ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 93 คารวะ (ปลาย)

ตอนที่ 93 คารวะ (ปลาย)

น้ำเสียงของสืออีเหนียงทำให้สวีลิ่งอี๋แปลกใจ

มันไม่ใช่น้ำเสียงที่ชวนเขาคุย แล้วก็ไม่ใช่น้ำเสียงที่แอบถามเขา นางแค่สงสัย จากนั้นก็ถามเขาราวกับศิษย์ที่สงสัยแล้วเอ่ยถามอาจารย์

สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อยู่แถบกุ้ยโจว ซื่อชวนบ้างบางส่วน ไกลมาก มีภูเขามากมาย”

สืออีเหนียงร้อง “อ๋อ” จากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็ได้ยินเสียงพลิกหน้าหนังสือ เห็นได้ชัดว่านางกำลังหาที่ที่เขาพูดถึงเมื่อครู่

เห็นนางจริงจังเช่นนี้ สวีลิ่งอี๋ก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ทำไมเจ้าถึงชอบอ่านเรื่องพวกนี้?”

สืออีเหนียงหันหน้ามายิ้มแล้วมองเขา “เพราะว่าเช่นนี้มันทำให้ข้ารู้ว่าข้างนอกนั้นกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด เช่นนั้น ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้ว”

น้ำเสียงของนางแผ่วเบา มีกลิ่นอายของเสียงที่สะท้อนออกมาจากภูเขา

สวีลิ่งอี๋ตกใจ

นางกำลังบอกตัวเขาอยู่หรือ

หันหลังให้ระเบียง สายตาที่นางมองมาที่ตัวเองเป็นประกาย ส่องแสงออกมาอย่างอธิบายไม่ถูก แล้วยังมีความหมายที่ลึกซึ้ง

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงขึ้น อยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

สืออีเหนียงหันหน้ากลับไป ก้มหน้าพลิกหนังสือ “แคว้นซีเป่ยอยู่ที่ไหนกันเจ้าค่ะ”

นางพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ก้มคอที่ขาวและเรียวยาวของตัวเองลง ก่อตัวกันเป็นรูปโค้งที่สวยงาม แสงไฟส่องมากระทบ เส้นผมของนางเล็กและเรียวราวกับหมอกที่ถูกโรยด้วยผงทองคำเป็นชั้นๆ

จากนั้นเขาก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ บอกไม่ได้ว่ามันคือกลิ่นหอมอะไร มันหอมอ่อนๆ แต่กลับหอมไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ

ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปกุมที่หลังคอของนางอย่างไม่รู้ตัว

จู่ๆ มือที่หนาใหญ่ที่อยู่ในความทรงจำของนางกุมมาที่คอของนางอย่างกะทันหัน มันทำให้นางตกใจ

ไม่นะ…

เสียงพลิกหนังสือหยุดลง

ผิวที่อ่อนนุ่มใต้ฝ่ามือเริ่มแข็งทื่อ

สีหน้าที่ทนเจ็บของนางในคืนนั้นก็ปรากฏขึ้นมาในหัวเขา

สวีลิ่งอี๋รีบดึงมือกลับมาราวกับจับโดนมันฝรั่งที่กำลังร้อนๆ “รีบนอนเถิด พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า!”

สืออีเหนียงตกใจ

นางมั่นใจว่า เขาไม่ใช่แค่ยื่นมือออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เขายื่นมันออกมาอย่างมีเจตนา

แต่กลับล้มเลิกไปอย่างไม่มีสัญญาณ…

ทำไมกัน?

แต่มันก็ทำให้นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้

นางแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ยิ้มแล้วตอบรับ เอนตัวลงไปเป่าตะเกียง หดตัวเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง

ไม่รู้ว่าเหตุใด สวีลิ่งอี๋ก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน

*****

สืออีเหนียงหลับไปอย่างรวดเร็ว

นางรู้ว่า หากเขาต้องการนางจริงๆ นางไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ

ดังนั้น มัวแต่คิดถึงเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สู้นอนหลับให้สบายดีกว่า หลับเอาแรง รับมือกับเรื่องของวันพรุ่งนี้

ท่ามกลางความมืดมิด มีเสียงเบาๆ ดังอยู่ข้างๆ

หรือว่าเขายังพลิกตัวอยู่ เขาเป็นคนที่มีอำนาจที่สุดในเรือนนี้ เขามีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ รวมถึงเรื่องที่นอนไม่หลับ แต่นางกลับทำไม่ได้…ความคิดนี้วาบขึ้น นางพลิกตัวและนอนหลับไปอีกครั้ง

เมื่อนางตื่นขึ้นมา รอบๆ ตัวก็ยังคงมืดมิดและเงียบสงัด

นางตกใจอยู่ครู่หนึ่งและรีบจับดูข้างๆ

ว่างเปล่า…

“ตงชิง!” น้ำเสียงของนางแหบแห้ง

ม่านถูกเปิดออกไปทันที มีแสงไฟของตะเกียงส่องมาที่ตาของนาง

“ฮูหยิน ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ!” ตงชิงพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบและมีความสุข

สืออีเหนียงตกใจ “ยามใดแล้ว”

“จะถึงยามเหม่า[1]แล้วเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงถอนหายใจอย่างโล่งอก

โชคดีที่ยังไปคารวะไท่ฮูหยินทัน!

“ท่านโหวไปราชสำนักแล้วเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของตงชิงดูมีความสุขมากกว่าเดิม “เขาไม่ให้พวกข้าปลุกท่านตื่น”

“ดังนั้นเจ้าจึงไม่ปลุกข้าตื่น!” สืออีเหนียงพึมพำเบาๆ นึกถึงเสียงพลิกตัวไปมาที่ได้ยินในความมืด…มันคงเป็นเสียงตื่นนอนของสวีลิ่งอี๋!

ตงชิงไม่ได้ยินเสียงพึมพำของสืออีเหนียง นางยิ้มแล้วหันไปเปิดม่าน

แสงไฟที่นุ่มนวลและสว่างไสวของตะเกียงทรงกลมห้าแฉกพุ่งเข้ามา

“ท่านโหวตื่นตั้งแต่ยามโฉ่ว[2]แล้วเจ้าค่ะ” ตงชิงรับใช้สืออีเหนียงลุกขึ้นจากเตียง “ทานข้าวต้มถ้วยหนึ่ง หมั่นโถวสองลูก ซาลาเปาสามลูก แล้วยังเอาขนมเปี๊ยะไปด้วย ออกไปตั้งแต่ยามโฉ่วแล้ว หลินปั๋วเป็นคนมารับท่านโหวเจ้าค่ะ” นางเล่าเรื่องสวีลิ่งอี๋ให้นางฟังอย่างละเอียด

“ข้ารู้แล้ว” สืออีเหนียงพยักหน้า ไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ พอมานั่งหน้ากระจกก็มีสาวใช้มารายงานว่า “ฮูหยิน ป้าเถามาแล้วเจ้าค่ะ”

เช้าขนาดนี้!

“เชิญนางเข้ามา!”

สาวใช้เดินออกไปบอกป้าเถา

หญิงอายุยี่สิบห้ายี่สิบหก ที่มีใบหน้ากลมก็เดินเข้ามาอย่างแผ่วเบา ย่อเข่าคำนับนาง จากนั้นจึงหยิบหวีไม้บนโต๊ะกระจกขึ้นมาหวีผมให้นาง

สามีของผู้หญิงคนนี้คือหนานหย่ง ทุกคนล้วนแต่เรียกนางว่าสะใภ้หนานหย่ง เป็นคนดูแลเรื่องผมเผ้าในจวน ไท่ฮูหยินมอบนางให้สืออีเหนียง มวยผมดอกโบตั๋นตอนกลับจวนสกุลหลัวก็เป็นฝีมือของสะใภ้หนานหย่ง

“มวยผมธรรมดาก็พอแล้ว” สืออีเหนียงพูดกับสะใภ้หนานหย่ง

สะใภ้หนานหย่งยิ้มแล้วตอบกลับ “เจ้าค่ะ” เบาๆ จากนั้นก็ม้วนผมขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว

ป้าเถาเดินเข้ามา

“คารวะฮูหยินเจ้าค่ะ!” นางยิ้มและย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง

“ท่านป้ามีเรื่องอันใดหรือไม่”

ป้าเถาเหลือบไปมองสะใภ้หนานหย่ง

สืออีเหนียงรู้สึกได้ว่าสะใภ้หนานหย่งม้วนผมเร็วขึ้นกว่าเดิม

นางมวยผมเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ย่อเข่าคำนับและขอตัวออกไป

ป้าเถาจึงพูดว่า “คนดูแลผมเผ้าของคุณนายใหญ่ก็มี ทำไมท่านไม่เรียกใช้ล่ะเจ้าคะ จะได้พูดอะไรสะดวกหน่อย!”

สืออีเหนียงปฏิเสธไปอย่างไม่คิด “สะใภ้หนานหย่งเป็นคนที่ไท่ฮูหยินมอบให้”

ป้าเถาตกใจ ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็พูดเบาๆ “คนในเรือนของคุณนายใหญ่ ท่านอยากจะไปเจอพวกนางเมื่อใดเจ้าคะ”

“ให้ข้าไปคารวะไท่ฮูหยินก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หยวนเหนียงจากไปหนึ่งปีกว่าแล้ว ไท่ฮูหยินคงจะจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว

ป้าเถาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว นางอยากจะพูดอะไร แต่กลับมีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยิน อี๋เหนียงสามท่านมาคารวะท่านเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงพยักหน้า สาวใช้จึงไปเรียกพวกนางให้เข้ามา

เหวินอี๋เหนียงยิ้มและเอ่ยทักทายป้าเถา “อรุณสวัสดิ์!”

ป้าเถาพยักหน้าอย่างเย็นชา

จากนั้นนางจึงคารวะสืออีเหนียงพร้อมกับฉินอี๋เหนียงและเฉียวเหลียนฝัง

เพราะว่าต้องไปคารวะไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงพูดคุยกับพวกนางสองสามประโยค จากนั้นก็ทานอาหารเช้า เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน

เมื่อนางมาถึงมันยังไม่ถึงยามเฉิน คิดไม่ถึงว่าคุณชายสาม ฮูหยินสาม คุณชายห้า คุณชายสามท่านจากทางตอนใต้และคุณนายทั้งสามท่านมาถึงตั้งนานแล้ว พวกเขายืนอยู่ด้วยกัน เมื่อเห็นสืออีเหนียง ฮูหยินสามก็ยิ้มและกล่าวทักทาย “อรุณสวัสดิ์น้องสะใภ้สี่! ได้ยินมาว่าท่านโหวไปราชสำนักแล้ว ตื่นมารับใช้ท่านโหวตั้งแต่เช้าลำบากเจ้าแล้ว”

สืออีเหนียงไม่พูดไม่จา นางแค่ยิ้มตอบแล้วคำนับทุกคน

คุณนายใหญ่หงจึงพูดว่า “วันนี้พวกข้าจะกลับหนานจิงแล้ว พวกข้าจึงมาบอกลาไท่ฮูหยิน!”

สืออีเหนียงพูดกับนางอย่างสุภาพ “ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักสองสามวันล่ะเจ้าคะ”

คุณนายใหญ่หงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่จวนมีเรื่องเยอะแยะ วันหลังค่อยมารบกวนเจ้า”

ในขณะที่พวกนางกำลังพูดคุยกัน เหยาหวงก็เดินออกมา “ไท่ฮูหยินเชิญคุณชาย ฮูหยินและคุณนายทุกท่านเข้าไปได้แล้วเจ้าค่ะ”

ทุกคนพากันเดินเข้าไปในห้องของไท่ฮูหยิน

ไท่ฮูหยินกำลังนั่งดื่มชาอยู่บนเตียงข้างหน้าต่าง เห็นพวกนางเดินเข้ามา นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “มากันแล้วหรือ”

พวกนางเดินเข้ามาคารวะไท่ฮูหยิน สาวใช้ยกเก้าอี้ไท่ซือมาวางให้บรรดาคุณชายนั่งตรงด้านซ้ายของไท่ฮูหยิน ยกเก้าอี้จิ่นอู้มาวางให้บรรดาฮูหยินนั่งตรงด้านขวาของไท่ฮูหยิน

สาวใช้ยกชาขึ้นมา สวีลิ่งหงจึงบอกเรื่องที่วันนี้จะกลับหนานจิง

ไท่ฮูหยินรั้งเขา สวีลิ่งหงก็ปฏิเสธ ไท่ฮูหยินบอกว่าปีใหม่ให้มาเที่ยวที่นี่ จากนั้นก็ไปส่งพวกเขาด้วยตนเอง ฮูหยินสามและสืออีเหนียงเดินไปส่งพวกเขาที่ประตูฉุยฮวา คุณชายสามและคุณชายห้าไปส่งพวกเขาที่ท่าเรือ

มองดูรถม้าที่กำลังแล่นออกไปไกลๆ ฮูหยินสามก็หันมายิ้มและพูดกับสืออีเหนียง “ข้าคงไม่อยู่เป็นเพื่อนน้องสะใภ้สี่แล้ว สาวใช้และป้าๆ ที่เรือนข้ายังรอข้าอยู่!”

พูดจบ ก็มีสาวใช้วิ่งหอบเข้ามา “ฮูหยินสี่ ไท่ฮูหยินเชิญท่านไปหาเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงยิ้มให้ฮูหยินสาม จากนั้นก็เดินตามสาวใช้ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน

จุนเกอและเจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังกระโดดเชือกอยู่ในลาน เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา พวกเขาก็ตกใจ เจินเจี่ยเอ๋อร์รีบดึงจุนเกอไปคำนับสืออีเหนียง

แต่จุนเกอกลับสะบัดมือเจินเจี่ยเอ๋อร์ออกแล้ววิ่งหนีไป

สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจ เจินเจี่ยเอ๋อร์จึงรีบเอ่ยขอโทษสืออีเหนียง “ท่านแม่ จุนเกอกลัวคนแปลกหน้า ท่านสนิทกับเขาแล้วก็จะดีขึ้นเจ้าค่ะ!”

นี่คงไม่ใช่เรื่องกลัวคนแปลกหน้า?

แต่ว่า นางไม่ได้มาเอาอกเอาใจเขา แต่มาดูแลให้เขาเติบโตเป็นผู่ใหญ่อย่างราบรื่น อย่างที่สองคือเรื่องสำคัญ ไม่จำเป็นต้องสลับกัน

แต่ปฏิกิริยาของเจินเจี่ยเอ๋อร์กลับทำให้นางพอใจเป็นอย่างมาก

“ข้าไม่รู้ว่าเขาจะกลัวคนแปลกหน้าขนาดนี้” สืออีเหนียงยิ้ม “จุนเกอมีนิสัยเช่นไร เจ้าอย่าลืมเตือนข้าด้วยนะ”

นางเห็นเจินเจี่ยเอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าต้องเตือนท่านแม่แน่นอนเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงยิ้มและถามนางว่า “เจ้าจะไปหาจุนเกอหรือไม่ หรือจะไปหาท่านย่ากับข้า”

นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าไปหาจุนเกอดีกว่าเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเขาจะวิ่งไปเรือนเนี่ยนฉือถัง” พูดจบก็ทำท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“เรือนเนี่ยนฉือถัง?” น่าจะเป็นเรือนของหยวนเหนียง จุนเกอและเจินเจี่ยเอ๋อร์ตั้งชื่อนี้ขึ้นมาเอง แต่ว่า จุนเกอยังเด็ก คนที่ตั้งชื่อนี้ขึ้นมาน่าจะเป็นเจินเจี่ยเอ๋อร์ นางยิ้ม “เจ้าเป็นคนตั้งชื่อนี้หรือ”

เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างไม่สบายใจ “เขาร้องไห้หนักมาก ข้าจึง…”

สืออีเหนียงยิ้มให้นาง “สมแล้วที่เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นพี่หญิงของเขา ดูแลน้องชายได้เป็นอย่างดี”

เจินเจี่ยเอ๋อร์ตกใจ

นางคงจะคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะชมนางเช่นนี้!

“เอาล่ะ เจ้าไปหาจุนเกอเถิด!” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าจะไปหาท่านย่าแล้ว”

เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า จากนั้นก็เดินไปทางประตูหลังกับสาวใช้และท่านป้า

สืออีเหนียงตะโกนเรียก “เจินเจี่ยเอ๋อร์”

เจินเจี่ยเอ๋อร์หันหน้ามาด้วยความแปลกใจ สายตาของนางมีความหวาดระแวง

“เจอจุนเกอแล้ว อย่าลืมบอกข้าด้วยนะ” สืออีเหนียงยิ้มให้นาง “ข้าจะได้ไม่เป็นห่วง”

“เจ้าค่ะ!” เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า และเดินจากไปบนทางเดิน จากนั้นสืออีเหนียงถึงได้เดินเข้าไปในห้องของไท่ฮูหยิน

ไท่ฮูหยินจับมือสืออีเหนียงมานั่งบนเตียงข้างหน้าต่างในห้อง นางยิ้มแล้วมองสืออีเหนียง “คุ้นชินแล้วหรือยัง”

“คุ้นชินแล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพยักหน้า

สีหน้าของไท่ฮูหยินมีความลังเล

สืออีเหนียงก็ไม่รีบร้อน นางชวนไท่ฮูหยินพูดคุยเรื่องทั่วไป “เรื่องงานแต่งวุ่นวายซับซ้อน แขกจากตอนใต้ก็กลับกันหมดแล้ว สองสามวันนี้ท่านควรจะพักผ่อนให้มากๆ นะเจ้าคะ”

“ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วตบมือนางเบาๆ พูดคุยกันอีกสองสามประโยค ในที่สุดนางก็พูดออกมา “ข้าอยากให้จุนเกออยู่กับข้าอีกสักสองสามวัน!”

หมายความว่าจะให้จุนเกออยู่กับนางหรือ!

มันเป็นเรื่องปกติ

ถึงแม้ว่าสำหรับนายหญิงใหญ่ จุนเกอคือเลือดเนื้อเชื้อไขคนเดียวของหยวนเหนียง แต่สำหรับไท่ฮูหยิน เขาคือหลานรักของนาง

สืออีเหนียงพูดอย่างจริงใจ “ข้ายังเด็ก ไม่รู้ความ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น หากท่านไม่ส่งสะใภ้หนานหย่งไปดูแลเรื่องผมเผ้าให้ข้า วันที่ข้ากลับจวนสกุลหลัวเกรงว่าข้าคงจะมวยผมธรรมดา การดูแลสั่งสอนจุนเกอเรื่องใหญ่เช่นนี้ ให้เขาอยู่กับท่าน ข้าก็สามารถเรียนรู้วิธีดูแลเด็กได้ด้วยเจ้าค่ะ”

ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ นางก็พยักหน้าอย่างอุ่นใจ จากนั้นก็พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการดูแลจวนและการจัดการคนที่เคยรับใช้หยวนเหนียงมาก่อน

————————————————————–

[1]ยามเหม่า ช่วงเวลา 05.00-07.00 นาฬิกา

[2]ยามโฉ่ว ช่วงเวลา 01.00-03.00 นาฬิกา

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท