ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 82 แต่งอีกครั้ง

ตอนที่ 82 แต่งอีกครั้ง

สือเหนียงฟื้นขึ้นมากลางดึก คนที่เฝ้าอยู่ข้างๆ มีเพียงอิ๋นผิงคนเดียวเท่านั้น 

 

 

เมื่อเห็นว่าสือเหนียงฟื้นแล้ว อิ๋นผิงทั้งตกใจและดีใจเป็นอย่างมาก นางหันไปสั่งสาวใช้ให้ไปเรียนสืออีเหนียง ส่วนนางก็ไปเรียนนายหญิงใหญ่ด้วยตัวเอง 

 

 

เวลานั้นนายหญิงใหญ่ได้พักผ่อนไปแล้ว จึงตอบกลับผ่านม่านว่า “ข้ารู้แล้ว” จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก 

 

 

สืออีเหนียงเองก็ได้เข้าพักผ่อนเป็นที่เรียบร้อย เมื่อได้ยินว่าสือเหนียงฟื้นแล้ว ก็ได้สั่งให้ปินจวี๋ไปกำชับสาวใช้ว่า “พยายามให้นางดื่มน้ำถั่วเขียวให้มาก ช่วยขับพิษ” 

 

 

สือเหนียงได้ยินแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นางให้อิ๋นผิงช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ จากนั้นก็นอนหลับพักผ่อนต่อ 

 

 

แต่สืออีเหนียงกลับนอนไม่หลับทั้งคืน 

 

 

เดิมทีนางคิดว่ากำไลข้อมือที่สือเหนียงสวมอยู่เป็นประจำนั้นมีความเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินอวี๋หังที่สูญหายไป สุดท้าย ถึงแม้ว่าด้านในตัวกำไลข้อมือของสือเหนียงจะมีช่องว่าง แต่สิ่งที่ใส่อยู่ข้างในกลับเป็นสารหนู ไม่รู้ว่าสารหนูถูกใส่ไว้ในกำไลข้อมือนานแค่ไหนแล้ว หรือว่าตอนที่ซื้อมานั้นคุณภาพก็ไม่ดีอยู่แล้ว สือเหนียงเทครึ่งหนึ่งลงไปในถ้วยชา ส่วนอีกครึ่งหกลงบนพื้น หลังจากดื่มไปเพียงไม่นานก็เริ่มมีอาการตัวสั่น ริมฝีปากกลายเป็นสีม่วงคล้ำ ป้าสวี่ที่เฝ้าจับตามองนางอยู่ตลอดก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ป้าสวี่กลัวว่าเรื่องนี้จะบานปลายจนกระทบไปถึงแขกที่อยู่ในเรือนหลัก และกลัวว่าจวนสกุลหลัวจะเสียหน้า และรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่สามารถปิดบังสืออีเหนียงได้อยู่แล้ว จึงตัดสินใจไปเรียกสืออีเหนียงมาช่วย นางทั้งลนลานและวุ่นวายพยายามอยู่พักใหญ่ นึกไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายจะสามารถยื้อชีวิตของสือเหนียงไว้ได้ 

 

 

ถึงแม้ว่าตนจะมีเจตนาดี แต่คนที่รอสือเหนียงอยู่เล่า จะเป็นเช่นไรกัน 

 

 

ไม่ว่าใครก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ 

 

 

***** 

 

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ใต้เท้าหวังพ่อสื่อจวนสกุลหวังก็มาถึง 

 

 

เขาด่าหวังหลังยกใหญ่ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็นำตั๋วเงินมูลค่าสองพันตำลึงมามอบให้กับนายท่านใหญ่ บอกว่าเป็นค่าชดเชยจากจวนเม่ากั๋วกง เพื่อชดเชยค่าเสียหายของทางจวนสกุลหลัว 

 

 

นายท่านใหญ่ไม่ได้รับไว้ แล้วก็ได้พูดถึงเรื่องที่สือเหนียงฆ่าตัวตายด้วย ยืนกรานจะถอนหมั้น “…คงจะเป็นเพราะตระกูลทั้งสองไม่มีบุญวาสนาต่อกัน!” 

 

 

หวังหลังได้ทำเกินไปจริงๆ 

 

 

ใต้เท้าหวังทำตัวไม่ถูก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาคุยต่อเพียงไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ได้ขอตัวลากลับ 

 

 

“จะถอนหมั้นทั้งแบบนี้น่ะหรือ” นายหญิงใหญ่ได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นมา “ภายภาคหน้าจะมีผู้ใดกล้ามาสู่ขออีก” 

 

 

นายท่านใหญ่ตั้งใจจะถอนหมั้นครั้งนี้ด้วยใจจริง “หวังหลังใช่ว่าจะเป็นเขยที่ดี ส่วนสือเหนียงเองต่อให้ตายก็ไม่ยอมแต่ง เรื่องนี้ข้าว่าให้มันแล้วก็แล้วกันไปเถิด!” 

 

 

นายหญิงใหญ่อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นอย่างเย้ยหยันว่า “เป็นเช่นนั้นก็ดี แต่หากภายภาคหน้าบิดามารดาทำไม่ถูกใจบุตรสาวนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่พากันตีโพยตีพายตามกันหมดหรือ!” 

 

 

นายท่านใหญ่ได้ยินแล้วก็รู้สึกฉุนขึ้นมาทันที “งั้นเจ้าก็ว่ามาจะให้ข้าทำอย่างไร” 

 

 

“แน่นอนว่าจะต้องให้จวนสกุลหวังยกขบวนครึกโครมมาขออภัยที่เรือนถึงจะถูก!” นายหญิงใหญ่พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “ท่านอย่าลืมเชียวว่าบ้านเรายังมีคุณชายสี่ สืออีเหนียงแล้วก็สือเอ้อร์เหนียงที่ยังไม่ได้เป็นฝั่งเป็นฝา ไม่ควรจะให้เรื่องของสือเหนียงส่งผลกระทบถึงทั้งสามคนนั้น! โดยเฉพาะกับสืออีเหนียง จวนสกุลสวีจะมาส่งมอบของกำนัลเร็วๆ นี้แล้ว ความตั้งใจของไท่ฮูหยินก็คือหลังจากที่ท่านโหวกลับมาแล้วก็จะกำหนดวันหมั้นทันที แต่ท่านดูเรื่องนี้สิ…ข้าจะไปกำหนดวันหมั้นกับทางจวนสกุลสวีอย่างไรกัน” 

 

 

คำพูดของนายหญิงใหญ่ล้วนเต็มไปด้วยเหตุผล นายท่านใหญ่จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ 

 

 

นายหญิงใหญ่จึงออกความคิดเห็นว่า “คุณชายหวังแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา พี่สาวแท้ๆ ของเขาจะต้องอยู่ในเยี่ยนจิงอย่างแน่นอน ข้าว่า เรื่องนี้ควรให้นางออกหน้าจะดีกว่า! สู้เราเขียนจดหมายให้นางเพื่อพลิกสถานการณ์ เปลี่ยนจากถอยเป็นรุกแทน บอกว่าสือเหนียงของเราไม่คู่ควรกับคุณชายหวัง ทำให้นางผิดหวังแล้ว จากนั้นก็พูดเรื่องจวนสกุลหลัวขายหน้าเป็นอย่างมาก มีเพียงทางเดียวที่จะสามารถทำได้ก็คือถอนหมั้น นางเป็นคนฉลาดหลักแหลม จะต้องเข้าใจความหมายเจตนาของข้าอย่างแน่นอน!” 

 

 

นายท่านใหญ่พยักหน้าเห็นด้วย 

 

 

นายหญิงใหญ่จึงลงมือเขียนจดหมายหาเจียงฮูหยินเองกับมือ 

 

 

เพียงแต่จดหมายยังไม่ทันจะเขียนเสร็จ ท่านหวงโหวผู้เฒ่า หย่งชังโหวก็มาถึง 

 

 

สองสามีภรรยาต่างก็อึ้งไปตามๆ กัน 

 

 

นายหญิงใหญ่จึงบ่นขึ้นว่า “ท่านพี่ ข้าบอกไปแล้ว! เรื่องนี้จะต้องส่งผลกระทบถึงสืออีเหนียง ท่านดูสิ จวนสกุลสวีส่งคนมาเร็วถึงเพียงนี้” 

 

 

นายท่านใหญ่เดินไปยังห้องโถงด้วยความรู้สึกครึ่งเชื่อครึ่งสงสัย 

 

 

ใครจะไปรู้ว่าท่านหวงโหวผู้เฒ่านั้นกลับมาส่งมอบรายการสินสอดทองหมั้นแทน “นี่คือรายการสินสอดทองหมั้นของจวนสกุลสวี ท่านลองตรวจดูก่อน” 

 

 

นายท่านใหญ่อึ้งไปชั่วขณะ 

 

 

เขานึกไม่ถึงเลยว่าจวนสกุลสวีจะไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย! 

 

 

ท่านหวงโหวผู้เฒ่าได้ปรึกษาหารือกับนายท่านใหญ่ว่า “ไท่ฮูหยินบอกว่าในเมื่องานหมั้นของคุณหนูสิบเอ็ดไม่ถูกกำหนดเสียที จึงมีความตั้งใจอยากจะกำหนดงานหมั้นของคุณหนูสิบเอ็ดให้เรียบร้อยก่อน การรับสินสอดทองหมั้นรอบแรกก่อนแล้วค่อยรับรอบสองอีกที ก็มีกรณีแบบนี้อยู่!” 

 

 

เมื่อเทียบกับจวนสกุลหวัง มารยาททางสังคมและขนบธรรมเนียมของจวนสกุลสวีนั้นรอบคอบกว่ามาก นายท่านใหญ่พอใจเป็นอย่างมาก จึงตอบรับทางจวนสกุลสวีด้วยความเต็มใจ กำหนดวันหมั้นเป็นวันที่ยี่สิบหก 

 

 

เมื่อกลับห้องมาก็ได้เล่าให้นายหญิงใหญ่ฟัง นายหญิงใหญ่เองก็ค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ 

 

 

นายท่านใหญ่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ยังคงเป็นจวนสกุลสวีที่เข้าใจและมีเหตุมีผล” 

 

 

นายหญิงใหญ่จึงพักเรื่องของสือเหนียงไว้ชั่วคราว แล้วหันมาใจจดใจจ่อกับเรื่องการเตรียมงานหมั้นของสืออีเหนียง 

 

 

ใครจะไปรู้ว่าวันรุ่งขึ้นจู่ๆ เจียงฮูหยินก็ได้พาหวังหลังน้องชายของนางมากล่าวขอโทษด้วยตนเองถึงจวน 

 

 

นายท่านใหญ่พูดเพียงว่า “ข้าไม่พบ” ด้วยความโมโห นายหญิงใหญ่จึงจำใจพูดเกลี้ยกล่อมไปว่า “สร้างศัตรูนั้นแสนง่าย แต่คลายปมนั้นแสนยาก หวังหลังอายุยังน้อย คนหนุ่มย่อมมีนิสัยฉุนเฉียวเป็นธรรมดา หากไม่ยอมรับปากจริงๆ แล้วสือเหนียงเล่าจะทำเช่นไร” นายหญิงใหญ่พูดไปครึ่งค่อนวัน สีหน้าที่ฉุนเฉียวของนายท่านใหญ่จึงค่อยๆ ทุเลาลง 

 

 

นายหญิงใหญ่จึงค่อยออกไปเจอเจียงฮูหยินและหวังหลัง 

 

 

เจียงฮูหยินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจและรู้สึกผิด “…เรื่องนี้เป็นทางเราเองที่ทำไม่ถูก ทางเราจึงนำเงินสามพันตำลึงมาชดเชยค่าใช้จ่ายที่ทางพวกท่านเสียไปในวันนั้น น้องชายข้าสำนึกผิดแล้ว วันนี้จึงตั้งใจจะมากล่าวขออภัยพวกท่านโดยเฉพาะ” พูดจบก็หันไปส่งสายตาให้กับหวังหลัง 

 

 

หวังหลังนั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้น แต่เขากลับแสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็น 

 

 

เจียงฮูหยินจนปัญญา จึงเปลี่ยนไปพูดแทนน้องชายตนไม่หยุด “จะผิดอย่างไรก็ยังเป็นบุตรเขยของท่าน โบราณกล่าวไว้ว่า บุตรเขยถือว่าเป็นบุตรชายไปแล้วกว่าครึ่ง ท่านก็ให้หน้าเขาสักนิด เวลาอยู่ต่อหน้าพี่ชาย น้องชาย ภรรยาและพี่เขยน้องเขย ให้เขาพอจะเงยหน้าเงยตาขึ้นมาได้บ้าง” 

 

 

ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! 

 

 

นายหญิงใหญ่ได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะในใจ 

 

 

เหตุผลที่ว่าภายภาคหน้ากลัวว่าจะเงยหน้าเงยตาต่อหน้าพี่ชาย น้องชาย และภรรยาลำบากคงจะไม่เท่าไร แต่เรื่องที่จะเป็นพี่เขยน้องเขยกับหย่งผิงโหวนั้นคงจะจริง! 

 

 

แต่ทว่า หากสือเหนียงเป็นบุตรีแท้ๆ ของตน ก็คงจะฉวยโอกาสนี้ ไม่ว่าอย่างไรงานหมั้นนี้ก็จะต้องถอนอย่างแน่นอน แต่นี่ไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของตนเสียหน่อย นึกถึงตั้งแต่ตอนที่สือเหนียงรอดพ้นจากความตายมา นางก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทั้งกินทั้งใช้อย่างสิ้นเปลือง นายหญิงใหญ่จึงรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก เป็นห่วงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น 

 

 

รีบๆ แต่งออกไปก็ดี วันๆ จะได้ไม่ต้องเอาแต่หาเรื่องมาให้เหนื่อยใจ 

 

 

สีหน้าของนายหญิงใหญ่ค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้น 

 

 

เจียงฮูหยินอ่านสีหน้าคนออก นางจึงรีบนำกล่องไม้ใบเล็กสีแดงสลักลายทองออกมา “นี่เป็นตั๋วเงินมูลค่าห้าพันตำลึง ส่วนค่าใช้จ่ายในส่วนของคุณหนูสิบที่ทางพวกท่านจะจ่ายในงานแต่งสองพันตำลึง ทางจวนสกุลหวังจะเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมดแทน” 

 

 

นายหญิงใหญ่หัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจียงฮูหยินพูดเหมือนว่าทางเราไม่มีกำลังจ่ายเงินในส่วนนี้อย่างไรอย่างนั้น…” 

 

 

เจียงฮูหยินได้ยินแล้วก็รีบปฏิเสธว่า “ไม่ได้หมายความเช่นนั้น ไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นเลย ล้วนเป็นเจตนาที่ทางเราอยากจะแสดงความรับผิดชอบและแสดงความรู้สึกผิดเท่านั้น…” เมื่อเจียงฮูหยินทั้งพูดเกลี้ยกล่อมและโน้มน้าวมากมายขนาดนี้ นายหญิงใหญ่จึงค่อยให้ป้าสวี่ไปรับกล่องไม้มา เจียงฮูหยินจึงใช้โอกาสนี้เสนอวันแต่งของสือเหนียง เป็นวันที่ยี่สิบสี่เดือนห้า 

 

 

นายหญิงใหญ่พูดขึ้นด้วยความลังเลว่า “วันที่ยี่สิบหกเป็นวันที่จวนสกุลสวีมาส่งมอบสินสอดทองหมั้น กำหนดไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว กลัวก็แต่คุณชายหวังจะฉุกละหุกเกินไป” 

 

 

หากแต่งงานวันที่ยี่สิบสี่ วันที่ยี่สิบหกก็จะเป็นวันที่ต้องกลับมาคารวะญาติฝ่ายหญิง 

 

 

ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเจียงฮูหยินได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “ตกลงเป็นวันที่ยี่สิบสี่ก็แล้วกัน จะว่าไปแล้ว ทางเราเป็นฝ่ายที่ทำให้พลาดฤกษ์งามยามดีไป” พูดจบก็เหลือบไปมองน้องชายตน “จวนสกุลหวังและจวนสกุลสวีคบหากันมาหลายชั่วอายุคน ถือโอกาสนี้มาพบปะสังสรรค์กันเสียหน่อย” 

 

 

นายหญิงใหญ่เองก็เหลือบไปมองหวังหลังอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งแต่เขาเดินเข้าประตูมา ก็ไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว 

 

 

หวังหลังเห็นว่านายหญิงใหญ่กำลังมองตนอยู่ ก็ปรายตามองนายหญิงใหญ่กลับด้วยสายตาที่หยิ่งผยอง 

 

 

นายหญิงใหญ่ไม่ชอบเป็นอย่างมาก และก็ได้นึกถึงเฉียนหมิงขึ้นมา 

 

 

มิน่าล่ะ วันที่มารับตัวเจ้าสาวถึงได้สะบัดแขนเสื้อแล้วกลับไปทั้งแบบนั้น! แต่ทว่า นางเองก็ไม่ได้ทำเพื่อจะหาบุตรเขยที่ดี จึงได้ตอบตกลงงานแต่งนี้ตั้งแต่แรก เมื่อนึกถึงตรงนี้ นายหญิงใหญ่ก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็รีบรับปากสิ่งที่เจียงฮูหยินขอทันที 

 

 

เจียงฮูหยินกล่าวขอบคุณแล้วขอบคุณอีก พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขอตัวกลับพร้อมหวังหลัง 

 

 

เมื่อนายท่านใหญ่ได้ยินที่นายหญิงใหญ่พูดแล้ว ก็ถอนหายใจ “ก็ดี เมื่อแต่งงานไปแล้วก็คงจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น” 

 

 

เมื่อถึงวันที่ยี่สิบสี่ จวนสกุลหลัวก็เชิญแค่บ้านนายท่านสองและบ้านนายท่านสาม มาร่วมรับประทานอาหารอย่างเรียบง่าย วันที่จวนสกุลหวังมารับตัวเจ้าสาวนั้น จวนสกุลหลัวจุดประทัดหน้าประตูใหญ่เพียงแค่สองพวงเท่านั้น หลังจากนั้นก็ปล่อยเกี้ยวเจ้าสาวไป 

 

 

ทอดมองไปยังเงาสะพานที่ไกลโพ้น อี๋เหนียงหกอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ตอนที่นายท่านรับข้าเป็นอนุ ยังให้เกี้ยวแห่รอบถนนใหญ่ตั้งสองสาย” 

 

 

ความหมายก็คือพิธีงานแต่งของสือเหนียงยังไม่ใหญ่โตเทียบเท่ากับพิธีรับอนุเสียด้วยซ้ำ 

 

 

ซื่อเหนียงและอู่เหนียงไม่ได้พูดอะไรต่อ แววตาหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

***** 

 

 

วันที่ยี่สิบหกเดือนห้า ตรงกับวันที่สือเหนียงกลับบ้านแม่ในวันที่สามของวันแต่งงาน และยังเป็นวันที่จวนสกุลสวีส่งมอบสินสอดทองหมั้น 

 

 

จวนสกุลหลัวยังคงเชิญใต้เท้าจินจากสำนักศึกษาฮั่นหลินย่วนมาเป็นคนค้ำประกันให้กับสืออีเหนียงเช่นเดิม 

 

 

ฟ้าพึ่งจะสว่าง ประตูใหญ่ของจวนสกุลหลัวก็ถูกเปิดกว้าง ประดับไปด้วยโคมไฟหลากสีสัน 

 

 

หวังหลังและคนจวนสกุลสวีมาถึงแทบจะพร้อมกัน 

 

 

นายหญิงใหญ่จัดแจงให้หลัวเจิ้นซิ่งเป็นคนจัดการดูแลหวังหลังสองสามีภรรยา ส่วนคนอื่นๆ ให้ไปร่วมต้อนรับขบวนของจวนสกุลสวี 

 

 

สินสอดทองหมั้นจากจวนสกุลสวีทั้งหมดสามสิบหกยก เมื่อเปรียบเทียบกับฐานะบรรดาศักดิ์ของจวนสกุลสวีแล้ว ก็ออกจะน้อยไปเสียด้วยซ้ำ แต่มีคทาหยกหรูอี้หนึ่งคู่ที่ไทเฮาทรงประทานให้นำหน้าขบวน ยกที่สองเป็นเทพเจ้าฮกลกซิ่วทั้งสามที่ทรงประทานให้โดยฮองเฮา มีเพียงสองสิ่งนี้ที่ผู้อื่นไม่อาจเทียบเทียมได้ 

 

 

นายหญิงใหญ่ดีใจเป็นอย่างมาก “ตอนนั้นสินสอดทองหมั้นที่ใช้รับหยวนเหนียงรวมทั้งหมดหกสิบสี่ยกเห็นจะได้…” 

 

 

ป้าสวี่ได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ “ท่านโหวเองยังคงให้เกียรติคุณหนูใหญ่ในฐานะภรรยาเอกโดยชอบธรรมเจ้าค่ะ” 

 

 

คนที่มาส่งมอบสินสอดทองหมั้นนั้นเป็นคุณชายสามสกุลสวี สวีลิ่งหนิง เขาเป็นคนระมัดระวังรอบคอบและมีความเกรงใจผู้อื่นสูงมาก ตัวใต้เท้าจินและท่านหวงโหวผู้เฒ่าเองก็รู้จักเขาด้วย อวี๋อี๋ชิงเป็นคนนิสัยใจกว้าง เฉียนหมิงก็เป็นคนที่อัธยาศัยดีเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย คุยกันเพียงครู่เดียว บรรยากาศก็ดูสนิทสนมกลมกลืนเป็นอย่างมาก 

 

 

นายท่านใหญ่เห็นแล้วก็อดรู้สึกดีอกดีใจเสียไม่ได้ 

 

 

ขณะที่กำลังทานอาหาร หลัวเจิ้นซิ่งก็ได้มาเป็นเพื่อนหวังหลัง 

 

 

เมื่อสวีลิ่งหนิงเห็นหวังหลังก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เขากล่าวทักทายหวังหลังด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม 

 

 

แต่หวังหลังเห็นสวีลิ่งหนิงแล้วก็ชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ทำไมคุณชายห้าถึงไม่มา” 

 

 

สวีลิ่งหนิงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่เป็นช่วงปลายเดือน น้องห้าไปบ้านของติ้งหนานโหวพ่อตาของเขาแล้ว” 

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งจึงรีบเชื้อเชิญให้ทุกคนเข้าไปนั่ง 

 

 

สวีลิ่งหนิงกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมาก เขารีบลุกขึ้นหลีกที่นั่งให้ผู้อื่นนั่งก่อน แต่หวังหลังกลับไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว เขานั่งลงบนที่นั่งหน้าสุดอย่างไม่สนใจไยดี 

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งก็หันไปพูดเสียงเบากับใต้เท้าจินและท่านหวงโหวผู้เฒ่าว่า “…วันนี้คือวันที่น้องเขยสิบและน้องหญิงสิบกลับมาคารวะญาติฝ่ายหญิงขอรับ” 

 

 

สวีลิ่งหนิงกลับยิ้มและพยายามพูดให้หลัวเจิ้นซิ่งสบายใจว่า “บ้านข้าเองก็ได้ไปมาหาสู่กับทางจวนสกุลหวังอยู่บ้าง คุณชายหวังมีนิสัยใจคอเช่นนี้อยู่แล้ว ท่านอย่าได้ไปใส่ใจเลย” พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นหลีกที่นั่งพร้อมกับเชื้อเชิญให้ใต้เท้าจินและท่านหวงโหวผู้เฒ่าได้นั่งก่อน 

 

 

ท่านหวงโหวผู้เฒ่าเองดูเหมือนพอจะรู้นิสัยใจคอของหวังหลังอยู่บ้าง จึงไม่ได้พูดอะไร นั่งลงบนที่นั่งถัดไปจากคุณชายหวัง ใต้เท้าจินจึงพูดอะไรไม่ออกเข้าไปใหญ่ 

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก 

 

 

อวี๋อี๋ชิงนั้นไม่ชอบน้องเขยคนนี้เป็นอย่างมาก 

 

 

ส่วนเฉียนหมิงแอบชื่นชมสวีลิ่งหนิงในใจ ว่าระดับจิตใจของสวีลิ่งหนิงนั้นค่อนข้างสูง 

 

 

ที่เรือนหลัง คุณนายใหญ่ได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับสือเหนียง 

 

 

สือเหนียงสวมชุดเป้ยจื่อสีแดงสดลายพืชน้ำสีทอง บนใบหน้าไร้ซึ่งชีวิตชีวา ไม่มีความยินดีของเจ้าสาวมือใหม่แม้แต่นิดเดียว เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทานข้าวไปหนึ่งถ้วย จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “อิ่มแล้ว” นางวางถ้วยลง หันไปสั่งอิ๋นผิงให้ไปนำหนังสือของตนมา แล้วจึงนั่งอ่านหนังสือบนเตียงเตาริมหน้าต่าง 

 

 

ซื่อเหนียง อู่เหนียงและคุณนายใหญ่ที่นั่งอยู่ด้วยก็อดไม่ได้ที่จะหันมาสบตากัน จึงทำได้เพียงไปแอบถามอิ๋นผิงเป็นการส่วนตัวว่า “คุณหนูสิบไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” 

 

 

อิ๋นผิงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านกั๋วกงและฮูหยินพอใจคุณหนูสิบเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ” 

 

 

สามารถเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของพ่อแม่สามีได้ การใช้ชีวิตก็จะง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก 

 

 

ทุกคนจึงค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมา 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท