็กละเล่น’
ส่งขันทีของฮองเฮากลับไป ของขวัญของไท่เฮาก็มาพอดี
นางให้เป็นกระจกที่แกะสลักคำว่า ‘จงรักภักดี’ หนึ่งบาน ไม้บรรทัดทองสัมฤทธิ์ที่แกะสลัก ‘ข้อห้ามสตรี’
ทุกคนในสกุลสวีคุกเข่าขอบพระทัยเป็นครั้งที่สาม
ขันทียิ้มและพูดกับสืออีเหนียงว่า “ถือกระจกไว้ส่องตัวเอง ถือไม้บรรทัดไว้เตือนตัวเอง ฮูหยินต้องจำคำสอนของไท่เฮาไว้นะขอรับ“
ตัวเองแต่งเข้ามาก็เพราะอาศัยหน้าตาของไท่เฮา ให้แค่กระจกและไม้บรรทัดกับนางก็ถือว่าไว้เกียรตินางมากพอแล้ว
“ขอบคุณกงกงเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเอ่ยขอบคุณด้วยความเคารพ “จดจำคำสอนของไท่เฮาเอาไว้ พึงระวังวาจาและการกระทำ ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด”
ไท่ฮูหยินอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่สืออีเหนียง
อายุแค่นี้ แต่รับพระราชโองการครั้งแรกกลับไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย…
เงยหน้าขึ้น นางเห็นสายตาของลูกชายมองไปที่ลูกสะใภ้
ไท่ฮูหยินอดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก
ขันทีคนนั้นเห็นว่าสืออีเหนียงท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัว เขาจึงยิ้มออกมาอย่างเย่อหยิ่ง
สวีลิ่งอี๋เดินเข้าไปดูแลขันทีด้วยตัวเอง ขันทีที่นำพระราชโองการของฮ่องเต้และฮองเฮามาประกาศมีสวีลิ่งควนเป็นคนดูแล
ท่าทีของขันทีคนนั้นยิ่งเย่อหยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เขายิ้มและพูดกับสวีลิ่งอี๋ว่า “ท่านโหวมีเวลาต้องไปเดินเล่นที่พระราชวังฉือหนิงบ่อยๆ นะขอรับ ไท่เฮาคิดถึงท่านโหวอยู่ตลอด แล้วยังชอบพูดถึงตอนที่ท่านโหวยังเด็กกับพวกข้า เรื่องที่ท่านเดินตามหลังฮ่องเต้ไปรื้อรังนกในตำหนักฉางซุน…คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตอนเด็กๆ ท่านโหวจะซุกซนเช่นนั้น แต่ตอนนี้กลับกลายมาเป็นเสาหลักของแผ่นดิน เป็นกระดูกของราชสักนัก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เคารพ
ดูเหมือนว่า ถึงแม้ว่าสกุลสวีจะแต่งงานกับตัวเองเพราะได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้ แต่ระหว่างทางมันไม่ได้ง่ายดาย ถึงขั้นพูดได้ว่า ชัยชนะของสกุลสวีไม่ใช่ชัยชนะที่แท้จริง…และอาจจะเป็นโอกาสที่ได้รับมาจากรอยร้าว
สืออีเหนียงครุ่นคิด เห็นว่าสีหน้าของทุกคนในสกุลสวีล้วนแต่เคร่งขรึม
นางคิดว่าคงเป็นเพราะท่าทีที่ขันทีคนนั้นมีต่อสวีลิ่งอี๋กระทบกับจิตใจของคนในสกุลสวี
แต่สวีลิ่งอี๋กลับยิ้มอย่างเป็นมิตร “ตอนเด็กไม่รู้ความ กงกงอย่าได้หัวเราะเยาะขอรับ”
ขันทีคนนั้นพอใจกับท่าทีของสวีลิ่งอี๋ เขาหัวเราะและกระซิบกระซาบกับสวีลิ่งอี๋อย่างสนิทสนมสองสามประโยค จากนั้นก็ขอตัวออกไป
สวีลิ่งอี๋ส่งเขาออกไปด้วยตัวเอง
บรรยากาศในจวนก็ผ่อนคลายลงทันที
สืออีเหนียงรีบเดินเข้าไปคำนับไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ
ไท่ฮูหยินยิ้มและรับคำนับนาง ฮูหยินสองเป็นแม่ม่าย นางจึงรีบหลบออกไปทันที “ดึกมาแล้ว ทางเดินที่เรือนข้าไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไรนัก ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
ทุกคนไม่รู้จะรั้งนางเช่นไร จึงมองดูนางเดินออกไป
ฮูหยินสามคำนับกลับสืออีเหนียง “น้องสะใภ้สี่ ยินดีด้วยยินดีด้วย ดูเหมือนว่าน้องสี่คงจะอยากไปรายงานกรมพิธีกรรม ไปขอตำแหน่งมาให้เจ้าเร็วๆ ”
ตามกฎแล้ว หลังจากที่พวกเขาแต่งงานกันแล้ว สวีลิ่งอี๋ต้องเขียนฎีกาถึงกระทรวงพิธีกรรม จากนั้นกระทรวงพิธีกรรมจะไปรายงานแก่ฮ่องเต้ หลังจากฮ่องเต้อนุมัตินางถึงจะได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แล้วอีกอย่าง หยวนเหนียงเป็นภรรยาเอก เป็นฮูหยินขั้นหนึ่งระดับสูง นางเป็นภรรยาตัวแทน ควรจะเป็นฮูหยินขั้นหนึ่งระดับสาม คิดไม่ถึงว่า ฮ่องเต้แต่งตั้งหยวนเหนียง นางจึงได้รับตำแหน่งเป็นฮูหยินขั้นหนึ่งระดับสูง
แต่ตอนนี้ จะพูดเช่นนี้ออกมาได้เช่นไรกัน
ไม่ต้องพูดว่านางพึ่งจะแต่งเข้ามา แต่คำพูดที่ว่าน้องสี่คงจะอยากไปรายงานกรมพิธีกรรม ไปขอตำแหน่งมาให้เจ้าเร็วๆ ของฮูหยินสามช่างไม่เหมาะสม หากมีคนแพร่ข่าวออกไป สวีลิ่งอี๋คงจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนตามใจภรรยา ทำให้ผู้คนดูถูก ตัวเองยิ่งจะซวยเข้าไปใหญ่ บางทีอาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็นยัยจิ้งจอก…
สืออีเหนียงนึกถึงการตัดสินใจที่เด็ดขาดของไท่ฮูหยิน นางจึงมองไปที่ไท่ฮูหยินด้วยความหวาดกลัว
สีหน้าของไท่ฮูหยินมืนมนลงจริงๆ นางพูดขึ้นมาว่า “เรามารับพระราชโองการกันหมด บรรดาฮูหยินที่มาแสดงความยินดีจัดการแล้วหรือยัง” ท่าทีเหมือนจะให้นางไปต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน
สีหน้าของฮูหยินสามดูไม่เป็นธรรมชาติ นางยิ้มและพูดว่า “จัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งหนิงที่อยู่ข้างๆ เห็นเช่นนี้ก็รีบพูดออกมาว่า “ในเมื่อที่นี่ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว เจ้าก็ไปดูที่เรือนหลังเถิด ข้าก็จะไปต้อนรับแขกที่เรือนหน้า วันนี้มีท่านอ๋องมาสี่ท่าน ราชบุตรเขยสองท่าน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรดาขุนนางระดับสองระดับสาม…เกรงว่าคงจะมากันทั้งเยี่ยนจิง!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ “อย่าให้ผู้ใดมากล่าวว่าเราไร้มารยาท!”
สวีลิ่งหนิงตอบรับด้วยความเคารพ “ขอรับ” คำนับไท่ฮูหยินพร้อมกับฮูหยินสาม จากนั้นก็เดินออกไป
สืออีเหนียงถึงได้สังเกตเห็นว่า ระหว่างห้องโถงสองห้องในลาน ข้างหน้าคือห้องโถงเจ็ดห้อง ข้างหลังคือห้องโถงห้าห้อง ล้วนแต่เปิดประตู จุดโคมไฟสว่างไสว อาจจะเป็นเพราะว่ามุมมอง มันทำให้เห็นห้องโถงข้างหลังอย่างชัดเจน มีเก้าอี้ไท่ซือตัวยาว ซึ่งเป็นที่สำหรับต้อนรับแขก แต่ห้องโถงข้างหน้าเห็นไม่ค่อยชัด แต่ว่า นางสามารถได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังมาจากด้านซ้ายและด้านขวาของห้องโถงข้างหน้า
งานเลี้ยงนอกลานของสกุลสวีคงจะจัดที่นั่นใช่หรือไม่
นางกำลังคาดเดา ไท่ฮูหยินก็เดินเข้ามาจับมือสืออีเหนียง “เหนื่อยหรือไม่ ข้าให้สาวใช้พาเจ้ากลับไปก่อน?”
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ใดในจวนสกุลสวี แต่คำว่า ‘ก่อน’ ของไท่ฮูหยินทำให้นางตระหนักขึ้นมาได้ทันที สวีลิ่งอี๋คงจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง นางหลับตาลงด้วยความเขินอาย “ข้ารอกลับไปพร้อมกับท่านโหวก็ได้เจ้าค่ะ…”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มออกมา
ฮูหยินห้าที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มและพูดว่า “เจ้าอยู่ที่เรือนหอคนเดียวกลัวหรือไม่ แต่ข้ากำลังมีครรภ์ คนของสำนักดาราศาสตร์ก็บอกว่า เจ้าเกิดปีแกะ คนเกิดเดือนเสือจะเข้าไปในเรือนหอไม่ได้…ผ่านไปสักสองสามวัน ข้าค่อยไปหาเจ้า”
“หา!” สืออีเหนียงมองฮูหยินห้าตั้งแต่หัวจรดเท้า “ท่านมีน้องแล้วหรือ จะคลอดเมื่อไรกันเจ้าคะ”
นางชอบเด็กน้อยเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสื้อผ้าที่หลวมหรือว่าท้องยังไม่แก่พอ ดูไม่ออกเลยสักนิด
ฮูหยินห้าหน้าแดง “พึ่งจะสี่เดือน…”
สวีลิ่งควนก็ยิ้มซื่อบื้ออยู่ข้างๆ
“เช่นนั้นท่านต้องคอยระมัดระวัง” สืออีเหนียงดีใจกับทั้งคู่เป็นอย่างมาก “เมื่อครู่คุกเข่าตั้งหลายครั้ง รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ?”
ฮูหยินห้าส่ายหน้า “สองสามวันก่อนไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไร แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว”
ไท่ฮูหยินเห็นว่านางและฮูหยินห้าถูกชะตากัน นางก็ยิ้มแย้มออกมา
พูดคุยกันสองสามประโยค สวีลิ่งอี๋ก็ขัดจังหวะ
เขาเห็นพวกเขาแค่ไม่กี่คน จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “พี่สามกับพี่สะใถ้สามล่ะ”
“วันนี้พวกเขามีหน้าที่ต้อนรับแขก” ไท่ฮูหยินยิ้ม “ข้าให้พวกเขาออกไปก่อนแล้ว” จากนั้นก็พูดว่า “เมื่อครู่รีบเรียกพวกเจ้าออกมารับพระราชโองการ ยังไม่ได้ดื่มเหล้าเหอจิ่นใช่หรือไม่ รีบกลับไปเรือนหอเถิด คนทั้งจวนยังรอให้เจ้าไปดื่มเหล้าคารวะอยู่!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินท่านแม่พูดเช่นนี้ เขาก็เหลือบไปมองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงรีบก้มหน้าอยู่ข้างหลังสวีลิ่งอี๋อย่างรู้ความ
สวีลิ่งอี๋คำนับให้ไท่ฮูหยิน จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนทางเดิน เดินออกไปทางทิศตะวันออก
สืออีเหนียงรีบคำนับทุกคน จากนั้นก็รีบเดินตามสวีลิ่งอี๋กลับไปเรือนหอทางเดิม
ทุกคนที่มาดูความสนุกสนานที่เรือนหอกลับไปกันหมดแล้ว มีแต่เฉวียนฝูฮูหยินสองคนที่สกุลสวีเชิญมาและสาวใช้หน้าตาสวยงามที่คอยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สวีลิ่งอี๋ที่ยังอยู่ในเรือน เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองคนเดินเข้ามา เฉวียนฝูฮูหยินสองคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เดินเข้าไปต้อนรับพวกเขาพร้อมกัน คนหนึ่งจับมือสืออีเหนียงเดินเข้าไปข้างใน อีกคนหนึ่งตะโกนเรียกสาวใช้ “ให้โรงครัวยกอาหารเข้ามา”
ทันทีที่สืออีเหนียงนั่งลง โรงครัวก็ยกอาหารเข้ามา
ไม่มีอะไรนอกจากเนื้อไก่ เป็ด ปลาที่มีชื่อมงคล
ได้กลิ่นหอมของอาหาร สืออีเหนียงก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมา ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ นางกินแค่ซุปเมล็ดบัวใส่อินทผาลัมไปแค่สามคำ
นางพยายามอดทนต่อความหิว ดื่มเหล้าเหอจิ่นกับสวีลิ่งอี๋ภายใต้การแนะนำของเฉวียนฝูฮูหยินทั้งสองคน
พิธีแต่งงานก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว
เฉวียนฝูฮูหยินทั้งสองคนยิ้มและแสดงความยินดีกับสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียง
สืออีเหนียงมอบซองแดงให้พวกนางคนละซอง เฉวียนฝูฮูหยินทั้งสองคนก็ยิ้มและขอตัวออกไป
สวีลิ่งอี๋กลับสั่งสาวใช้ในเรือน “ไปเรียกสาวใช้ของฮูหยินมา”
สาวใช้คนหนึ่งก็ตอบรับและเดินออกไปทันที
“เปลี่ยนเสื้อผ้าสบายๆ ให้ข้า”
สาวใช้อีกคนก็เดินเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาอย่างชำนาญ
เรือนหอเป็นเรือนที่มีทางเข้าสี่ทาง มีประตูเข้าตรงมุมทิศตะวันตกที่เชื่อมต่อกับทางเดินโดยตรง ห้องโถงใหญ่มีสามห้องแต่ละห้องมีห้องเอ่อร์ฝัง เรือนหลักมีห้าห้องแต่ละห้องมีห้องเอ่อร์ฝัง เรือนในของพวกเขาอยู่ทางทิศตะวันตกของเรือนหลัก
สวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องทางทิศตะวันตก สืออีเหนียงนั่งอยู่บนเตียงใกล้หน้าต่างในห้องเล็กทางทิศตะวันตก
ผ่านไปไม่นาน สวีลิ่งอี๋ที่สาวใช้เปลี่ยนเสื้อลายดอกสีแดงม่วงให้ก็เดินออกมา
เห็นสืออีเหนียงที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างเคร่งขรึม เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
สืออีเหนียงเดินมาย่อเข่าคำนับเขา
สายตาของสวีลิ่งอี๋มีความลังเล “ข้าไปดื่มเหล้าคารวะแขกก่อน”
สืออีเหนียงตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เดินไปส่งสวีลิ่งอี๋ออกไปจากเรือนหลัก
กลับเข้ามาในเรือน นางยิ้มและถามสาวใช้ “เจ้าชื่ออะไร”
สาวใช้ตอบกลับด้วยความเคารพ “บ่าวชื่อซย่าอีเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า “แล้วอีกคนที่มากับเจ้าชื่ออะไร?”
“ชื่อชุนมั่วเจ้าค่ะ”
ในขณะที่นางพูด ชุนมั่วก็พาหู่พั่วและตงชิงเดินเข้ามา
แค่สองชั่วโมงที่ไม่ได้เจอกัน แต่สำหรับหู่พั่วและตงชิงที่เป็นห่วงสืออีเหนียงอยู่ตลอดเวลา มันราวกับผ่านไปแล้วสองปี
พวกนางน้ำตาคลอและพูดออกมาพร้อมกัน “คุณหนู ท่าน ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร!” สืออีเหนียงยิ้ม แต่ในใจกลับพูดว่า ข้าหิวมาก! จากนั้นนางก็ถามออกมาว่า “พวกเจ้าทานข้าวแล้วหรือยัง”
พวกนางพยักหน้าซ้ำๆ “ทานแล้วเจ้าค่ะ พวกเราทานแล้ว ท่านป้าของป้าเถายกอาหารมาให้พวกบ่าวทานด้วยตัวเอง”
สืออีเหนียงยิ้มและพยักหน้า พูดกับซย่าอีและชุนมั่ว “พวกเจ้าออกไปเถิด ให้พวกนางรับใช้ข้าก็พอ”
พวกนางทั้งสองลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ย่อเข่าคำนับและเดินออกไป
สืออีเหนียงพูดกับตงชิงและหู่พั่ว “เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าหน่อย ชุดนี้อึดอัดเกินไป”
พวกนางพยักหน้า ไปเตรียมน้ำให้สืออีเหนียงอาบและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง สืออีเหนียงเดินไปทานข้าวชามเล็กๆ บนโต๊ะ
เมื่อสวีลิ่งอี๋กลับมาพร้อมกับกลิ่นอายของเหล้า สืออีเหนียงล้างหน้าเสร็จแล้ว มวยผมเหมือนวันปกติ เปลี่ยนเป็นสวมเสื้อกั๊กยาวสีเขียว กำลังนั่งอ่านหนังสือที่อยู่บนหมอนรองแขน
“ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!” นางรีบวางหนังสือลงและคำนับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋หน้าแดง แต่ในดวงตากลับไม่มีท่าทีของความมึนเมา มันเป็นประกายมากกว่าปกติ
สืออีเหนียงแอบเพิ่มความแวงของตัวเอง
มีคนประเภทหนึ่งที่ยิ่งเมาดวงตาก็ยิ่งเป็นประกาย ถึงแม้ว่าจะเมาแต่ก็มองไม่ออก
และโดยปกติคนที่เมาจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ค่อยได้…นางไม่อยากทำให้สวีลิ่งอี๋ไม่พอใจ
แต่สวีลิ่งอี๋กลับไม่มองนางแม้แต่น้อย เขาเดินตรงเข้าไปหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วอ่านว่า “เก้าแคว้นแห่งต้าโจว!”
ผู้ชายคนนี้เมาแล้วแน่ๆ ไม่เช่นนั้น คงจะไม่พูดออกมาทีละคำเช่นนี้
สืออีเหนียงกำลังจะอธิบาย สวีลิ่งอี๋ก็วางหนังสือลงและเดินเข้าไปในห้องน้ำ “ข้าจะอาบน้ำ!”