ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 75 เดือนสี่ (ปลาย)

ตอนที่ 75 เดือนสี่ (ปลาย)

อู่เหนียงได้ยินแล้วก็ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที “เจ้าก็เอาแต่เล่นอย่างเดียว!” 

 

 

ชีเหนียงหัวเราะคิกคักชอบใจ 

 

 

พูดคุยหัวเราะกันอยู่ครู่หนึ่ง สืออีเหนียงก็แก้ชุดกระโปรงเสร็จพอดี 

 

 

“ท่านลองดู” 

 

 

ชีเหนียงดีดตัวลุกขึ้นยืน สาวใช้คนสนิทของนางมู่ฝูก็รีบเข้ามาช่วยสวมใส่ 

 

 

“ดีมาก ดีมาก!” นางยิ้มตาหยีจ้องมองดูชุดกระโปรงของตน “เพิ่มชายกระโปรงเช่นนี้เข้าไป ดูสวยกว่าเดิมมากจริงๆ” 

 

 

กระโปรงของสืออีเหนียงค่อนข้างยาว จึงตัดไปราวสี่นิ้วเห็นจะได้ จากนั้นก็หาผ้าสีเดียวกันกับชุดเป้ยจื่อของชีเหนียงมาทำชายกระโปรง 

 

 

“เสียเวลาเดินทางบนถนนสายนี้ถึงสามวัน เสื้อผ้าที่นำมาด้วยก็ใส่จนหมดแล้ว” นางขึ้นไปบนเตียงเตาอีกครั้ง “อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว ช่างสบายตัวเสียจริง!” 

 

 

เมื่อสืออีเหนียงเห็นนางพึงพอใจ ก็ยิ้มพร้อมกับนำเข็มและด้ายไปเก็บ 

 

 

จากนั้นก็มีสาวใช้นางหนึ่งเข้ามาเรียนว่า “จะให้ตั้งสำรับอาหารของคุณหนูเจ็ดไว้ที่ใดเจ้าคะ” 

 

 

ชีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตั้งตรงนี้เลย!” 

 

 

ตงชิงและคนอื่นๆ ก็พากันเข้ามาเก็บกวาดจัดระเบียบเตียงเตา จากนั้นก็มีสาวใช้ยกอาหารเข้ามา 

 

 

เมื่อทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว สามพี่น้องก็นั่งจิบชา พูดคุยอยู่บนเตียงเตาด้วยกัน 

 

 

ชีเหนียงเล่าเรื่องเหตุการณ์ตอนที่นางไปเที่ยวงานวัดให้ทุกคนฟัง “…เป่าลมหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นที่มือก็มีไฟลุกโชนขึ้นมา ยังยัดเปลวไฟเข้าไปในปากอีกด้วย…” พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตกตะลึงและประหลาดใจเป็นอย่างมาก 

 

 

อู่เหนียงและสืออีเหนียงนั่งฟังนางเล่าไปครึ่งค่อนวันเห็นจะได้ นายหญิงสองก็เตรียมตัวจะกลับไปแล้ว บ่าวรับใช้จึงมาตามชีเหนียง แต่ชีเหนียงกลับจะอยู่ค้างคืนกับสืออีเหนียง “…จะได้อยู่ส่งพี่หญิงห้าด้วย” 

 

 

เมื่อนายหญิงสองได้ยินแล้วก็ได้มาดูด้วยตัวเอง 

 

 

จึงเห็นว่าที่พักของสืออีเหนียงสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย เหล่าบรรดาสาวใช้ก็ดูสงบเสงี่ยมมีมารยาท จึงได้ให้สาวใช้คนสนิทและป้าอวี้อยู่ดูแลชีเหนียง จากนั้นก็ได้เดินทางกลับไปยังตรอกเหล่าจวินถังพร้อมบุตรชาย บุตรเขย ลูกสะใภ้ และบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวน 

 

 

ชีเหนียงดีใจกระโดดโลดเต้นราวกับม้าที่ถูกถอดบังเหียนก็ไม่ปาน 

 

 

พอดีกับที่คุณนายใหญ่กลับมา ชีเหนียงก็โวยวายจะขอไปปูเตียงเจ้าสาวกับคุณนายใหญ่ด้วยให้ได้ 

 

 

สืออีเหนียงมองดูชีเหนียงที่คึกคักดูมีชีวิตชีวาไม่มีใครเทียบได้เช่นนี้ จึงยิ้มแล้วยอมไปขอคุณนายใหญ่เป็นเพื่อนนาง 

 

 

ออกจากประตูไป ในขณะที่กำลังเดินผ่านเรือนหลัก ก็เห็นว่าคุณนายใหญ่กำลังไปหานายหญิงใหญ่พอดี ชีเหนียงก็รีบลากสืออีเหนียงไปฟังด้วย 

 

 

“…แม่สามีและพ่อสามีไม่ได้มาทั้งคู่ เห็นบอกว่ายุ่งอยู่กับการหว่านข้าวฤดูใบไม้ผลิ ก็เลยมาไม่ได้ จึงให้ญาติฝ่ายอามาแทน พาลูกพี่ลูกน้องท่านหนึ่งมาด้วย ทั้งสองแต่งเนื้อแต่งตัวค่อนข้างภูมิฐาน แต่สีหน้าท่าทางดูออกว่าค่อนข้างระมัดระวังไม่เป็นธรรมชาติ คงจะไม่ค่อยพบปะผู้คนเท่าใดนัก ยังมีอาสะใภ้อีกท่านหนึ่งตามมาด้วย แต่คนนี้เวลาพูดจาฉะฉานลื่นไหล แต่ดูเก็บไม้เก็บมือไม่ค่อยสง่าผ่าเผยเท่าใดนักเจ้าค่ะ” 

 

 

นายหญิงใหญ่พยักหน้าเล็กน้อย “ก็ดี มิเช่นนั้นแต่งไปแล้วจะรับมือไม่ไหวเอาได้” 

 

 

ป้าหังที่ไปช่วยปูเตียงเจ้าสาวกับคุณนายใหญ่ด้วยก็ได้ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านไม่เห็น ตอนที่อาสะใภ้ท่านนั้นเห็นสินเดิมของฝ่ายหญิงที่เราขนเข้าไป อึ้งจนตาค้างเลยทีเดียว บ่าวยังได้กำชับกับป้าที่เฝ้ายามตอนกลางคืนโดยเฉพาะว่าให้ดูแลดีๆ อย่าให้หายแม้แต่ชิ้นเดียวเจ้าค่ะ” 

 

 

“อืม!” นายหญิงใหญ่พึงพอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็พูดกับป้าหังว่า “ไปพักผ่อนเถิด!” 

 

 

ป้าหังขานรับแล้วจึงได้ถอยออกไป 

 

 

คุณนายใหญ่เห็นชีเหนียงตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก ยกแขนเสื้อขึ้นมาบังพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “น้องหญิงเจ็ดอยากรู้สิ่งใดหรือ” 

 

 

ชีเหนียงใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันควัน รีบดึงมือของสืออีเหนียงแล้ววิ่งออกไปทันที 

 

 

คุณนายใหญ่จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “น้องหญิงเจ็ดสดใสร่าเริงจริงเชียว” 

 

 

นายหญิงใหญ่จึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่านสองกับน้องสะใภ้รองเห็นนางเป็นดวงดาวนำโชค เอาอกเอาใจให้ท้ายจนเคยตัวไปแล้ว” 

 

 

***** 

 

 

ชีเหนียงดึงมือสืออีเหนียงวิ่งตรงมาจนถึงเรือนหลังจึงค่อยหยุดวิ่ง สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยเสียงที่เหนื่อยหอบว่า “เป็นวัวสันหลังหวะจริงๆ ด้วย ถึงได้วิ่งหนีเช่นนี้!” 

 

 

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน!” ชีเหนียงได้ยินแล้วก็ฉุนเฉียวขึ้นมาทันที ใบหน้าแดงก่ำ แต่ดูแล้วน่ารักเป็นอย่างมาก 

 

 

สืออีเหนียงยกแขนเสื้อขึ้นมาบังแล้วหัวเราะเบาๆ “ช่างเถิด ไม่ได้พูดกับพี่หญิงเสียหน่อยเจ้าค่ะ”  

 

 

ชีเหนียงจึงเปลี่ยนเรื่องไปพูดอย่างอื่น “เราไปดูน้องหญิงสิบกันเถิด! วันนี้ก็ไม่เห็นหน้านางทั้งวัน ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่าโรคหอบหืดของนางกำเริบอีกแล้ว ข้าเขียนจดหมายให้นาง แต่นางไม่ตอบข้าเลย ตอนแรกก็กะว่าจะไม่สนใจนาง แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ไปเยี่ยมนางหน่อยก็แล้วกัน!” 

 

 

นั่นเป็นเรื่องปีใหม่ของปีที่แล้ว นายหญิงใหญ่ให้นางไปจุดธูปที่วัดเป็นเพื่อนหยวนเหนียง แต่นางกลับตอบนายหญิงใหญ่ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาต่อหน้าทุกคนว่า ‘อาการหอบหืดของข้ากำเริบ’ 

 

 

นายหญิงใหญ่ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็ได้เชิญหมอมาตรวจดูอาการของนาง 

 

 

นายท่านใหญ่ได้ยินว่านางป่วย ก็รีบเรียกหมอมาตรวจดูอาการป่วยของนางใหม่ แต่แล้วหมอกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฉุนเฉียวว่า “…เรือนท่านไปเชิญหมอเถื่อนที่ไหนมาตรวจดูอาการ คุณหนูท่านนี้ไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย ทำไมถึงบอกว่านางป่วยเป็นโรคหอบหืดเมื่อสามปีที่แล้วเล่า” นายท่านใหญ่โมโหเป็นอย่างมาก ไล่ให้สือเหนียงไปที่วัดตั้งแต่เช้ามืด ให้นางอยู่เองตามยถากรรม 

 

 

แต่สืออีเหนียงอดไม่ได้เลยที่จะคิดว่าการที่ทิ้งสือเหนียงไว้ที่วัดเช่นนี้ บางทีนางอาจจะมีทางรอดก็เป็นได้… 

 

 

“ตอนนั้นนางไม่ค่อยสบาย สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย เกรงว่านางคงจะไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับช่วยพูดแก้ต่างให้สือเหนียง 

 

 

ชีเหนียงหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับหยิกแก้มของสืออีเหนียง “เจ้าน่ะ ช่วยนางแก้ตัวมากกว่ากระมัง” 

 

 

สืออีเหนียงหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็เป็นเพื่อนชีเหนียงไปยังที่พักของสือเหนียง 

 

 

อิ๋นผิงรั้งพวกนางไว้ที่ห้องชั้นนอก “คุณหนูพักผ่อนไปแล้วเจ้าค่ะ!” ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยสีหน้าขอร้องวิงวอน 

 

 

ชีเหนียงได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “งั้นเจ้าก็บอกกับน้องหญิงสิบด้วย ว่าพวกเรามาเยี่ยมนาง” 

 

 

สีหน้าของอิ๋นผิงเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ “บ่าวจะต้องเรียนให้คุณหนูทราบอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” จากนั้นก็เดินออกมาส่งทั้งสองที่หน้าประตูด้วยตัวเอง 

 

 

ชีเหนียงมองไปยังประตูใหญ่ จากนั้นก็หันไปกระซิบถามสืออีเหนียงว่า “นางคงจะไม่ได้วางแผนทำอะไรหรอกกระมัง” 

 

 

สืออีเหนียงยิ้มเจื่อน 

 

 

พูดตามความจริงแล้ว นางรู้สึกว่าสือเหนียงทำตัวเหมือนว่าตนนั้นป่วยระยะสุดท้าย เหลือเวลาไม่มาก ทำอะไรที่ตนไม่เคยกล้าทำ ทำอะไรอย่างที่ใจต้องการ รวมไปถึงเรื่องที่ไร้ซึ่งยางอาย มีความกล้าดั่งคนที่ตัดสินใจสู้ไม่กลัวตาย ไม่สิ บางทีอาจจะเป็นความมั่นใจและทะนงตน อยากจะท้าทายความอดทนของนายหญิงใหญ่ ให้นายหญิงใหญ่รับรู้ถึงความทุกข์ทรมานที่ตนได้รับเมื่อหลายปีที่ผ่านมา 

 

 

แต่นางกลับไม่เคยรู้ตัวเลยว่า ในสายตาของผู้คนรอบข้าง นางก็เป็นเพียงแค่แมลงเม่าที่กำลังบินเข้ากองไฟก็เท่านั้น 

 

 

นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงอี๋เหนียงสี่ขึ้นมา 

 

 

สือเหนียงรู้หรือไม่ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดของตนนั้นได้จากโลกนี้ไปแล้ว 

 

 

นี่ก็ใกล้จะครบหนึ่งปีแล้วที่อี๋เหนียงใหญ่และอี๋เหนียงสองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย โดยที่ไม่มีข่าวคราวเลย 

 

 

เหมือนมีปริศนาใหญ่วางตั้งอยู่ต่อหน้าต่อตาทุกคน ทุกคนล้วนไม่สามารถคาดเดาคำตอบนั้นได้ และคนที่รู้คำตอบกลับอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมถาม ราวกับว่ามองไม่เห็นการมีตัวตนของสิ่งสิ่งนั้น หลีกเลี่ยงอ้อมค้อม พยายามทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดขึ้นมา! 

 

 

ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็มีคนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คุณหนูเจ็ดเพิ่งกลับมาหรือ คุณหนูห้าของเราเชิญคุณหนูทั้งสองไปดื่มชาด้วยกันเจ้าค่ะ!” 

 

 

พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นจื่อเวยยืนยิ้มบางๆ อยู่บนขั้นบันได 

 

 

ชีเหนียงจึงถามขึ้นเสียงเบาว่า “มีใครไปร่วมส่งเจ้าสาวบ้าง” 

 

 

“ปกติแล้วคนที่ปรนนิบัติรับใช้จะไปด้วยทั้งหมด” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “เพิ่มห้องให้คนติดตามอีกสองห้อง” 

 

 

ชีเหนียงพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็ไปหาอู่เหนียงพร้อมสืออีเหนียง 

 

 

อู่เหนียงนำชาหลงจิ่งอย่างดีของซีหูมาต้อนรับพวกนาง 

 

 

ชีเหนียงจึงได้ล้อเล่นว่า “อยากรู้ใช่หรือไม่ว่าคุณนายใหญ่พูดอะไรบ้าง” 

 

 

อู่เหนียงเก็บอาการแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง “มีอะไรให้น่าถามกัน!” 

 

 

“ก็จริง!” ชีเหนียงหัวเราะพร้อมกับพูดต่อว่า “พรุ่งนี้แต่งเข้าไปแล้วก็คงจะรู้เองแหละ!” 

 

 

“คนชอบแกล้ง” อู่เหนียงพูดขึ้นด้วยความฉุนเฉียว “เจ้ารู้เยอะที่สุดอยู่แล้ว!” 

 

 

ชีเหนียงหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ สุดท้ายก็ยอมเล่าคำพูดของนายหญิงใหญ่ให้อู่เหนียงฟัง 

 

 

อู่เหนียงฟังแล้วก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง 

 

 

ชีเหนียงก็ถือโอกาสขอตัวกลับ “พรุ่งนี้พี่หญิงห้าต้องตื่นมาแต่งตัวแต่เช้ามืด” 

 

 

อู่เหนียงจึงให้จื่อเวยไปส่งพวกนางที่หน้าประตู 

 

 

เมื่อทั้งสองกลับไปถึงห้องแล้ว สาวใช้ก็รีบตักน้ำมาให้พวกนางล้างเนื้อล้างตัว 

 

 

ชีเหนียงจะอาบน้ำกับสืออีเหนียงด้วย 

 

 

“อาบใครอาบมัน” สืออีเหนียงปฏิเสธทันควัน 

 

 

“อาบด้วยกัน!” ชีเหนียงยังคงยืนกราน 

 

 

สืออีเหนียงเดินเข้าห้องอาบน้ำไปพร้อมกับปิดประตูดัง ปัง! ชีเหนียงกระทืบเท้าด้วยความโมโห สืออีเหนียงหัวเราะชอบใจเสียงดังผ่านประตูบานกั้นของห้องอาบน้ำ 

 

 

เมื่ออาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ชีเหนียงก็บอกว่าจะมานอนกับสืออีเหนียงด้วย 

 

 

ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะรู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไรนัก แต่คิดว่าเตียงก็ออกจะกว้าง จึงให้คนมาปูที่นอนและเพิ่มผ้าห่ม 

 

 

แต่ชีเหนียงก็ยังไม่ยอม “ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้ ปกติข้าก็ดีกับเจ้าไม่ใช่น้อย” 

 

 

สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านอยากคุยกับข้าไม่ใช่หรือ ข้ากำลังฟังอยู่!” พูดจบก็เอนตัวลงนอน 

 

 

“เจ้ามันคนประเภทที่ชอบรังแกคนอ่อนแอแต่กลัวคนแข็งแกร่ง” ชีเหนียงขึ้นเตียงพร้อมกับบ่นอุบอิบ 

 

 

สืออีเหนียงยังคงหัวเราะไม่หยุด 

 

 

ชีเหนียงก็เลยไล่สาวใช้ในห้องออกไปจนหมด 

 

 

ตงชิงนั้นไม่เป็นไร เพราะหลังจากที่สืออีเหนียงนอนหลับแล้ว ขอเพียงแค่ที่โต๊ะหัวเตียงวางถังน้ำชาที่มีน้ำชาอุ่นๆ อยู่ข้างในก็พอ ไม่ต้องมีคนเฝ้ายามช่วงกลางคืน นางไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไรนัก ไม่เหมือนมู่ฝู ก่อนที่คุณนายสองจะกลับไปนั้นได้กำชับนางเป็นอย่างดี ถ้าหากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น นางรับผิดชอบไม่ไหวอย่างแน่นอน จึงเอาแต่ยืนทำหน้ากระอักกระอ่วนปนขอร้องวิงวอนอยู่ข้างๆ 

 

 

สืออีเหนียงนึกๆ ดูแล้วก็เห็นว่าพรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้า จึงพูดขึ้นอย่างประนีประนอมว่า “หรือว่าเจ้าจะนอนที่เตียงเตาริมหน้าต่างดี” 

 

 

มู่ฝูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ชีเหนียงกลับพูดขึ้นว่า “เจ้าจะนอนที่เตียงเตาติดริมหน้าต่าง หรือว่าจะไปนอนเบียดกับตงชิง” 

 

 

คำตอบกระจ่างชัดในตัวของมันเอง 

 

 

ชีเหนียงมีเรื่องจะพูดกับตนจริงๆ เสียด้วย 

 

 

นางพูดเรื่องไร้สาระเยอะแยะมากมาย จากนั้นก็ขยับเข้ามากระซิบข้างหูว่า “…ข้าไปที่งานวัดมา ได้เจอกับคนผู้หนึ่ง…” 

 

 

เพิ่งเข้าประเด็น ก็ทำเอาสืออีเหนียงจิตใจหวาดหวั่นไปหมด 

 

 

“ต่อมา เขาก็ได้มาสู่ขอข้า…” 

 

 

สืออีเหนียงพยายามข่มคลื่นที่โหมกระหน่ำพัดอยู่ในใจของนางให้สงบลง “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ” นางแสร้งทำเป็นประหลาดใจ 

 

 

“ฉะนั้นข้าจึงอยากให้เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วย…” ชีเหนียงที่กำลังปิติยินดีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แม้แต่ท่านแม่ข้ายังไม่บอกเลย!” 

 

 

แล้วทำไมต้องมาบอกข้าด้วยเล่า! 

 

 

การเก็บความลับถือเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากมายอย่างหนึ่ง! 

 

 

สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดในใจ อีกทั้งยังเป็นห่วงว่าเรื่องนี้จะมีลับลมคมในแอบแฝง 

 

 

นางถามชีเหนียงเสียงเบาว่า “ท่านอาสะใภ้รองรับปากแล้วหรือยัง” 

 

 

ชีเหนียงไม่ได้เป็นเหมือนเช่นนั้น งานแต่งของชีเหนียง นายหญิงสองคงจะระมัดระวังและรอบคอบเป็นอย่างมาก 

 

 

“อืม!” ชีเหนียงพยักหน้าเบาๆ “ข้าแอบฟังท่านป้ามา กลับไปครั้งนี้คงจะหมั้นหมายกันเป็นที่เรียบร้อยกระมัง” นางพูดพร้อมกับยิ้มขึ้นด้วยความเขินอายจนใบหน้าแดงก่ำ 

 

 

สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ 

 

 

“เขามีนามว่าจูอานผิง คนเมืองซานตงมณฑลเกาชิง ปีนี้อายุยี่สิบสอง บิดาจากไปตั้งแต่เขายังเยาว์วัย เมื่อเขาอายุสิบห้าก็ได้เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์…” นางพูดพลางหัวเราะขึ้นเบาๆ “เมื่อก่อน อาณาเขตบริเวณปกครองที่ฝ่าบาททรงประทานให้ดูแลนั้นคือเซวียอี้ หรือว่าเขาจะเป็นดังเช่นเมิ่งฉังจวินกันนะ ช่างเป็นคนที่น่าสนใจไม่น้อย…” 

 

 

“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าผู้อื่นนั้นเรียกจูอานผิงว่าเซวียอี้จวิน” สืออีเหนียงพยายามพูดให้น้ำเสียงของตนอ่อนโยนที่สุด 

 

 

“ข้าได้ยินตอนอยู่ในงานวัด!” ชีเหนียงอิงศีรษะลงบนไหล่ของสืออีเหนียง “มีคนตะโกนเสียงดังว่า ‘ที่แท้แล้วก็เป็นเซวียอี้จวินแห่งมณฑลเกาชิงนี่เอง’ ตอนนั้นข้ารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ก็เลยหันไปมองครู่หนึ่ง…ใครจะไปรู้ว่าผ่านไปไม่นาน จู่ๆ ก็มีคนมาทาบทามเรื่องสู่ขอข้าถึงที่บ้าน เห็นว่าเป็นคนมณฑลเกาชิง นิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา กล้าได้กล้าเสีย สมญานามว่าเซวียอี้จวิน น้องหญิงสิบเอ็ด เจ้าว่านี่ถือเป็นพรหมลิขิตหรือไม่” น้ำเสียงของนางอ่อนโยน เต็มไปด้วยจินตนาการและความใฝ่ฝันที่ไม่มีจุดสิ้นสุด “ข้าไปงานวัดเป็นครั้งแรก…” 

 

 

สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก 

 

 

หากเป็นเรื่องจริง ก็ถือว่าเป็นพรหมลิขิตแล้ว… 

 

 

เมื่อความคิดเช่นนี้ปรากฏขึ้นในหัวของนาง จู่ๆ ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาลึกๆ กับการที่ตนมีความคิดที่แข็งทื่อ ไม่ขวนขวายและไม่อยากได้สิ่งใดเช่นนี้ 

 

 

หรือว่าเป็นเพราะไม่มีความเดือดพล่านเฉกเช่นเมื่อวัยเยาว์ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอันใดก็มักจะมองด้วยความสงสัยและกังขาเสมอ 

 

 

สืออีเหนียงกุมมือชีเหนียงไว้แน่น “พี่หญิงเจ็ด นี่เป็นวาสนาที่ยากยิ่ง!” น้ำเสียงของนางค่อนข้างจริงจัง 

 

 

ชีเหนียงหัวเราะเสียงเบา “ข้ารู้ว่าเจ้าคงจะไม่หัวเราะเยาะข้า!” 

 

 

เสียงหัวเราะที่เบิกบานใจสามารถแพร่กระจายไปติดคนอื่นได้ 

 

 

สืออีเหนียงเองก็หัวเราะตามไปด้วย 

 

 

“หากว่าเพียงแค่รู้จักเท่านั้น ข้าว่าท่านคงไม่เป็นเช่นนี้หรอกกระมัง” ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จู่ๆ นางก็รู้สึกกินปูนร้อนท้องขึ้นมา “คงจะตัวสูงโปร่งรูปงามไม่เบาใช่หรือไม่…” 

 

 

“ไม่มี ไม่มี!” ชีเหนียงดีดตัวลุกขึ้นทันควัน พร้อมกับรีบโบกมือปฏิเสธ “ข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น” 

 

 

“ไม่มีจริงๆ หรือ” สืออีเหนียงยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ “จะให้ข้าไปถามมู่ฝูหรือไม่” 

 

 

“นี่!” ชีเหนียงบ่นอุบ “เจ้ากลายเป็นคนชอบหยอกล้อคนอื่นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” 

 

 

สืออีเหนียงหัวเราะเสียงเบา 

 

 

ชีเหนียงเม้มปากยิ้ม ดวงตาของนางปรากฏแววตาภาคภูมิใจ สุดท้ายนางก็ยอมพูดขึ้นว่า “ใช่ รูปงามไม่เบา…” 

 

 

สืออีเหนียงหัวเราะเสียงดัง 

 

 

เมื่อเห็นคนรอบข้างมีความสุข เราก็จะรู้สึกมีความสุขไปด้วยเช่นนั้นหรือ 

 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท