เดือนสี่ของเมืองเยี่ยนจิง ลมเย็นสงบแสงแดดอบอุ่น ฝนตกบ้างเป็นบางครั้งบางครา ไม่เหมือนเช่นอวี๋หังที่ลมฝนกระหน่ำไม่หยุดหย่อน บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื้น เมื่อฝนหยุดตก บรรยากาศก็โปร่งโล่งขึ้นมาทันที ท้องฟ้าสีครามสดใส บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ใบหญ้า สดชื่นเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกว่าทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่ผ่อนคลายอย่างหมดจดท่ามกลางบรรยากาศโล่งสบายเช่นนี้ทั้งสิ้น
หยวนเหนียงจากโลกนี้ไปแล้วราวหนึ่งปี เรื่องงานแต่งของอู่เหนียงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง นายหญิงใหญ่มีความตั้งใจที่อยากจะยืดเวลาออกไป แต่นายท่านใหญ่ไม่เห็นด้วย “ปีนี้อู่เหนียงอายุตั้งเท่าไรแล้ว เจ้าตั้งใจจะให้นางเป็นสาวแก่เฝ้าบ้านหรืออย่างไรกัน!”
หวงฮูหยินได้ยินแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นสูง มาเยือนจวนจวนสกุลหลัวสามวันติดต่อกัน
นายหญิงใหญ่รู้สึกว่าได้รับเกียรติมากพอแล้ว จึงยอมรับปากตกลงในที่สุด งานแต่งของอู่เหนียงจึงถูกกำหนดเป็นวันที่ยี่สิบแปดเดือนสี่
วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสี่หย่งเหอปีสี่ วันมอบสินเดิมของอู่เหนียง
“คุณหนู คุณหนู นายหญิงสามมาถึงแล้ว ยังถามหาท่านด้วย คุณนายใหญ่ให้ท่านไปน้อมทักทายเจ้าค่ะ” ชิวจวี๋วิ่งเข้ามาเรียนด้วยความตื่นเต้น “คุณชายห้าและคุณชายหกก็มาด้วยเจ้าค่ะ”
“รู้แล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วจึงค่อยตามชิวจวี๋ไปที่เรือนหลัก
นายหญิงสามและคุณนายใหญ่ยืนคุยกันอยู่ที่หน้าประตูฉุยฮวา เมื่อเดินเข้าใกล้แล้ว ก็เพิ่งเห็นว่าด้านนอกของประตูฉุยฮวามีสินเดิมกองตั้งอยู่ พร้อมด้วยเด็กผู้ชายสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่บนกระโถน อีกคนกอดม่านมุ้งไว้แน่น พร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่นว่า “…นี่มันเป็นของข้า พี่เขยห้าไม่ให้เงิน ก็ห้ามเอาไปเด็ดขาด”
ทั้งสองทำเอาทุกคนพากันหัวเราะไปตามๆ กัน
ทั้งดื้อทั้งซนขนาดนี้ จะเป็นใครไปได้อีก นอกเสียจากหลัวเจิ้นไคกับหลัวเจิ้นอวี้
เดือนห้าของปีที่แล้ว นายท่านสามได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการมณฑลซื่อชวน นายหญิงสามได้ว่าจ้างอาจารย์แซ่จ้าวท่านหนึ่งให้กับหลัวเจิ้นไคและหลัวเจิ้นอวี้ เพราะกลัวว่าการเรียนของทั้งสองจะล่าช้า จึงอยู่ที่เมืองเยี่ยนจิงต่อ
สืออีเหนียงเดินเข้าไปทำความเคารพนายหญิงสาม “ท่านอาสะใภ้สาม มาแล้วหรือเจ้าคะ”
นายหญิงสามหันมามองนางอยู่ครู่หนึ่ง “สูงเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย สวยเพิ่มขึ้นอีกด้วย!”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นอย่างสุภาพเรียบร้อยว่า “ขอบคุณท่านอาสะใภ้สามที่เชยชมเจ้าค่ะ”
นายหญิงสามหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็หันไปถามคุณนายใหญ่ว่า “เขยห้าจะส่งคนมารับสินเดิมของเจ้าสาวตอนไหนหรือ”
คุณนายใหญ่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เห็นบอกว่ายามซื่อเป็นเวลาฤกษ์งามยามดีเจ้าค่ะ”
นายหญิงสามแหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ดูจากท้องฟ้าคงใกล้จะถึงเวลาแล้ว…ยังดีที่ข้าไม่ได้มาสาย”
เมื่อพูดจบ ฝ่ายดูแลต้อนรับแขกก็ตะโกนขึ้นว่า “คุณชายสาม ท่านเขยสี่ คุณนายสามและคุณหนูสี่ มาร่วมแสดงความยินดีแล้ว”
คุณนายสามได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อาสะใภ้รองของเจ้าไม่กลับมาหรือ”
เดือนหกของปีที่แล้ว นายท่านสองได้ไปเข้าร่วมงานราชการของทางซานตงที่ขาดคนไป จึงได้ให้คุณชายสามและคุณนายสามอยู่ที่เมืองเยี่ยนจิง นายหญิงใหญ่ทราบเรื่องแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา “กลัวว่าข้าจะย้ายไปอยู่ที่ตรอกเหล่าจวินถังหรืออย่างไรกัน นางมีความสามารถเช่นนี้ ควรจะเอาไปใช้คิดหาวิธีว่าจะให้บุตรชายของตนเข้าเรียนได้อย่างไรดีกว่ากระมัง”
ปีที่แล้วหลัวเจิ้นต๋าก็ได้เข้าร่วมการสอบบัณฑิตรุ่นเยาว์ แต่สอบตกไป
นายท่านใหญ่ได้ยินแล้วก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างหงุดหงิดว่า “เจ้าดูแลเรื่องบ้านเรือนของตนให้ดีก็พอแล้ว ไปใส่ใจเรื่องของคนอื่นมากมายทำไมกัน”
หลังจากที่เกิดเรื่องของตี้จิ่น นายท่านใหญ่ก็จับหลัวเจิ้นเซิงมาทุบตีไปยกหนึ่ง จนไม้ไผ่กว้างราวสองนิ้วหักคามือนายท่านใหญ่ หากไม่ใช่เพราะอู่เหนียงเข้าไปช่วยห้าม เกรงว่าชีวิตของหลัวเจิ้นเซิงก็คงจะไม่รอดแล้ว กว่าจะฟื้นก็นอนสะลึมสะลือไม่มีสติอยู่บนเตียงราวครึ่งเดือนได้ เป็นถึงขนาดนี้ นายท่านใหญ่ก็ยังไม่วายที่จะให้อู๋เซี่ยวเฉวียนส่งเขากลับไปยังเมืองอวี๋หังทั้งๆ ที่ยังไม่หมดฤดูร้อนเสียด้วยซ้ำ ครึ่งปีที่ผ่านมาอู่เหนียงก็คอยเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของหลัวเจิ้นเซิงมาโดยตลอด ส่งจดหมายไปถามอาการบาดเจ็บเขาทุกๆ สิบวันเห็นจะได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกทุบตีรุนแรงไป หรือว่าได้รับผลกระทบกระเทือนขณะเดินทางกลับไปยังเมืองอวี๋หัง วันที่อู่เหนียงแต่งงาน อี๋เหนียงสามจึงมาร่วมงานแต่งไม่ทัน
“เห็นบอกว่าอีกวันสองวันจะมาถึงเจ้าค่ะ” คุณนายใหญ่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ซานตงห่างจากเยี่ยนจิงไม่ไกลมากนัก นายหญิงใหญ่ได้เขียนจดหมายให้กับนายหญิงสองเพื่อแจ้งเรื่องวันที่และเวลาของงานแต่งอู่เหนียง นายหญิงสองเคยบอกไว้ว่าจะกลับมา แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา
นายหญิงสามกำลังจะพูดต่อ แต่พอเห็นว่าคุณนายสามและคนอื่นๆ เดินเข้ามาพอดี จึงยิ้มพร้อมกับกลืนคำพูดลงคอไป
ทุกคนย่อตัวทำความเคารพซึ่งกันและกัน จากนั้นก็พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง คุณนายสามก็ได้เชื้อเชิญทุกคนไปจิบชาที่เรือน
ด้านนอกก็มีเสียงฆ้องและเสียงกลองดังขึ้น
ตามมาด้วยเสียงตะโกนขึ้นว่า “ท่านเขยมาขนย้ายข้าวของแล้ว!”
ญาติผู้หญิงที่อายุค่อนข้างมากยืนอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูฉุยฮวาเพื่อดูความครึกครื้น
หลัวเจิ้นซิ่ง หลัวเจิ้นต๋าและอวี๋อี๋ชิงก็พากันไปขวางกั้นประตูไว้ “ซองแดง ซองแดง ต้องมอบซองแดงมาก่อน”
หลัวเจิ้นซิ่งสอบราชบัณฑิตหลวงได้แล้ว จะต้องเข้าเรียนที่สำนักศึกษาฮั่นหลินย่วนเป็นเวลาสามปี ส่วนนายท่านใหญ่ยังคงรอการเรียกตัวจากราชสำนัก แต่ไม่ได้เป็นกังวลร้อนใจเฉกเช่นในตอนแรกแล้ว เหมือนว่ามาพำนักพักผ่อนที่เมืองเยี่ยนจิงเสียมากกว่า วันนี้ไปร่วมฟังกวีนิพนธ์ พรุ่งนี้ก็ไปเชยชมวิวทิวทัศน์ของป่าเขา ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสบายใจ
ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น “เปิดประตูก่อน ถึงจะให้ซองแดง”
หลัวเจิ้นอวี้และหลัวเจิ้นไคก็ยังไม่ยอมเปิด ฟังแล้วก็ทั้งฉุนทั้งร้อนใจ จึงตะโกนออกไปเสียงดังลั่นว่า “ของข้าด้วย ซองแดงของข้าด้วย”
ทั้งเรือนจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ครึกครื้นเป็นอย่างมาก
กว่าจะเคาะประตูจนเปิดได้ แม่ชักแม่สื่อก็ได้เข้ามาพูดคำสิริมงคล พร้อมกับให้ซองแดง ท่ามกลางเสียงหัวเราะ คนหาบของของจวนสกุลเฉียนก็ได้แบกสินเดิมฝ่ายหญิงเรียงแถวยาวกลับไป
คุณนายใหญ่รับหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวไปที่เรือนเฉียนหมิงเพื่อช่วยอู่เหนียงปูผ้าจัดเตียง
สืออีเหนียงมองเรือนที่โล่งกว้างนี้ ในใจก็รู้สึกวังเวงอย่างบอกไม่ถูก
จวนสกุลหวังได้มาหารือเรื่องหมั้นหมายหลายครั้งหลายครา ฟังจากน้ำเสียงและคำพูดคำจาของนายหญิงใหญ่ มีความหมายเป็นนัยว่าหากอู่เหนียงตบแต่งเรียบร้อยแล้ว ค่อยมาปรึกษาหารือเรื่องหาฤกษ์งามยามดีกำหนดวันส่งมอบของกำนัล
เป็นดังเช่นประโยคที่ว่า ‘เครื่องเคลือบกระเบื้องแก้วแพรวพราวเปราะบางแตกหักง่าย เมฆสีบนท้องนภาสลายตัวหายไปง่ายดาย ช่วงวันเวลาที่ดีมักจะไม่ยืดยาว’
เกรงว่าพวกนางสามพี่น้องคงจะต้องแยกย้าย ต่างคนต่างเดินไปตามเส้นทางของตัวเอง
แต่ได้ยินมาว่าเดือนเก้าปีที่ผ่านมา หวังหลังได้รับตำแหน่งขุนนางข้าราชการตำแหน่งหนึ่งในกองทัพทหารอวี้หลิน ถึงแม้ว่าจะมีการทะเลาะวิวาทเพราะมีปากเสียงกันหลายครั้งหลายคราว แต่ก็ยังสามารถเข้าตรวจการเรียกชื่อทุกวัน บางทีอาจเป็นเพราะอายุที่มากขึ้น นิสัยใจคอจึงค่อยๆ ดีขึ้นตาม
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดฟุ้งซ่าน
พี่น้องได้แต่งงานกับคนดีๆ ย่อมเป็นเรื่องที่ดี
เฉกเช่นซื่อเหนียงและพี่เขยสี่อวี๋อี๋ชิงที่ได้รับตำแหน่งผู้ประพันธ์ของสำนักศึกษาฮั่นหลินย่วน ไม่กี่วันมานี้พึ่งจะได้รับคำชมเชยจากฝ่าบาท ได้ยินมาว่ามักจะถูกเรียกตัวให้ไปฟัง ‘คัมภีร์อี้จิง’ อยู่เป็นประจำ
จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “คุณหนูสิบเอ็ด จะเริ่มรับประทานอาหารแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงจึงเตรียมตัวจะกลับไปยังห้องของตน
แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เจอเข้ากับจื่อเวย จื่อเวยทำหน้าเหมือนเห็นผู้ช่วยชีวิตของนางก็ไม่ปาน “คุณหนูสิบเอ็ด คุณหนูของบ่าวเอาแต่ถามหาท่านไม่หยุด ว่าทำไมท่านถึงยังไม่กลับไปเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงชะงักไปเล็กน้อย “พี่หญิงห้าตามหาข้าหรือ”
“เจ้าค่ะ!” จื่อเวยพยักหน้าตอบกลับ
สืออีเหนียงจึงไปยังที่พักของอู่เหนียง
ของใช้ประจำวันของนาง นายหญิงใหญ่ได้ให้ขนไปที่เฉียนหมิงพร้อมกับสินเดิมฝ่ายหญิงเรียบร้อยแล้ว ในห้องจึงค่อนข้างโล่งและว่างเปล่า ชุดแต่งงานสีแดงสดปักลายหงส์ด้วยด้ายสีทองถูกแขวนอยู่ในตู้ไม้สีดำเงา เป็นประกายระยิบระยับงดงามยิ่งนัก
ในตอนแรกอู่เหนียงนั่งอยู่บนเตียงเตา แต่เมื่อเห็นสืออีเหนียงมา ก็รีบลงจากเตียงเตาทันที
นางตรงดิ่งเข้ามาคว้ามือของสืออีเหนียงไว้ “เจ้าไปไหนมา ทำไมถึงไม่กลับมาทานข้าวที่เรือน”
“ข้ากำลังจะมาทานมื้อเที่ยงพอดี” สืออีเหนียงเพิ่งจะตอบกลับไปเพียงประโยคเดียว อู่เหนียงก็พูดต่อเป็นน้ำไหลไฟดับ “…ตอนเที่ยงข้ารอเจ้าเป็นครึ่งค่อนวันแต่ไม่เห็นแม้แต่เงา ตอนเที่ยงเจ้ากินอะไรไปบ้าง ห้องครัวทำปลาจวดนึ่งผักกาดเขียวดอง กุ้งผัดชาหลงจิ่ง ไก่เส้นแมงกะพรุน ผักกาดขาวผัดน้ำขิง ไม่รู้ว่าไปว่าจ้างครัวที่ไหนมาทำอาหาร ปลาจวดก็ไม่สด กุ้งก็ผัดสุกจนแข็ง แมงกะพรุนก็อย่างกับเทียนไข ผักกาดขาวก็แก่มาก…”
สรุปคือแย่หมดทุกอย่าง!
สืออีเหนียงเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที!
อู่เหนียง กำลังกลัว!
แต่งงานกับคนที่ไม่รู้จัก ย้ายไปในที่ที่ไม่รู้จัก เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยตัวตนใหม่…ใครจะสงบจิตสงบใจลงได้
นางกุมมือของอู่เหนียงไว้แน่น พยายามที่จะปลอบโยนจิตใจของนาง
“…ไม่รู้ว่าที่พักอาศัยของเมืองเยี่ยนจิงจะแพงหรือไม่ เช่าบ้านเช่าเรือนก็ไม่ใช่เรื่องเสียหน่อย ใครจะเหมือนข้า เพิ่งจะแต่งออกไปก็ต้องมากังวลใจเรื่องความเป็นอยู่และอาหารการกินเสียแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้น้องสี่เป็นอย่างไรบ้าง ทำไมน้องสี่ถึงได้เลอะเลือนขนาดนี้ ลุ่มหลงตี้จิ่นขาดสติถึงเพียงนี้ มิฉะนั้นก็คงจะไม่ต้องถูกส่งตัวกลับอวี๋หังหรอก ตอนข้าแต่งงานออกเรือน ก็คงจะได้ส่งข้าสักหน่อย!”
อู่เหนียงพูดพลางสะอึกสะอื้นร้องไห้ขึ้นมา
สืออีเหนียงรู้ว่านางแค่เพียงต้องการจะระบายความกังวลใจออกมาก็เท่านั้น เห็นนางร้องไห้ออกมาเช่นนี้ กลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีเสียด้วยซ้ำ จึงให้สาวใช้ไปตักน้ำมาให้นางล้างหน้าล้างตา
เมื่อล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว อารมณ์และจิตใจของอู่เหนียงก็ดีขึ้นมาก
“สือเหนียงเอาแต่เก็บตัวเองอยู่แต่ในห้อง ไม่รู้ว่านางตั้งใจจะทำอะไรกันแน่” นางพูดขึ้น “ข้าจะแต่งงานออกเรือนแล้ว นางก็ไม่มาดูข้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นพี่น้องกัน ไม่ว่าจะโกรธจะเกลียดกันแค่ไหน เห็นแก่ฐานะพี่น้องที่ร่วมสายเลือด นางจะทำตัวปกติเสียหน่อยก็ไม่ได้…”
หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ สือเหนียงไม่เคยจะสนใจอะไรทั้งนั้น นางเชื่อมั่นในการกระทำของตัวเอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนายหญิงใหญ่มีแผนที่จะจัดการสือเหนียงแล้วหรืออย่างไร นายหญิงใหญ่มักจะยกโทษให้สือเหนียงอย่างมีลับลมคมใน จู่ๆ ก็พูดถึงเรื่องที่คุณหนูเจ็ดสกุลกานเชื้อเชิญพวกนางให้ไปเชยชมหิมะเหมันตฤดูขึ้นมา นายหญิงใหญ่ได้สั่งให้ตนอยู่เรือน แล้วให้สือเหนียงไปแทน คุณหนูเจ็ดสกุลกานจึงได้เขียนจดหมายมาถามตนว่าเป็นเพราะตนจะต้องแต่งงานเข้าจวนสกุลสวีหรือไม่ นายหญิงใหญ่ถึงได้ไม่อยากให้ตนออกไปเปิดเผยหน้าตาอยู่ข้างนอก
สืออีเหนียงถึงได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำสั่งเสียหยวนเหนียง
ดูจากคำพูดของคุณหนูเจ็ดสกุลกาน คงไม่ใช่เพียงนางเท่านั้นที่รู้เรื่องข้อตกลงระหว่างจวนสกุลสวีและจวนสกุลหลัว เกรงว่าครอบครัวขุนนางคนใหญ่คนโตของเมืองเยี่ยนจิงก็คงล้วนรู้เรื่องกันถ้วนหน้า และก็คงรอดูอยู่ว่าจวนสกุลสวีจะส่งของกำนัลให้จวนสกุลหลัวเมื่อใด
เดือนห้าของปีที่แล้ว ฝ่าบาททรงนำกองกำลังทหารไปยังแคว้นซีเป่ย ในตอนแรกทหารที่ใช้คือทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพของหัวหน้าแม่ทัพภาคเจียงเฟยอวิ๋น แต่แล้วสถานการณ์การต่อสู้กลับไม่สู้ดีเท่าใดนัก ฝ่าบาทจึงเพิกเฉยต่อการคัดค้านไม่เห็นด้วยของเหล่าบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เปลี่ยนแม่ทัพกลางคัน แต่งตั้งสวีลิ่งอี๋ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นซีเป่ย ประจำการการสงครามแคว้นซีเป่ย จนเมื่อถึงเดือนสิบก็มีข่าวดีกลับมา สงครามยืดเยื้อจนถึงเดือนสามของปีนี้ ถึงแม้ว่ามีข่าวพิชิตชัยกลับมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามีผู้บาดเจ็บและผู้ล้มตายไปไม่น้อย อีกทั้งทางฝ่ายตุลาการก็ได้ยื่นมติไม่ไว้วางใจ กล่าวโทษแม่ทัพภาคสวีลิ่งอี๋อ่อนแอไม่เด็ดขาด แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงอยู่สายกลางไม่ทรงตรัสหรือรับปากใดๆ แต่สืออีเหนียงก็ยังอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้
หวังว่าสวีลิ่งอี๋จะกลับมาโดยสวัสดิภาพ
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ตนจะแต่งเข้าจวนสกุลสวีก็ถูกพูดออกไปแล้ว ถึงเวลาหากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น นางก็ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าวันข้างหน้าจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้าง
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สืออีเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
นายหญิงใหญ่ไม่ยอมบอกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว!
เพียงแต่สั่งให้นางเย็บปักถักร้อยมากมาย รวมไปถึงของที่จะทำให้อู่เหนียงไว้เป็นสินเดิมในตอนแรก ถูกนำไปเก็บรวมไว้ในหีบของนางจนหมด ให้เหตุผลเพียงว่านางทำช้า สินเดิมในส่วนของอู่เหนียงจึงถูกเปลี่ยนไปให้กลุ่มเย็บปักถักร้อยเป็นผู้รับผิดชอบต่อแทน
ดูท่าแล้วเหมือนกำลังเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ เสียมากกว่า
หู่พั่วเห็นว่าอู่เหนียงเอาแต่รั้งสืออีเหนียงไว้ไม่ยอมปล่อย จึงบุกเข้าไปพร้อมกับพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูสิบเอ็ด ท่านว่าควรยกอาหารมาตรงนี้หรือไม่เจ้าคะ”
อู่เหนียงจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสืออีเหนียงยังไม่ได้ทานข้าว จึงรีบพูดขึ้นว่า “เจ้ารีบไปทานข้าวก่อนเถิด!”
สืออีเหนียงจึงค่อยปลีกตัวออกมาได้
เมื่อกลับไปถึงห้อง เพิ่งทานได้เพียงสองคำ ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “คุณหนูสิบเอ็ด ฮูหยินสามจวนสกุลสวีมา นายหญิงใหญ่ให้ท่านไปสักประเดี๋ยวเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความงุนงง
สองสามวันก่อนเป็นวันเกิดของไท่ฮูหยิน นายหญิงใหญ่จะให้ตนไปกับนางด้วย ตนจึงแกล้งป่วยไม่สบาย บ่ายเบี่ยงมาได้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องงานแต่งของอู่เหนียง ฮูหยินสามเองก็มาด้วย นายหญิงใหญ่กลับจัดแจงให้ตนไปต้อนรับแขกแทน
มันจะดูเหมือนกระตือรือร้นออกหน้าออกตาจนเกินไปหรือเปล่านะ!
ถึงแม้ว่านางจะไม่อยากไปเลย แต่สาวใช้ก็ตื๊อนางไม่หยุด นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดจึงได้ตัดสินใจไป