ทันใดนั้นสีหน้าของป้าเถาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เถียงขึ้นมาว่า “ฮูหยิน ที่บ่าวพูดเช่นนี้ก็เพราะเป็นห่วงท่านกับคุณหนูใหญ่นะเจ้าคะ นางจัดการเงินด้วยความประมาทเลือนเล่อเช่นนี้ เกรงว่านางจะต้องโกงบัญชีอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นหากนางไม่โยนความผิดไปให้คุณหนูใหญ่ ก็จะโยนความวุ่นวายนี้มาให้ท่าน นางได้รับผลประโยชน์แต่พวกเราต้องมาเป็นแพะรับบาปให้นางนะเจ้าคะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เงินของเรือนในได้มาจากห้องซือฝังของเรือนนอกใช่หรือไม่ ห้องซือฝังคงจะมีผู้ดูแลสองคนที่ดูแลเรื่องบัญชีของเรือนในโดยเฉพาะ ถอนไปเท่าไร ใช้ไปเท่าไร แล้วยังเหลืออีกเท่าไร ก็ย่อมต้องปฏิบัติตามกฎอยู่แล้ว แม้ว่ารายการบัญชีในช่วงสองสามปีนี้จะไม่ชัดเจน แต่ว่าพี่หญิงใหญ่ก็ไม่ได้ดูแลบ้านแค่ปีสองปี บัญชีของปีก่อนๆ คงจะถูกเก็บไว้ในคลังหมดแล้ว ต่อให้นางตุกติกก็ทำได้แค่โกงบัญชีของสองสามปีมานี้ หากนางต้องการจะโกงบัญชีก่อนหน้านี้ทั้งหมด เกรงว่านางจะไม่มีกำลังพอที่จะเข้าไปแทรกแซงเรื่องในห้องซือฝัง” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “อีกอย่างการที่นางรอไม่ไหวที่จะปฏิรูปเช่นนี้ หากทำผิดขึ้นมาก็ไม่ได้เสียผลประโยชน์แค่พวกเรา ในเมื่อคนอื่นไม่พูดอะไรแล้วทำไมพวกเราต้องออกหน้า อีกอย่างการที่ฮูหยินสามมาดูแลเรื่องในเรือนก็เป็นการตัดสินใจของไท่ฮูหยิน ต่อให้เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ นั่นก็ถือเป็นการตัดสินใจของไท่ฮูหยิน จะให้ไปเอะอะโวยวายจนชาวบ้านรู้ไปทั่วก็เกรงว่าจะไม่เหมาะ ฮูหยินสามอาจจะไม่ได้อาศัยจุดนี้เพื่อเอามาต่อกร พวกเราแค่นั่งดูอยู่เฉยๆ ก็พอแล้ว”
ป้าเถามองสืออีเหนียงที่มีสีหน้าเรียบเฉยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
นายหญิงใหญ่มักจะบอกเสมอว่านางอายุยังน้อย มีนิสัยรักสงบและมีความอ่อนแออยู่บ้างเล็กน้อยมิใช่หรือ เหตุใดจึงรู้เรื่องเหล่านี้ได้
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัวนางก็รู้สึกได้ทันทีว่านายหญิงใหญ่มองคนผิดไป
เกรงว่าคุณหนูสิบเอ็ดผู้นี้เวลาอยู่เรือนคงจะเป็นคนเงียบขรึมจนทำให้คนที่หูตากว้างไกลอย่างนายหญิงใหญ่มองไม่ออก…
ในใจของป้าเถาสับสนวุ่นวาย หากพูดถึงเมื่อก่อนนางมีความมั่นใจกับคำอธิบายของหยวนเหนียงอยู่เสมอ แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความสงสัย นางเลี้ยงหยวนเหนียงมาจนโตแล้วยังติดตามหยวนเหนียงมาที่สกุลสวี เผชิญเรื่องราวต่างๆ ด้วยกันมาไม่รู้ตั้งเท่าไร เข้าใจในความหมายของคำว่า ‘ควรเตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลา’ อย่างลึกซึ้ง มีหลายครั้งที่เป็นเพราะได้เตรียมการป้องกันไว้แล้ว ดังนั้นจึงสามารถปลีกตัวออกมาได้อย่างสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าสืออีเหนียงผู้นี้เปิดเผยความเป็นตัวเองมากน้อยเพียงใด ยังมีสิ่งใดที่หลบซ่อนไว้ไม่ให้พวกนางเห็น จุดประสงค์ที่แท้จริงคืออะไร นางจะดูแลจุนเกอได้ดีหรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้นางต้องเก็บไปพิจารณาจนรู้สึกไม่เป็นสุข…
สายตาของนางที่มองสืออีเหนียงเต็มไปด้วยความหวาดระแวงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง “ฮูหยินพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ เรื่องนี้พวกเราต้องดูกันไปยาวๆ”
สืออีเหนียงมองดูท่าทางที่เปลี่ยนไปของป้าเถา จากความตกใจได้กลายเป็นความสับสน จากความสับสนได้กลายเป็นความกังวล จากความกังวลได้กลับมาสู่ความสงบนิ่ง…นางอดที่จะยิ้มไม่ได้
ดูแล้วจุดประสงค์ของตัวเองได้บรรลุเป้าหมายแล้ว จวนสกุลสวีซับซ้อนเช่นนี้ สิ่งเดียวที่นางใช้ได้และยอมให้นางใช้ก็คือคนที่หยวนเหนียงเหลือไว้ให้ นางต้องการจะร่วมมือกับคนพวกนี้ ไม่ใช่ว่าให้พวกเขาหลอกใช้หรือไปเป็นเกาะกำบังให้พวกเขา เช่นนั้นก็ต้องแสดงความสามารถของตัวเองให้พวกเขาเห็น มิเช่นนั้นจะไม่มีใครใส่ใจคำพูดของนาง
ดังนั้นนางจึงอาศัยโอกาสนี้ถามคำถามที่ค่อนข้างสำคัญกับป้าเถา
“…เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านโหวเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์กี่แห่ง”
ป้าเถาลังเลอยู่นาน อ้าปากพะงาบด้วยท่าทางเหมือนยากที่จะตอบ
สืออีเหนียงไม่ได้รีบร้อนถามต่อแต่กลับพูดว่า “การที่ฮูหยินสามรีบร้อนหาเงินเช่นนี้เจ้าคิดว่าแปลกหรือไม่”
เมื่อป้าเถาได้ยิน สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปในทันที รีบพูดขึ้นมาว่า “จะว่าไปแล้วตอนนั้นเพื่อสนับสนุนการสืบราชบัลลังก์ของฮ่องเต้ ท่านโหวคนก่อนได้ขายอสังหาริมทรัพย์ของสกุลออกไปมากมาย แต่หลังจากที่คุณชายสองจากไป ท่านโหวคนก่อนก็รู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ไม่เที่ยงแท้ ดังนั้นจึงได้ทำการแบ่งอสังหาริมทรัพย์เล็กๆ น้อยๆ ที่เหลืออยู่ในตอนที่มีชีวิตอยู่ให้ทุกคนรวมถึงคุณชายใหญ่ที่ได้จากไปแล้ว ต่อมาท่านโหวคนก่อนได้ถึงแก่กรรม ท่านโหวจึงได้สืบทอดตำแหน่งต่อ ทั้งในจวนและนอกจวนจึงเกิดความวุ่นวายเป็นอย่างมาก อีกอย่างไท่ฮูหยินก็ยังอยู่จึงไม่ใครกล้าพูดถึงเรื่องการย้ายออกไปอยู่ข้างนอก แต่ไปๆ มาๆ ชีวิตของคนในจวนนั้นดีขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่มีใครพูดถึงเรื่องการย้ายออกไปอยู่ข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วพูดว่า “รู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนถือหุ้นส่วนในส่วนของคุณชายใหญ่ที่เสียชีวิตไปแล้ว”
ป้าเถาตอบว่า “ตอนนั้นได้มีการนำส่วนของคุณชายใหญ่ออกมาใช้ในการซื้อที่นาให้คนทำกิน ท่านโหวคนก่อนบอกว่าเพื่อที่จะได้ให้คนรุ่นหลังระลึกถึงบุญคุณของคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”
“ทั้งหมดมีกี่หมู่”
ป้าเถามีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อยที่หน้าผาก “ทั้งหมดสองพันหมู่เจ้าค่ะ”
สองพันหมู่? ตอนที่นายหญิงใหญ่ซื้อที่ไร่ให้เป็นสินสอดทองหมั้นของตัวเองดูเหมือนว่าจะราคาห้าตำลึงต่อหนึ่งหมู่ หากคำนวณตามนี้แต่ละคนก็จะแบ่งกันได้คนละหนึ่งหมื่นตำลึง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าสกุลสวีมีทรัพย์สินมูลค่าประมาณห้าหมื่นตำลึงเท่านั้น ในนั้นคงจะรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ วัตถุโบราณที่สะสมมา หรือของจำพวกภาพอักษรหรือภาพวาด เมื่อนำไปขายราคาก็จะลดลง จำนวนเงินทั้งหมดที่ได้มาอาจจะไม่ถึงหนึ่งหมื่นตำลึง…เมื่อดูสกุลสวีในตอนนี้ แค่เพียงลายปักของรถลากที่จอดอยู่ของหอเซียนหลิงก็มูลค่าไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเครื่องประดับตกแต่งในเรือนของหยวนเหนียงเหล่านั้น แล้วยังมีต้นไม้ดอกไม้เหล่านั้นในสวนของไท่ฮูหยินทีเบ่งบานเขียวชะอุ่มตลอดปี อีกทั้งสวีลิ่งหนิงกับสวีลิ่งควนก็เป็นถึงขุนนางระดับสี่ ทุกปีจะได้รับเงินจำนวนสามร้อยหกสิบตำลึงกับข้าวสารหนึ่งร้อยสี่สิบสี่จิน ส่วนสวีลิ่งอี๋ก็ได้รับเงินเดือนสามไตรมาส ตำแหน่งหย่งผิงโหวทุกปีจะได้รับเงินจำนวนหนึ่งพันสามร้อยตำลึงกับข้าวสารห้าร้อยยี่สิบสองจิน ตำแหน่งราชครูทุกปีจะได้เงินจำนวนเจ็ดร้อยยี่สิบตำลึงกับข้าวสารสองร้อยแปดสิบแปดจิน ตำแหน่งผู้บัญชาการห้ากองทัพจะได้เงินจำนวนห้าร้อยยี่สิบสองตำลึงต่อปีกับข้าวสารสองร้อยสิบจิน เพราะเหตุนี้บางครั้งเงินจึงได้ทับถมกันจนบิดงอ…
นางยิ้มแล้วมองป้าเถา “จะว่าไปก็ไม่ได้มากมายอะไร”
เมื่อป้าเถาได้ฟังก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ทำไมบ่าวถึงไม่เคยคิดอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย…บ่าวก็สงสัยว่าคนฉลาดอย่างฮูหยินสามทำไมถึงทำอะไรด้วยความรีบร้อนเช่นนี้ ที่แท้เงินส่วนกลางทั้งหมดก็เป็นทรัพย์สินของท่านโหว…แล้วไหนจะฮูหยินสองอีก วันนี้ก็จะซื้อภาพวาด พรุ่งนี้ก็จะซื้อแจกันดอกไม้ ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้รู้สึกเสียดายเลยสักนิด บ่าวเองก็รู้สึกแปลกใจ แต่ไหนแต่ไรมาคุณหนูใหญ่ไม่ใช่คนตระหนี่ถี่เหนียว แต่เหตุใดสองปีก่อนจึงได้โกรธท่านโหวเพียงเพราะเรื่องเงิน” พูดพลางเดินวนไปวนมา
เมื่อสืออีเหนียงได้ยินก็ตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านป้าไม่ต้องรีบร้อน ในเมื่อในจวนไม่มีเงิน เงินที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็เป็นสินเดิมของไท่ฮูหยิน ไม่แน่เงินที่ฮูหยินสองใช้ก็อาจจะเป็นสินเดิมของตัวเองกระมัง”
“ฮูหยิน ทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องพวกนี้” ป้าเถาตกใจจนแม้แต่คำว่า ‘ท่าน’ ก็เปลี่ยนเป็น ‘เจ้า’ เสียแล้ว “ตอนที่ฮูหยินสองแต่งเข้ามาก็มีที่ดินเพียงแค่สี่ร้อยหมู่ สินเดิมอีกสามสิบหกรายการ ได้ยินมาว่าในสามสิบหกรายการนี้มีบางอย่างที่ไท่ฮูหยินควักเงินตัวเองออกมาเพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้ฮูหยินสอง ต่อมาฮูหยินสองเป็นม่ายและไม่มีบุตร ไท่ฮูหยินกลัวว่านางจะไม่มีที่พึ่งจึงได้แบ่งสินเดิมของตัวเองโดยให้คุณชายสอง คุณชายสี่ และคุณชายห้าคนละหนึ่งส่วน ส่วนของคุณชายสองได้มอบให้ฮูหยินสอง ส่วนของคุณชายห้าได้นำมาใช้ตอนไปสู่ขอฮูหยินห้า ส่วนของท่านโหว คุณหนูใหญ่ของพวกเรายังไม่เคยเห็นมันเลย ตอนที่ท่านแต่งเข้ามาก็ไม่ได้มีการเขียนจำนวนที่ไร่ที่จะแบ่งให้…แล้วยังมีทองคำที่ท่านโหวได้รับอีกมูลค่าหนึ่งหมื่นตำลึง ที่ดินติดตัวอีกสิบไร่ ในตอนนั้นคุณหนูใหญ่ได้จากไปแล้ว ส่วนท่านก็ยังไม่ได้เข้ามา รายการบัญชีนี้ไปไหนแล้วก็ไม่มีใครรู้ได้เจ้าค่ะ” พูดพลางเดินวนไปวนมา “ไม่ได้การแล้ว บ่าวต้องหาคนไปสืบข่าวที่ห้องซือฝัง อสังหาริมทรัพย์เหล่านี้มีส่วนที่เป็นของจุนเกอ”
สืออีเหนียงอดที่จะแอบถอนหายใจไม่ได้
เงินทองทำให้ใจคนเราเปลี่ยนไป สวีลิ่งอี๋ยังไม่ตาย…ก็ไม่แปลกที่จะมีคนพยายามคิดหาแผนการเพื่อที่จะให้ได้มันมา
“เรื่องนี้เจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวล” นางเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้แล้ว ยิ้มแล้วพูดว่า “จะได้ไม่ต้องหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่จำเป็น”
ป้าเถาคิดว่าสิ่งที่สืออีเหนียงพูดก็มีเหตุผลจึงได้พยายามระงับความร้อนรนในใจ สืออีเหนียงเห็นว่าสายแล้วจึงให้ป้าเถาออกไปก่อนแล้วตัวเองก็ไปหาไท่ฮูหยิน
ฮูหยินห้ายังไม่มา ฮูหยินสามกำลังถือสมุดบัญชีพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่กับไท่ฮูหยิน เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามาก็หยุดการสนทนา ยิ้มแล้วคำนับสืออีเหนียง
นางคิดถึงเรื่องที่ป้าเถาบอกว่าฮูหยินสามต้องการจะปฏิรูประบบห้องครัว
คงกำลังพูดคุยเรื่องนี้เป็นแน่
สืออีเหนียงยิ้มแล้วคำนับกลับ จากนั้นก็เดินไปคารวะไท่ฮูหยิน ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่กับฮูหยินสามกำลังคำนวณบัญชีกันอยู่หรือเจ้าคะ เช่นนั้นข้าจะไปช่วยเว่ยจื่อและคนอื่นๆ จัดตะเกียบ” ไม่รอให้ไท่ฮูหยินได้พูดอะไรก็รีบมุ่งหน้าเดินไปที่ห้องปีกตะวันตก
ฮูหยินสามคุยหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ต่อ “…การทำเช่นนี้คนเหล่านั้นจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันเรื่องอาหาร ปัญหาก็จะลดน้อยลง”
เมื่อไท่ฮูหยินได้ฟังก็ยิ้มเล็กน้อย “ใครเป็นผู้จัดการการซื้อของเข้าห้องครัว”
ฮูหยินสามยิ้มแล้วตอบด้วยความลังเลว่า “กานเหล่าเฉวียนเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินเหลือบมองนาง ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าว่าเถิด”
“เจ้าค่ะ” มีความปลื้มปิติล้นออกมาจากใบหน้าของฮูหยินสามอย่างปกปิดไม่อยู่
“แต่ว่า…” ไท่ฮูหยินได้เงียบไป
สีหน้าของฮูหยินสามเผยให้เห็นถึงความประหม่าขึ้นมาทันที “แต่ว่าอะไรหรือเจ้าคะ ท่านแม่ ท่านกำชับมาได้เลย”
ไท่ฮูหยินค่อยๆ จิบชาอย่างช้าๆ พูดด้วยจังหวะกำลังพอดีว่า “แต่ว่าเรื่องรายการอาหารให้แต่ละเรือนเป็นคนเลือกรายการอาหารที่ตัวเองชอบออกมา จากนั้นก็ให้ห้องครัวทำตามรายการอาหารที่เขียนไว้ ไม่ต้องตัดสินใจแทนคนเรือนอื่น อยากทำอาหารอะไรก็ทำ”
ฮูหยินสามรีบตอบรับว่า “เจ้าค่ะ” แต่ท่าทีของนางกลับดูผิดหวังเล็กน้อย
“ในเมื่อไม่มีธุระอันใดแล้ว เจ้าก็ไปช่วยสืออีเหนียงจัดตะเกียบเถิด” ไท่ฮูหยินพูดเบาๆ ว่า “นางอายุยังน้อย พึ่งจะแต่งเข้ามาในจวน เจ้าในฐานะที่เป็นพี่สะใภ้ควรจะทำตัวเป็นแบบอย่างให้นาง”
ฮูหยินสามในใจแทบคลั่งแต่ก็พยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ ยิ้มแล้วลุกขึ้นตอบรับว่า “เจ้าค่ะ ”
ป้าตู้บ่าวรับใช้คนข้างกายของไท่ฮูหยินอดที่จะถอนหายใจไม่ได้
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินก็ถอนหายใจเช่นกัน “เจ้าอยากจะถามข้าว่า ทั้งๆ ที่ข้ารู้ว่านางต้องการจะหาเงินแต่ทำไมยังปล่อยให้นางทำใช่หรือไม่”
ป้าตู้ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเป็นคนมีจิตใจเมตตาเสมอมา ที่ทำเช่นนี้ก็เป็นเพราะสงสารฮูหยินสาม เกรงว่าภายภาคหน้าชีวิตของนางจะลำบากใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้สงสารนาง” สีหน้าของไท่ฮูหยินดูเหงาหงอยเล็กน้อย “ข้าสงสารฉินเกอกับเจี่ยนเกอต่างหาก”แล้วพูดต่อว่า “จะว่าไปแล้ว การที่นางคิดวิธีเช่นนี้ได้ก็คงจะใช้ความคิดอยู่ไม่น้อย ช่างน่าเสียดายที่นางใช้ความทุ่มเทในทางที่ผิด”
******
สืออีเหนียงทานข้าวที่เรือนไท่ฮูหยิน หลังจากพาไท่ฮูหยินเข้านอนแล้วตัวเองก็กลับไปนอนพักที่เรือน
ตงชิงยืนรออย่างรีบร้อน “ฮูหยิน คุณนายใหญ่บอกว่านางจะหาเวลาว่างมาพบท่านเจ้าค่ะ”
ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อมาถึงจุดนี้ทุกอย่างก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว เรื่องนี้ต้องทำการอย่างรอบคอบ นอกจากจะต้องปรึกษากันว่าจะเกลี้ยกล่อมนายหญิงใหญ่อย่างไรแล้วยังต้องหารือกันว่าจะพูดเรื่องนี้กับสือเหนียงอย่างไร
นางตื่นจากนอนกลางวันแล้วแต่คุณนายใหญ่ก็ยังไม่มา
สืออีเหนียงกลัวว่าคุณนายใหญ่มาแล้วไม่พบตัวเองจึงได้ฝากข้อความไว้แล้วไปเยี่ยมไท่ฮูหยินก่อน มาถึงหน้าประตูก็เกือบยามเว่ยพอดี
ไท่ฮูหยินพึ่งตื่นยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเด็กคนนี้มาตรงเวลาดีเสียจริง”
ป้าตู้ปรนนิบัติไท่ฮูหยินสวมรองเท้า ยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นสิเจ้าคะ วันนี้ตอนเช้าก็มาเวลาเดียวกันกับเมื่อวาน มาถึงตอนเกือบยามเฉินพอดี”
ไท่ฮูหยินพูดแค่เพียง “อืม” พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น