กลับมาถึงเหอฮวาหลี่ สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋ก็ไปคารวะไท่ฮูหยินก่อน
ไท่ฮูหยินเห็นพวกเขากลับมานางก็ดีใจเป็นอย่างมาก รีบบอกให้ท่านป้ายกอาหารขึ้นมา
สวีลิ่งอี๋ยิ้มและนั่งลงตรงข้ามกับไท่ฮูหยิน “ท่านแม่ทานหรือยังขอรับ”
“ข้าทานแล้ว!” ไท่ฮูหยินมองดูสืออีเหนียงที่ยืนตัวตรงอยู่ข้างหลังสวีลิ่งอี๋นางก็รู้สึกลังเล
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็ยิ้มและพูดว่า “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราไปหาไท่เฮามา ไม่มีอะไร”
ไท่ฮูหยินลังเลที่จะพูด
สืออีเหนียงมองออกว่า ไท่ฮูหยินมีอะไรจะพูดกับสวีลิ่งอี๋ นางจึงยิ้มและคุกเข่าคำนับไท่ฮูหยิน “ข้าออกไปดูว่าทำไมอาหารยังไม่มา”
สายตาของทั้งสองแม่ลูกมีความตกใจขึ้นมา แต่ก็ไม่มีใครรั้งนางไว้
สืออีเหนียงมองออกอยู่แล้ว นางยิ้มและขอตัวออกไปข้างนอก
ไท่ฮูหยินมองดูแผ่นหลังของสืออีเหนียง นางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ช่างเป็นคนฉลาดเสียจริง”
ไม่รู้ว่าทำไม สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็กระแอมแล้วพูดว่า “ท่านแม่ ไท่เฮาไม่มีเรื่องอันใด” จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องที่พูดคุยกับไท่เฮาให้ไท่ฮูหยินฟัง “…โซ่วชังปั๋วอยากจะเข้าแทรกแซงกิจการขนส่งทางทะเลแต่เข้ามาไม่ได้ ตอนนี้ข้าพูดเช่นนี้ ไท่เฮาคงจะไม่มีเวลาสนใจช่องโหว่เล็กๆ ในอดีต แต่เกรงว่าวันนี้คงจะเรียกโซ่วชังปั๋วเข้าไปพูดคุยด้วยแล้ว”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “สองสามปีมานี้ เจี้ยนหนิงโหวและโซ่วชังปั๋วล้วนแต่ครอบครองกิจการของกรมอุตสาหกรรมทางน้ำ สกุลอื่นแทรกแซงเข้าไปไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะสนใจกรมพระราชวัง จะว่าไปแล้ว สกุลหยางสองสามปีนี้ทำเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เหตุใดถึงไม่รู้จักหยุดพัก ทำไมนางถึงไม่เข้าใจว่า บนโลกใบนี้มีเพียงกิจการที่ฮ่องเต้มอบให้เท่านั้นคือกิจการที่มั่นคง อย่างอื่น ก็แค่ฉูดฉาดแต่ไร้ประโยชน์ มีเงินมากมายแค่ไหนก็หาใช่ความจริงไม่”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “บนโลกใบนี้จะมีสักกี่คนที่เหมือนท่าน มองความร่ำรวยเช่นนี้ออก!”
ไท่ฮูหยินอดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าเด็กนี่ รู้จักหัวเราะหยอกล้อท่านแม่แล้ว” นางยิ้ม “ดูเหมือนว่าจะต้องมีใครสักคนอยู่ที่เรือน แม้แต่พูดจาก็คล่องแคล่วขึ้นไม่น้อย”
สวีลิ่งอี๋หน้าแดงขึ้นมา เขามองซ้ายมองขวาแล้วพูดว่า “เยี่ยมญาติเมื่อไรขอรับ เราจะได้ไม่สาย”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วกล่าวว่า “กลัวว่าพวกเจ้าจะกลับมาช้า ข้านัดไว้ยามเซิน[1]”
สวีลิ่งอี๋หยิบนาฬิกาออกมาดู “เหลือเวลาอีกสองชั่วโมง”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้า” นางพูด แต่ก็ไม่รอให้สวีลิ่งอี๋ตอบกลับมา นางพูดออกมาว่า “จุนเกอ ให้เขาอยู่ที่เรือนของข้าเถิด!”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ
ไท่ฮูหยินพูดว่า “ถึงแม้ว่านางจะเป็นท่านแม่ของลูก แต่นางก็เป็นแม่บุญธรรม ที่จริงข้าไม่ได้กังวลอะไร ข้าเพียงแต่เป็นห่วงว่านางยังเด็กเกินไป พึ่งจะเข้ามาที่จวน มีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย กลัวว่านางจะไม่มีเวลา ข้าดูแลจุนเกอให้นางก่อนก็ได้ รอให้นางจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ค่อยให้จุนเกอไปอยู่กับนางก็ไม่สาย”
จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็นึกถึงเอวที่เขาจับเมื่อคืนนี้ขึ้นมา…
“มันเล็กไปจริงๆ” เขาพึมพำ “เช่นนั้นท่านก็ช่วยนางดูแลจุนเกอก่อนก็ได้ขอรับ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ในเมื่อนางเข้ามาอยู่ในจวนแล้ว เรื่องในจวนจะให้สะใภ้สามช่วยดูแลมันก็คงไม่ดี แต่นี่เป็นเรื่องที่หยวนเหนียงเป็นคนกำหนดไว้ นางเข้ามาก็หยิบกุญแจไปทันที ข้ากลัวว่าอาจจะมีใครนินทาเอาได้ ข้าหมายถึง ให้สะใภ้สามดูแลเรื่องในจวนก่อนดีกว่า ไว้ค่อยหาโอกาสว่ากันอีกที!”
“ท่านแม่คิดได้รอบคอบมากขอรับ” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “ทำตามที่ท่านวางไว้เถิด!”
“อืม!” ไท่ฮูหยินเห็นว่าเรื่องที่ตัวเองกังวลว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่เห็นด้วย แต่เขากลับเห็นด้วยกับตัวเอง นางก็ยิ้มแย้มกว่าเดิม จากนั้นก็ถามเรื่องของสวีลิ่งอี๋ “เรื่องของเจ้าล่ะเป็นเช่นไร”
“หมอหลวงบอกว่าข้าเป็นโรคข้อเท้าอักเสบ ไม่สามารถไปที่ที่หนาวเย็นได้อีกต่อไป ต้องใช้เวลารักษาตัวสามถึงห้าปี ไม่เช่นนั้น เกรงว่าจะเป็นอัมพาต”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ “โรคข้อเท้าอักเสบก็ดีแล้ว ไม่เห็นความผิดปกติอันใด จะกำเริบหรือไม่กำเริบก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ แต่สภาพอากาศใครเล่าจะรู้!”
“เพราะสาเหตุนี้แหละ” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “เกรงว่าต่อไปคงจะต้องอยู่ที่จวนไปตลอด”
“อยู่ที่จวนไปตลอด ดีมาก!” สายตาที่มองดูบุตรชายของตัวเองของไท่ฮูหยินเต็มไปด้วยความสงสาร “เจ้าควรจะพักผ่อนอยู่ที่จวนบ้างแล้ว คุณชายสามซื่อสัตย์ภักดี คุณชายห้าก็ไม่ได้เรื่อง เจ้าคือเสาหลักของสกุล…”
“ท่านแม่อย่าพูดเช่นนี้” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “พี่สามเป็นคนที่รอบคอบจนเคยชิน น้องห้าก็ยังเด็กนัก แต่ประเดี๋ยวก็รู้ความ” เขาไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้กับท่านแม่ เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “น้องสะใภ้ห้าจะคลอดเมื่อใด มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้หรือไม่ จะเปลี่ยนเรือนหรือจะย้ายไปอยู่จวนที่เขาซีซาน?”
“จะพิถีพิถันอะไรขนาดนั้น” ไท่ฮูหยินยิ้ม “สำนักดาราศาสตร์บอกแล้วว่า วัวกับเสืออยู่ด้วยกันไม่ได้ ตานหยางเกิดปีเสือ แค่ไม่เจอกับคนที่เกิดปีวัวก็พอ ข้าบอกให้ป้าตู้ไปจัดการแล้ว คนที่เกิดปีวัวทุกคนในจวนให้ย้ายไปอยู่ที่เขาซีซานก่อนชั่วคราว…ไม่มีเรื่องอันใดหรอก”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “เช่นนั้นก็ดีขอรับ!”
“ไม่รู้ว่าอะไรกันหนักกันหนา ข้าคลอดลูกชายสามคนลูกสาวหนึ่งคนก็ยังไม่วุ่นวายเท่าพวกเจ้า” ไท่ฮูหยินพูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “หวังว่าพระโพธิสัตว์จะคุ้มครอง ให้ตานหยางได้ลูกชาย เพิ่มสมาชิกให้สกุลสวีของเรา”
เรื่องเช่นนี้สวีลิ่งอี๋ไม่อยากตอบกลับอะไร เหยาหวงเข้ามารายงานพอดี “วางอาหารไว้ที่ไหนดีเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินชี้ไปที่ห้องทางทิศตะวันออก “วางไว้ตรงนั้นก็ได้!”
เหยาหวงและสาวใช้รีบไปย้ายโต๊ะที่อยู่บนเตียงใกล้หน้าต่างห้องทิศตะวันออก และวางอาหารไว้อย่างเรียบร้อย
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะถาม “ฮูหยินสี่ล่ะ”
เหยาหวงยิ้มแล้วพูดว่า “กำลังดื่มชาอยู่กับป้าตู้ที่ห้องเอ่อร์ฝังเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋รู้สึกตกใจ
เขาคิดว่านางจะยืนรออยู่นอกประตูอย่างเบื่อหน่าย…
เหยาหวงเห็นเช่นนี้ก็รีบพูดว่า “พี่เว่ยจื่อกำลังไปเชิญฮูหยินสี่แล้วเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า จากนั้นก็เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา
“ไปทักทายท่านแม่แล้วมาทานข้าวเถิด!” เขาพยักหน้าให้สืออีเหนียงเบาๆ
สืออีเหนียงตอบกลับ “เจ้าค่ะ” ไปทักทายไท่ฮูหยินตามที่เขาบอกแล้วเดินมานั่งลงตรงข้ามสวีลิ่งอี๋
สาวใช้ตักน้ำมาให้นางล้างมือ นางเอาข้าวต้มถ้วยเล็กถ้วยหนึ่ง เห็นสวีลิ่งอี๋เอาข้าวชามใหญ่ นางจึงกินไปด้วยรอสวีลิ่งอี๋ไปด้วย เมื่อสวีลิ่งอี๋วางชามลง นางก็กินเสร็จพอดี
สายตาของสวีลิ่งอี๋มองไปยังชามของนาง
สืออีเหนียงคิดว่าเขาจะพูดอะไร นางคิดข้ออ้างว่าข้ากินไม่เยอะ ปกติก็กินแค่นี้เอาไว้แล้ว แต่สวีลิ่งอี๋กลับไม่พูดอะไรออกมา
พวกเขาทั้งสองขอบคุณไท่ฮูหยิน จากนั้นก็กลับไปแต่งตัวที่เรือน เตรียมตัวสำหรับการเยี่ยมญาติตอนช่วงบ่าย
สวีลิ่งอี๋ถามนางว่านางจะพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่ “…ไปเยี่ยมญาติตอนยามเซิน”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยจนร่ากายจะพังทลายแล้ว นางจึงไม่เกรงใจเขา รีบพยักหน้า “เช่นนั้นข้านอนพักสักหน่อย”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าและเดินไปยังห้องหนังสือ ห้องหนังสือของเขาอยู่ที่ห้องตะวันออกของเรือนข้างหน้า
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที แต่งหน้าแต่งตัวอย่างเรียบง่ายแล้วนอนหลับไป
เมื่อตงชิงปลุกนาง นางก็ยังไม่อยากลุกจากเตียง
*****
บรรพบุรุษคนแรกขอสกุลสวีก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ไม่รู้จักพ่อแม่ของตัวเอง แต่บังเอิญไปติดตามฮ่องเต้ไท่จง ถึงได้มีกิจการของสกุลเช่นนี้ ต่อมาเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีก่อกบฏของเจิ้งอานอ๋อง แต่ละคนแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง เมื่อถึงสมัยฮ่องเต้จงอิง นอกจากท่านลุงที่ตั้งรากฐานอยู่ที่หนานจิง คนอื่นก็หาไม่เจอแล้ว
เพราะเช่นนี้ ตอนที่ฮูหยินสามแนะนำญาติที่มาจากหนานจิงให้สืออีเหนียงรู้จัก นางพูดแค่ว่า “นี่คือคุณนายใหญ่หง คุณนายสองฟู่และคุณนายสามติ้งที่มาจากทางตอนใต้!”
พวกเขาเป็นพี่สะใภ้ของท่านอา นอกจากสวีลิ่งหงสามีของคุณนายใหญ่หงที่โตกว่าสวีลิ่งอี๋ ที่เหลืออีกสองคนก็อายุน้อยกว่าสวีลิ่งอี๋
สืออีเหนียงคุกเข่าคำนับและยื่นงานปักของตัวเองให้พวกนาง
คุณนายทั้งสามคนมอบชุดเครื่องประดับให้สืออีเหนียง
และแนะนำหวงฮูหยินภรรยาของหย่งชังปั๋ว “…น้องสาวร่วมสามบานของท่านแม่!”
หวงฮูหยินยิ้มและมอบหวีหินเซียงชิงจินคู่หนึ่งให้สืออีเหนียง
สำหรับฮูหยินสองและฮูหยินห้า พวกนางล้วนแต่รู้จักจุนเกอและเจินเจี่ยเอ๋อร์ ดังนั้นนางจึงเอาแต่มองสวีซื่ออวี้บุตรชายคนโตของสวีลิ่งอี๋ สวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนบุตรชายสองคนของสวีลิ่งหนิง
สวีซื่ออวี้อายุแค่สิบเอ็ดปี ใบหน้าขาวสะอาดสะอ้าน ดวงตากลมโต ไม่เพียงแต่มีหน้าตาที่เหมือนสวีลิ่งอี๋ แล้วยังมีพฤติกรรมที่สุขุมมีมารยาทเหมือนสวีลิ่งอี๋อีกด้วย ราวกับพิมพ์ออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกันกับสวีลิ่งอี๋
สวีซื่อฉินโตกว่าสวีซื่ออวี้สามปี ในรุ่นนี้เขาโตที่สุด ราวกับชายหนุ่มที่กำลังเป็นวัยรุ่น เขามีรูปร่างสูงผอม หน้าตาหล่อเหลา หน้าตาเหมือนกับฮูหยินสาม
อาจจะเป็นเพราะเขาอายุเท่ากับสืออีเหนียง ตอนที่รับของขวัญที่สืออีเหนียงมอบให้สีหน้าของเขาก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สวีซื่อเจี่ยนไม่ได้สุขุมเหมือนสวีซื่ออวี้ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องที่โตกว่าเขาแค่สองสามวัน และก็ไม่ได้ขี้อายเหมือนสวีซื่อฉิน เขาตัวเล็กผอม สายตาเฉียบแหลม สืออีเหนียงพึ่งจะหยิบงานปักออกมา เขาก็รีบเดินเข้ามารับ “จะรบกวนท่านป้าสี่ได้เช่นไรกัน ข้าเอง ข้าเองขอรับ!”
เด็กตัวแค่นี้แต่กลับพูดจาราวกับผู้ใหญ่ แน่นอนว่าเขาทำให้ทุกคนพากันหัวเราะออกมา
ทุกคนทานอาหารอยู่ที่โถงบุปผา ไท่ฮูหยินออกไปส่งหวงฮูหยินด้วยตัวเอง
สวีลิ่งควนบอกว่าจะออกไปเดินเล่น “…นานๆ ทีจะมาที่นี่ ต้องออกไปเดินดูหน่อยขอรับ!”
ลูกพี่ลูกน้องสามคนจากทางตอนใต้ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน สวีลิ่งอี๋และสวีลิ่งหนิงจึงออกไปกับพวกเขา
คุณนายใหญ่หงและคุณนายสามติ้งไปพักผ่อนที่เรือนของฮูหยินสอง คุณนายสองฟู่อยากจะไปพักผ่อนที่เรือนของฮูหยินสาม “…พึ่งจะเจอกันตอนฮูหยินสี่เสียไป ข้าอยากจะไปพูดคุยกับนาง”
ตอนนี้จึงเหลือเพียงสืออีเหนียง ฮูหยินสามและคุณนายสองฟู่
คนที่มากับสืออีเหนียงรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองสักเท่าไร แต่สืออีเหนียงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “หากเป็นเช่นนี้ ข้าคงไม่ได้ต้อนรับน้องหญิงสามแล้ว”
นางยิ้มอย่างอ่อนโยน ท่าทีก็เป็นมิตร มองไม่เห็นความไม่พอใจอะไรแม้แต่น้อย
คุณนายสองฟู่เหลือบมองฮูหยินสาม นางยิ้มและทักทายสืออีเหนียงสองสามประโยค จากนั้นก็ไปที่เรือนของฮูหยินสามพร้อมกับฮูหยินสาม
กลับมาที่เรือน ตงชิงอดไม่ได้ที่จะโมโหแทนสืออีเหนียง “…พูดจาทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้ว!”
สืออีเหนียงเรียกสาวใช้ทั้งสี่คนเข้ามาและพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “พี่หญิงใหญ่คือภรรยาที่แท้จริงของท่านโหว นี่คือเรื่องที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ หากพวกเจ้าได้ยินใครพูดถึงพี่หญิงใหญ่ก็ไม่ควรไม่สบายใจหรือคิดอะไรฟุ้งซ่าน”
พวกนางทั้งสี่คนคุกเข่าคำนับพร้อมกัน
หู่พั่วบอกว่าจะเป็นคนเฝ้ายามเอง
“เรื่องที่ท่านให้บ่าวไปสืบมา บ่าวสืบมาแล้วเจ้าค่ะ” นางแกะผมให้สืออีเหนียง “ป้าเถาบอกว่า ไท่ฮูหยินตื่นนอนตอนหกโมงเช้าของทุกวัน เจ็ดโมงเช้าออกมาจากห้องนอน เจ็ดโมงกว่าทานอาหารเช้า ทุกคนล้วนแต่จะไปคารวะไท่ฮูหยินตอนแปดโมงถึงเก้าโมง เก้าโมงกว่าไท่ฮูหยินก็จะไปท่องพระคัมภีร์กับท่านป้าคนสนิทสองสามคนที่สำนักอันถัง ทานอาหารกลางวันตอนเที่ยง ตอนบ่ายนอนกลางวัน บ่ายสองตื่นนอน ช่วงบ่ายจะไปเล่นกับเจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอ ไม่ก็ไปเล่นไพ่กับฮูหยินสามและฮูหยินห้า ห้าโมงเย็นทานอาหารเย็น ทานเสร็จก็จะเดินเล่นในลาน หกโมงเย็นกลับไปที่เรือน ทุ่มหนึ่งก็นอนหลับแล้วเจ้าค่ะ”
มีกฎระเบียบแล้วยังสอดคล้องกับการดูแลสุขภาพ…
สืออีเหนียงพึมพำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ปลุกข้าตื่นตอนหกโมงเช้าของทุกวันเถิด!”
—————————————
[1]ยามเซิน ช่วงเวลา 13.00-15.00 นาฬิกา