ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 87 แต่งงานใหม่(ต้น)

ตอนที่ 87 แต่งงานใหม่(ต้น)

นางเรียกชุนมั่วและซย่าอีเข้ามา

พวกนางสองคนไปรับใช้สวีลิ่งอี๋อาบน้ำในห้องน้ำ สืออีเหนียงเก็บข้าวของชิ้นเล็กๆ น้อยๆ จากนั้นก็เปลี่ยนชุดนอนนั่งรอสวีลิ่งอี๋อยู่บนเตียง

ผ่านไปไม่นาน สวีลิ่งอี๋ก็เดินออกมาพร้อมกับผมที่เปียกหมาดๆ เขาดึงผ้าห่มออกแล้วนอนลงบนเตียง “รีบนอนเถิด! พรุ่งนี้เช้ายังต้องไปกล่าวขอบพระทัยที่พระราชวัง!”

ไปกล่าวขอบพระทัยที่พระราชวัง?

สืออีเหนียงตกใจ แต่นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ได้รับของขวัญมากมายขนาดนี้ ดูเหมือนว่าควรจะไปกล่าวขอบพระทัยจริงๆ

นางตอบรับ “อืม” และเห็นสวีลิ่งอี๋นอนตะแคง

มองไปที่ครึ่งหนึ่งของเตียงที่เขาทิ้งไว้ให้ตัวเอง สืออีเหนียงก็หายใจเข้ายาวๆ

อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนเย่อหยิ่ง…

นางบอกให้ตงชิงเฝ้ายามอยู่ที่ห้องทางทิศตะวันออก หลังจากที่ชุนมั่วและซย่าอีทำความสะอาดห้องน้ำเสร็จแล้ว พวกนางก็เดินมาข้างเตียงเบาๆ

นอนกับผู้ชายแปลกหน้าบนเตียงเดียวกันทั้งคืน…

สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกลังเล

ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเล่า

ความคิดวาบขึ้นมา สายตาของนางก็มองไปที่เขา

เขาหันหลังให้นาง งอตัวเล็กน้อย ใช้มือข้างหนึ่งรองหัว มืออีกข้างหนึ่งวางอยู่ที่เอวอย่างธรรมชาติ ดูเหมือนจะหลับลึกไปแล้ว

นางสงบสติอารมณ์และสังเกตเขา เห็นว่าเสียงลมหายใจของเขายาวและสม่ำเสมอ

หลับไปแล้วจริงๆ!

สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางเองก็ผ่อนคลายขึ้นมาก

นางก็คิดว่าตัวเองน่าขำเสียจริง

ถึงแม้ว่าชายคนนี้จะเป็นคนแปลกหน้า แต่เขามีกลับอำนาจสำหรับนาง หากเขากระโจนเข้ามาแล้วตัวเองยังจะกรีดร้องได้?

ความคิดนี้วาบขึ้นมา ความลังเลเล็กๆ น้อยๆ ของนางก็ค่อยๆ จางหายไป

ราวกับได้เกิดใหม่ การแต่งงานหมายถึงอะไร หรือว่าตัวเองยังไม่รู้ ในเมื่อแต่งเข้ามาแล้ว ก็ราวกับพิมพ์ลายมือบนสัญญา จะมาเสียใจตอนนี้ มันสายเกินไปหรือไม่ ดูเสแสร้งเกินไปหรือไม่

สืออีเหนียงถามตัวเอง จิตใจของนางก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ

นางยิ้มและนอนตะแคง ค่อยๆ เอามือที่อยู่ตรงเอวของเขาเข้าไปในผ้าห่มเบาๆ จากนั้นก็หันไปเป่าตะเกียง ดึงผ้าห่มอีกฝั่งหนึ่งแล้วนอนข้างสวีลิ่งอี๋อย่างแผ่วเบา

ท่ามกลางความมืดมิด การได้ยินและการรับกลิ่นของคนจะไวกว่าปกติ

ตัวของสวีลิ่งอี๋มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลมหายใจมีกลิ่นเหล้าอ่อนๆ มันทำให้นางรู้สึกมึนเมาและอบอุ่น จากนั้นนางก็รู้สึกง่วง

พรุ่งนี้ยังต้องไปขอบพระทัย…จะผิดพลาดไม่ได้…ต้องนอนเอาแรง…

ท่ามกลางความมึนงง มีแขนที่แข็งแรงโอบกอดนางเข้าไป

ทันในนั้นสืออีเหนียงก็ตกใจตื่น

มือใหญ่ๆ คู่หนึ่งที่มีรอยด้านล้วงเข้าไปในชุดนอนของนาง…

*****

สืออีเหนียงเบิกตากว้าง พยายามมองตรงสี่มุมของเตียงว่าห้อยถุงหอมแบบไหนเอาไว้

แต่ไม่ว่านางจะพยายามแค่ไหน มันก็ยังคงมืดสนิท

มีมือใหญ่ๆ ที่อบอุ่นลูบหัวนางเบาๆ

สืออีเหนียงอยากจะหันหน้าหนีมือคู่นั้นตามสัญชาตญาณ แต่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ มันทำให้นางต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ

นางไม่เคยรู้ว่าการทำเรื่องเช่นนี้มันเจ็บขนาดนี้…

“เรียกสาวใช้ของข้าเข้ามาได้หรือไม่” นางกระซิบขอร้องสวีลิ่งอี๋เบาๆ

ตัวของสวีลิ่งอี๋แข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด

สืออีเหนียงไม่มีอารมณ์ไปสนใจอารมณ์ของคนอื่น

ประสบการณ์เมื่อครู่มันแย่มากจริงๆ

คนหนึ่งผ่อนคลายไม่ลง อีกคนก็รีบร้อนราวกับพยายามทำภารกิจให้สำเร็จ…

ผ่านไปครู่หนึ่ง สวีลิ่งอี๋ก็ไม่พูดไม่จา

ช่างเถิด! รอให้ฟ้าสางแล้วค่อยว่ากัน…

สืออีเหนียงครุ่นคิด แต่สวีลิ่งอี๋กลับลุกขึ้นมานั่ง

“ข้าจะไปเรียกสาวใช้ของเจ้าเข้ามา!”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดเบาๆ

ผ่านไปไม่นาน ตงชิงก็วิ่งเข้ามาอย่างกระวนกระวาย “คุณหนู ไม่สิ ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ”

“ไปตักน้ำให้ข้า ข้าจะอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า”

ตงชิงมองนางด้วยความตกใจ

สืออีเหนียงหมดความอดทน “หรือว่าไม่ได้”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ” ตงชิงกระวนกระวาย “บ่าวจะไปตักน้ำให้ท่านประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”

ในห้องสว่างขึ้นมา

สืออีเหนียงแช่อยู่ในถังตั้งนาน ตัวของนางถึงได้ค่อยๆ ผ่อนคลายลง

เมื่อนางแต่งตัวและกลับมาที่ห้องอีกครั้ง สวีลิ่งอี๋นั่งรอนางอยู่ข้างเตียง

“นอนเถิด!” เขาพูดเบาๆ “พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”

สืออีเหนียงเห็นว่าผ้าปูที่นอนเปลี่ยนหมดแล้ว

นางพยักหน้าและเข้าไปอยู่ในผ้าห่มที่ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิ

ต่อมา สืออีเหนียงก็ฝัน

นางฝันเห็นตัวเองถูกยักษ์วิ่งไล่ฆ่า นางตัวเล็กแล้วขาก็สั้น วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกตามทัน…และไม่ว่านางจะขอร้องอ้อนวอนยักษ์ตัวนั้นเช่นไรเขาก็ไม่ยอมปล่อยนางไป จากนั้นยักษ์ตัวนั้นก็อ้าปากกลืนกินนางลงไป

สืออีเหนียงตกใจตื่น ตัวนางเต็มไปด้วยเหงื่อ

สวีลิ่งอี๋ที่นอนอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกตัวขึ้นมา เขาถามนาง “เป็นอะไรหรือ”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ!” นางถอนหายใจ “ผ้าห่มหนาเกินไปเจ้าค่ะ!”

สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร เขาลุกขึ้นและเรียกตงชิงมารับใช้นาง

ยังจะเป็นอะไรได้?

สืออีเหนียงยิ้มอย่างขมขื่น ตักน้ำมาเช็ดตัวอีกครั้ง เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนอนลงไปอีกครั้ง

แต่นางนอนไม่หลับอีกต่อไป นางเอียงหูฟังเสียงของสาวใช้ที่ตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตา

*****

ป้าตู้ออกมาจากเรือนข้างใน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ปิดไม่อยู่

นางย่อเข่าคำนับสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียง “ยินดีกับท่านโหวและฮูหยินเจ้าค่ะ”

สวีลิ่งอี๋พยักหน้า แต่สืออีเหนียงกลับก้มหน้าก้มตาอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง

ป้าตู้ยิ้มแย้มกว่าเดิม เก็บผ้าไหมสีขาวที่วางไว้บนเตียงเมื่อคืนลงในกล่องแกะสลักสีแดง จากนั้นก็บอกให้โรงครัวยกซุปเมล็ดบัวเข้ามา

สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงกินซุปเมล็ดบัว ป้าตู้เชิญสวีลิ่งอี๋ไปที่ห้องโถง เฉวียนฝูฮูหยินแต่งหน้าแต่งตาให้สืออีเหนียง จากนั้นก็ม้วนผมมวย ปักปิ่นปักผมหรูอี้ที่สกุลสวีมอบให้

ป้าตู้มองดูสืออีเหนียงที่หน้าตาสวยงาม นางยิ้มอย่างลึกซึ้ง “เราไปคารวะไท่ฮูหยินกันเถิดเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงถูกรายล้อมไปด้วยสาวใช้ เดินตามสวีลิ่งอี๋ไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน

ฮูหยินสามกำลังรับใช้ไท่ฮูหยินดื่มชา เห็นสืออีเหนียงเดินมา นางรีบยิ้มและเดินเข้ามาต้อนรับ “บอกให้พวกเจ้าไปกล่าวขอบพระทัยที่ราชวังก่อน ช่วงบ่ายค่อยไปเยี่ยมญาติ?”

“ใช่เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มและพยักหน้า

สายตาของฮูหยินสามมีความอิจฉา “เช่นนั้นก็รีบออกเดินทางเถิด จะได้ไม่เสียเวลาเยี่ยมญาติช่วงบ่าย”

สืออีเหนียงยิ้ม

เห็นป้าตู้ยื่นกล่องแกะสลักสีแดงกล่องนั้นให้ไท่ฮูหยินและกระซิบกระซาบข้างหูไท่ฮูหยินสองสามประโยค ไท่ฮูหยินมองมาที่สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงพลางยิ้มอย่างชื่นใจ

สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงเดินเข้าไปคารวะไท่ฮูหยิน เพราะว่าเป็นครั้งแรก แล้วก็พึ่งแต่งงาน ทั้งสองคนจึงก้มหัวให้ไท่ฮูหยินสามครั้งด้วยความเคารพ

“รีบลุกขึ้น รีบลุกขึ้น!” ใบหน้าของไท่ฮูหยินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หยิบกล่องแกะสลักลายนกสีแดงเป็นของขวัญให้สืออีเหนียง “เครื่องประดับของข้าเมื่อก่อน เจ้าเอาไปใส่เถิด!”

เพราะว่ามันอยู่ในกล่อง สืออีเหนียงไม่รู้ว่าข้างในคือของอะไร นางยิ้มและเอ่ยขอบคุณ

ไท่ฮูหยินยิ้มและบอกให้ป้าตู้ออกไปส่งพวกเขา “รีบไปรีบกลับ!”

*****

สืออีเหนียงเดินตามสวีลิ่งอี๋ไปที่มุมประตูที่อยู่ทางทิศใต้แต่หันหน้าไปทางทิศเหนือ ไปยังลานที่พวกเขารับพระราชโองการเมื่อวาน เดินอ้อมห้องโถงที่มีเจ็ดห้องไป ตรงไปที่ประตูลานข้างนอก จากนั้นก็ขึ้นรถม้าไปพระราชวัง

ฮ่องเต้ยังประชุมราชสำนักช่วงเช้าอยู่ พวกเขาจึงไปหาไท่เฮาที่พระราชวังฉือหนิงก่อน

ไท่เฮาดูแล้วอายุราวสามสิบสี่สามสิบห้าปี นางขาวและอวบอ้วน หน้าตาธรรมดาๆ หากไม่ใช่เพราะมีความสูงส่งที่ออกมาจากสายตาของนาง คาดว่าหากทิ้งนางไว้ที่ถนนซีเหมิน คนอื่นคงจะคิดว่านางเป็นท่านแม่ของใครสักคน

สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะตกใจในภาพลักษณ์ของนาง

สวีลิ่งอี๋กล่าวขอบพระทัยไท่เฮาด้วยความเคารพ แต่ไท่เฮากลับเอาแต่พูดว่าหากไม่ใช่ภรรยาที่ดีไม่สามารถปรนนิบัติรับใช้สามีที่ดีได้ หากไม่ใช่สามีที่ดีไม่สามารถมีภรรยาที่ดีได้กับสืออีเหนียง

สืออีเหนียงกุมมือรับฟังคำสั่งสอนของนางด้วยความเคารพ นางแอบบอกตัวเองในใจ จะต้องอ่อนน้อมถ่อมตน จะได้ไม่ทำให้ไท่เฮาไม่พอใจ

ในขณะที่นางกำลังพูดคุยกันก็มีสาวใช้ในวังเข้ามารายงาน “ฮองเฮาเสด็จมาแล้วเพคะ”

ไท่เฮาหยุดพูด นางยิ้มให้สวีลิ่งอี๋ “พอดีเลย พวกเจ้าจะได้ไม่ต้องไปที่ตำหนักของฮองเฮา”

ฮองเฮาดูอายุพอๆ กับสวีลิ่งอี๋ รูปร่างปานกลาง มีทรวดทรงองเอว มีดวงตาที่โตและยาวเหมือนกับสวีลิ่งอี๋ รอยยิ้มที่แสนหวาน ช่างเป็นหญิงงามที่หายาก!

ไม่มีความเย่อหยิ่งอย่างที่นางคิด แต่กลับทำให้นางรู้สึกสนิทสนมและเป็นกันเอง

หลังจากคารวะไท่เฮาเสร็จแล้ว นางก็ยิ้มแล้วมองมาที่สืออีเหนียง “ท่านนี้คือเจ้าสาวใช่หรือไม่” น้ำเสียงของนางสดใส

สวีลิ่งอี๋ตอบกลับด้วยความเคารพ “พ่ะย่ะค่ะ”

ฮองเฮายิ้มและพูดว่า “ลำบากพวกเจ้าแล้ว ต้องมากล่าวขอบพระทัยถึงที่นี่แต่เช้า”

ไท่เฮายิ้มและพูดว่า “เป็นหน้าเป็นตาของราชวงศ์และตระกูลสวี”

ฮองเฮายกยิ้มและตอบรับ “เพคะ”

สวีลิ่งอี๋นึกถึงที่ดินสิบไร่ที่ฮ่องเต้มอบให้เขาขึ้นมา จากนั้นหัวข้อสนทนาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเรื่องของโซ่วชังปั๋ว พระอนุชาของไท่เฮา “…เครื่องลายครามถึงแม้ว่าจะเป็นของดี แต่ว่าราคามันก็แพง ใช่ว่าคนทั่วไปจะมี มันกลายเป็นของที่นิยมกันไปแล้ว ไม่ได้เข้าถึงได้ง่ายๆ ข้าคิดว่าควรหาที่เปิดเตาเผาในเมืองจิ่งเต๋อ ต้นทุนต่ำ ส่งมาก็รวดเร็ว”

โซ่วชังปั๋วทำกิจการเครื่องลายครามในกรมพระราชวัง

ไท่เฮาสนใจเรื่องนี้มากจริงๆ “…เจ้าเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียด!”

สวีลิ่งอี๋จึงพูดคุยเรื่องกิจการขนส่งทางทะเลในช่วงนี้ บอกว่าจะซื้อมาในราคาต่ำและขายออกไปในราคาสูงเช่นไร บอกว่าจะเดินเรือเช่นไร…ทำเอาไท่เฮาฟังแล้วตกใจ นางถามสวีลิ่งอี๋ว่าเขาได้ทำกิจการขนส่งทางทะเลด้วยหรือ

“กระหม่อมได้ยินคนอื่นพูดพ่ะย่ะค่ะ” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “กระหม่อมอยู่ที่แคว้นซีเป่ยมานาน เมื่อมีลมแรงและฝนตกเข่าก็จะปวด หมอหลวงบอกว่าเป็นโรคข้อเท้าอักเสบ ต้องรักษาสองสามปี ดังนั้นกระหม่อมจึงตระเวนถามไปทั่วว่ามีวิธีไหนพอจะรักษาได้หรือไม่”

สืออีเหนียงเหลือบมองสวีลิ่งอี๋อย่างครุ่นคิด

แต่ไท่เฮากลับพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “สองสามปีมานี้เจ้าไปเหนือล่องใต้ เจ้าต้องพักสักสองสามปีเสียแล้ว”

ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่ ฮ่องเต้ก็ออกมาจากราชสำนักแล้วมาที่นี่

สืออีเหนียงตามสาวใช้ในพระราชวังออกไปอยู่ที่ตำหนักรองของพระราชวังฉือหนิง

มีคนแอบมองดูนางแล้วกระซิบกระซาบกัน “…นั่นไง ภรรยาตัวแทนของหย่งผิงโหว…”

“ยังเด็กอยู่เลย…”

สืออีเหนียงนั่งให้คนอื่นมองตัวเองอยู่ที่นั่นอย่างไม่สะทกสะท้าน

ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป มีสาวใช้มาเชิญนางกลับไปยังตำหนักไท่เฮา “…ฮ่องเต้เสด็จไปแล้วเจ้าค่ะ”

ฮองเฮาก็กลับไปพร้อมกับฮ่องเต้

สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงนั่งอยู่ที่นั่นครู่หนึ่ง พูดคุยเป็นเพื่อนไท่เฮาสองสามประโยค อ้างว่าจะเที่ยงแล้ว จึงขอตัวกลับไปที่เหอฮวาหลี่

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท