Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1809 ไม่เคยได้ยินมาก่อน

ตอนที่ 1809 ไม่เคยได้ยินมาก่อน
อสนีเคราะห์มาแล้ว กำลังจะตกลงมา
หลินสวินเดินออกมาจากตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่ เงยมองขึ้นไปยังเวิ้งฟ้า ก็เห็นว่าเมฆเคราะห์มืดครึ้ม มังกรอสนีน่ากลัวที่มีรูปร่างแตกต่างกันไปม้วนตัวอยู่ภายในนั้น กลิ่นอายทำลายล้างที่ปลดปล่อยออกมาเรียกได้ว่าตะลึงโลก
ขณะนี้พวกอวี่อวิ๋นเหอได้แต่อยู่ในตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่เท่านั้น ไม่กล้าออกไปข้างนอกสักนิด กลิ่นอายพิบัติเคราะห์นั่นทำให้พวกเขาใจสั่นระรัวไม่อาจสงบได้
ครืน!
เหนือเวิ้งฟ้ามีแสงอสนีเทียมฟ้าดินสายหนึ่งสาดส่องออกมาจากฟ้า มาพร้อมกับเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้านเก้าชั้นฟ้าเสียงหนึ่ง
นี่คือเคราะห์ราชันอริยะ น่ากลัวไม่มีที่สิ้นสุด อดีตกาลจวบจนปัจจุบันมีผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไรที่ต้องเคียดแค้นเจ็บช้ำ จิตสิ้นวิญญาณสลายภายใต้เคราะห์นี้
แต่โดยทั่วไปแล้ว เคราะห์สวรรค์ชั้นแรกมักจะอ่อนแอที่สุด
ทว่าในสายตาหลินสวิน อสนีเคราะห์ที่ตกลงมาจากฟ้าสายนี้ราวกับธารดาราใหญ่หนา แสงอสนีแปลงเป็นน้ำตกไหลเชี่ยวจากเก้าชั้นฟ้า ส่องสว่างไปทั้งท้องนภาภูผาธารา!
“สวรรค์!”
พวกอวี่อวิ๋นเหอล้วนอึ้งงันแล้ว
นี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น อานุภาพอสนีเคราะห์ก็น่าหวาดหวั่นปานนี้แล้ว เช่นนั้นต่อไปมิยิ่งน่าครั่นคร้ามหรือ
เคราะห์ราชันอริยะ พวกเขาก็เคยเห็นมาก่อน ตอนคนใหญ่คนโตในตระกูลอวี่บางคนข้ามด่านเคราะห์ คนรุ่นเยาว์อย่างพวกเขาจะได้ร่วมชมอยู่ข้างๆ
แต่ยังไม่เคยเห็นที่น่าสะพรึงกลัวอย่างอสนีเคราะห์ตรงหน้ามาก่อน!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเคราะห์ราชันอริยะที่หลินสวินชักนำมาไม่ธรรมดายิ่งนัก
“รอเจ้านานแล้ว…”
หลินสวินไม่หวั่นไหว เงาร่างทะยานสูงขึ้นไป ไม่มีสิ่งกำบังใดๆ มือเปลือยหมัดเปล่า เข้าประจันหน้ากับอสนีเคราะห์
เคราะห์สวรรค์เป็นทั้งวิกฤตและโชคชะตา เคราะห์มีสวรรค์ให้กำเนิด เป็นตัวแทนของเจตจำนงแห่งมหามรรคทั่วหล้า ถูกมองว่าเป็นทัณฑ์สวรรค์
สิ่งนี้ก็พอจะคาดเดาได้จากคำว่า ‘เคราะห์’ (劫)คำนี้รวมขึ้นจากตัวอักษร ‘ขจัด’ (去) และ ‘พลัง’ (力) ความนัยไม่พูดก็เข้าใจได้ นั่นก็คือขจัดพลังบำเพ็ญมรรค
หากผู้ฝึกปราณไม่มีพลังมรรค ก็ย่อมร่างตายมรรคสลาย
นี่ก็คือเคราะห์!
และเคราะห์สวรรค์ก็มักจะใช้ทัณฑ์สวรรค์อสนี ทั้งยังเน้นหนักยิ่งนัก
สายฟ้าเป็นแหล่งกำเนิดแห่งการทำลายล้าง ต้นกำเนิดแห่งพลังชีวิต ท่ามกลางการทำลายล้างมีพลังชีวิตสายหนึ่งตามติด นี่ก็คือสายฟ้า
วสันตฤดู พอสายฟ้าฟาด พลังชีวิตปะทุขึ้น สรรพสิ่งฟื้นคืน สิ่งที่อนุมานออกมาก็คือวิถีแห่ง ‘การกำเนิด’ ที่อยู่ในสายฟ้า
เคราะห์สวรรค์ก็เป็นเช่นนี้
หากข้ามไม่ได้ ร่างสิ้นมรรคสลาย จิตดับวิญญาณซ่าน
หากข้ามได้ ก็จะชิงเอาพลังชีวิตสายหนึ่งไปครอง ทะลวงระดับขึ้นไป เกิดความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าดินราวกับนิพพาน
ปังๆๆ!
อสนีเคราะห์สีเงินที่น่ากลัวดั่งน้ำตกธารดาราฟาดลงบนร่างหลินสวิน ปะทุออกเป็นสายฟ้าสว่างจ้าตามผิวหนังของเขา เกิดเป็นเสียงครั่นครืนหนักทุ้ม
เขาสำแดงมรรคและวิชาของตน แปลงเป็นหุบเหวลึก ถึงกับกลืนกิน ดูดซับ และหลอมอสนีเคราะห์ที่ถล่มโจมตีลงมานั้นเข้าไปในร่างกาย ใช้สิ่งนี้หลอมผิวกาย เลือดลม กระดูกเอ็น
และก็เห็นว่าเงาร่างของหลินสวินเปล่งประกายดั่งเพชรอันแพรวพราว สายฟ้าที่บิดงอเป็นสายๆ ฉายวาบไปบนผิว
พลังทำลายล้างเช่นนั้นน่ากลัวปานใด แต่สร้างรอยแผลบนผิวเขาไม่ได้!
ไม่นานนักอสนีเคราะห์ชั้นแรกนี้ก็ถูกหักล้างไปโดยสมบูรณ์
พวกอวี่อวิ๋นเหอสูดหายใจเยียบเย็น อ้าปากค้างจนคางแทบตกถึงพื้น อย่างนี้ก็ได้หรือ
แต่ไม่ทันรอให้พวกเขาได้สติกลับมา อสนีเคราะห์ชั้นที่สองก็ถาโถมลงมาแล้ว
เปรี้ยง! เปรี้ยง!
คราวนี้เป็นอสนีเคราะห์สีม่วง ควบรวมเป็นดอกมหามรรคแน่นขนัด โชติช่วงชัชวาล ปลิวลงมาจากเวิ้งฟ้า
ดอกมรรคอสนีเคราะห์แต่ละดอกล้วนประทับเจตจำนงและกฎระเบียบทำลายล้าง งดงามปานนั้น ทั้งยังน่ากลัวปานนั้น!
อย่าว่าแต่พวกอวี่อวิ๋นเหอ ต่อให้เป็นผู้ฝึกปราณที่มองดูจากที่ต่างๆ ในแดนลับต้าอวี่ยังอึ้งค้าง รู้สึกเหลือเชื่อไปครู่หนึ่ง
เพราะอสนีเคราะห์ที่ลึกลับยากหยั่งถึงเช่นนี้ พวกเขาไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน แม้แต่เสียงเล่าลือยังไม่เคยมี!
หลินสวินยืนกลางอากาศ สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สำแดงมหามรรคของตน ตัวเขาเหมือนหุบเหวลึกที่พาดขวางกลางห้วงอากาศ ลึกล้ำสุดหยั่ง โคจรพลังทั้งหมดเหมือนต้องการจะกลืนกินฟ้าดิน
ก็เห็นว่าทันทีที่ดอกมรรคอสนีเคราะห์สีม่วงแต่ละดอกนั้นตกลงมาก็รวมตัวผลิบานในหุบเหว สายฟ้าสีม่วงน่าหวาดหวั่นพ่นออกมาจากเกสรดอกไม้ พลังทำลายล้างที่มีอยู่ เพียงมองดูไกลๆ ก็ทำเอาพวกอวี่อวิ๋นเหอศีรษะชาหนึบ ขวัญแทบกระเจิง
นั่นเป็นเจตจำนงสวรรค์ที่ควบรวมไว้อย่างแน่นหนาเป็นที่สุด เป็นวิธีลงทัณฑ์สวรรค์สูงสุด!
ชั่วพริบตาเดียวเกสรดอกไม้นับร้อยนับพันกลางหุบเหวก็ปะทุออกอย่างกราดเกรี้ยว สายฟ้าสีม่วงพุ่งกระจาย ทำให้ทั้งหุบเหวลึกสั่นระรัวรุนแรง ส่งเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นมา
แต่ในที่สุดก็ถูกหลินสวินต้านไว้ได้!
ลมหายใจเขาเหมือนพายุอสนีซัดสาด พลังขับเคลื่อนทั้งร่างเหมือนเตาเพลิงลุกโชนถาโถม รักษาเสถียรภาพของทั้งหุบเหวเอาไว้
หลังจากดอกมรรคอสนีเคราะห์ที่ทำให้ไม่ว่าราชันอริยะคนใดต่างสิ้นหวังเหล่านั้นบานเต็มที่แล้ว ก็โรยราและดับสลายไปในหุบเหวลึก
พลังชีวิตมหามรรคในนั้นก็ถูกหลินสวินดูดซับไว้ทั้งหมด หลอมเข้าไปในกายตน เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายและจิตวิญญาณ!
“พี่หลินเขา… จะดุดันเกินไปแล้ว…”
พวกอวี่อวิ๋นเหอเหงื่อกาฬไหลไปทั่ว สะท้านขวัญไม่หยุด
เคราะห์มรรคราชันอริยะ เดิมก็น่ากลัวเป็นที่สุด ต่อให้เป็นผู้โดดเด่นชั้นเลิศแห่งยุค ยามข้ามด่านเคราะห์ก็ต้องระมัดระวัง หรือเปิดกระบวนค่ายกลจำนวนมากเพื่อคุ้มครอง ไม่ก็ต้องอาศัยสมบัติลับของสำนักมาสลายทั้งนั้น
ต่อให้เป็นเช่นนี้ ผู้ที่สามารถข้ามด่านเคราะห์นี้ได้ก็ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ในพันคนยังยากจะมีคนรอด
แต่หลินสวินกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง
เคราะห์มรรคราชันอริยะของเขาแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ อดีตกาลไม่เคยมี ไม่เคยพบเห็น เรื่องนี้เดิมทีก็ทำให้ไม่ว่าใครก็ต้องสิ้นหวัง แต่ดูเขาสิ ข้ามด่านเคราะห์ง่ายดายเหมือนกินข้าวกินน้ำ!
“ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่ากลับชาติมาฝึกใหม่ยังไม่แกร่งกล้าได้ปานนี้กระมัง…” พวกอวี่อวิ๋นเหอทอดถอนใจ
เปรี้ยง!
อสนีเคราะห์ไม่ได้หยุดลง กลับโชติช่วงยิ่งขึ้น เวิ้งฟ้าสามพันลี้มีเมฆเคราะห์ดุจน้ำหมึก อสนีเคราะห์ดั่งมังกรพลิกตัวร้องคำราม แสงประกายแตกต่างกันไปฉายระยิบระยับ
ท้ายที่สุดมีอสนีเคราะห์สีเขียวแปลงเป็นเงามายาเทพองค์หนึ่ง มือถือทวนศึกอสนีทลายท้องฟ้าลงมา!
ชั่วพริบตานั้นผู้ฝึกปราณแดนลับต้าอวี่นับไม่ถ้วนตกตะลึง ตื่นตระหนกจนตัวสั่นงันงก อสนีเคราะห์ที่แปลงเป็นรูปจำลองทวยเทพหรือ
บนทางเดินโบราณฟ้าดาราก็มีตำนานเล่าขานอยู่ ว่าในยุคดึกดำบรรพ์มีปีศาจแห่งยุคข้ามด้านเคราะห์ ยั่วให้สวรรค์ริษยา ชักนำอสนีเคราะห์ทวยเทพมาเยือน ทุกคนที่ได้สัมผัสล้วนตายสิ้นไม่มีรอด
และตอนนี้ ตำนานอันเลื่อนลอยเช่นนี้ดันเกิดขึ้นจริงแล้ว!
“ตกลงว่าใครกำลังข้ามด่านเคราะห์กันแน่”
“หรือจะเป็นหลินเต้ายวนคนนั้น”
“ต้องเป็นเขาแน่ๆ! ก่อนหน้านี้เขาคนเดียวกำราบผู้กล้าจากเก้าโลกใหญ่ แข็งแกร่งหาใดเทียบ ไม่ได้เหมือนปีศาจแห่งยุคดึกดำบรรพ์ในตำนานหรอกหรือ”
เสียงฮือฮาและตื่นตะลึงนับไม่ถ้วนดังขึ้นเป็นระลอก กำลังคาดเดาตัวตนของคนที่ข้ามด่านเคราะห์
เพียงแต่อยู่ห่างไกลเกินไป ทั้งยังมีพลังผนึกของเทือกเขาเก้ากระถางมากีดกัน ทำให้พวกเขาไม่อาจดูรูปลักษณ์ของผู้ที่ข้ามด่านเคราะห์ได้เลย
และในตอนนี้เอง หลินสวินกับเงามายาอสนีเคราะห์สีเขียวร่างหนึ่งต่อสู้กันอย่างดุเดือด
เปรี้ยง!
สายฟ้าครั่นครืน เสียงมรรคสะท้านฟ้า
เงาร่างอสนีเคราะห์ดุจทวยเทพนั้น มือถือทวนศึกสายฟ้า โจมตีไร้ขอบเขต เหนี่ยวนำพลังทำลายล้างจากทั่วหล้า ประหนึ่งเป็นร่างจำแลงเจตจำนงสวรรค์
ด้านหลินสวินมือเปล่าหมัดเปลือย เข้าต่อสู้กับเงามายานั้น เงาร่างดุจหุบเหวลึกกลืนเวิ้งฟ้า วิชามรรคดั่งเตาหลอมกำราบโลก โอหังแกร่งกล้า
ชั่วขณะเดียวความโกลาหลใต้เวิ่งฟ้าปรากฏสู่สายตาอย่างต่อเนื่อง ปั่นป่วนดั่งวันโลกาวินาศมาเยือน
ฟุบ!
ไม่นานนักหลินสวินก็ถูกทวนแทงทะลุไหล่ เลือดสดๆ สาดกระเซ็น เขาเหมือนมองไม่เห็น ยื่นแขนเข้าคว้าแล้วบิดโดยพลัน
หุบเหวส่งเสียงดังโครม ด้วยการตะครุบทีเดียวแขนข้างหนึ่งของเงามายาเทพนั้นก็ฉีกขาด สายฟ้าปะทุซัดสาดราวกับน้ำตก
แขนข้างนี้ก็กลายเป็นสายฟ้าบริสุทธิ์ถาโถม ถูกหลินสวินกลืนกินไปหมด หลอมอยู่ทั้งในและนอกร่างกาย
“เข้ามาอีก!”
หลินสวินดวงตาเย็นเยียบดั่งอสนี จิตต่อสู้โหมกระพือ
เงามายาของเทพสาดประกายวาบครั้งหนึ่ง แขนที่ขาดก็งอกใหม่อีกครั้ง ส่งเสียงสายฟ้าฟาด โจมตีอีกรอบเหมือนถูกยั่วให้โมโห น่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก
ต่อให้หลินสวินเข้าห้ำหั่นเต็มกำลัง ท้ายที่สุดร่างก็ถูกถล่มจนเลือดสดๆ หลั่งริน ร่างกายแตกเป็นริ้ว ผิวหนังแตกยับ
เนื้อหนังระเบิดออกเป็นริ้ว เผยให้เห็นกระดูกที่เปล่งปลั่งดั่งทองเทพ
ภาพบาดเจ็บสาหัสนั้น พวกอวี่อวิ๋นเหอเห็นแล้วต่างเหงื่อกาฬผุดพราย ใจหล่นไปที่ตาตุ่ม ในตำนานปีศาจแห่งยุคที่ชักนำให้เกิดเงามายาอสนีเคราะห์เทพนั้น ไม่รอดชีวิต!
หลินสวินเขาจะข้ามได้ไหม
ความคิดนี้เพิ่งผุดขึ้นในสมอง ก็เห็นว่าเหนือฟ้าสูงหลินสวินส่งเสียงคำรามคล้ายเสียงร้องของมังกร เบื้องหลังมีหุบเหวลึกปกคลุม เกิดเสียงดังโครมทีหนึ่ง แล้วกลืนเงามายาเทพนั้นให้หายไปจนหมดสิ้น!
“นี่…”
พวกอวี่อวิ๋นเหอตาแข็งทื่อเสียแล้ว สั่นสะท้านไร้เสียง
อสนีเคราะห์ชั้นที่สามมลายหายไปเช่นนี้
และหลังจากกลืนเงามายาเทพที่แปลงมาจากอสนีเคราะห์ทั้งร่างแล้ว แม้หลินสวินจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่การขับเคลื่อนพลังทั้งตัวเขากลับเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าดิน
พลังชีวิตอสนีเคราะห์อันไพศาลนั้นเป็นพลังอันเที่ยงตรงและลึกลับที่สุดในโลก กลายเป็นพลังบรรลุระดับอย่างหนึ่งหลังจากถูกหลินสวินค่อยๆ หลอม
“ข้ามผ่านแล้วหรือ”
เหล่าผู้กล้าในแดนลับต้าอวี่งุนงง อกสั่นขวัญแขวนไปหมด
เคราะห์สวรรค์สามชั้น ชั้นแรกเป็นดั่งธารดาราไหลจากเก้าชั้นฟ้า เกรียงไกรเหลือประมาณ
ชั้นที่สองควบรวมเป็นดอกมหามรรค เมื่อบานเต็มที่ก็มลายไปสิ้น
ชั้นที่สามอสนีเคราะห์แปลงเป็นเงามายาเทพ น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง ปีศาจแห่งยุคในสมัยดึกดำบรรพ์ในตำนานก็ประสบเคราะห์ภายใต้เคราะห์นี้
และตอนนี้อสนีเคราะห์ทั้งสามชั้นได้ปิดฉากลงแล้ว แต่ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ยังไม่รู้อยู่ดีว่าคนที่ข้ามด่านเคราะห์ผู้นั้นตายหรือรอด
แต่ไม่นานนักก็มีเสียงร้องตื่นตะลึงดังขึ้น…
“ไม่ถูก ทำไมยังมีอีกล่ะ”
“เคราะห์สวรรค์ยังไม่สิ้นสุดลง!”
เหนือเวิ้งฟ้านั้น เมฆอสนีไม่เพียงไม่หายไปกลับยิ่งรวมตัวกันแน่น อสนีเคราะห์งดงามพร่างพราวหาใดเทียบ เหมือนกำลังบ่มเพาะการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุด
พอเห็นภาพนี้เข้า ทุกคนต่างตะลึงพรึงเพริด ทำใจเชื่อได้ยาก
ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ไม่ว่าใครข้ามด่านเคราะห์ราชันอริยะ ต่างก็ปิดฉากลงด้วยอสนีเคราะห์สามชั้น แต่ตอนนี้กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันแล้ว
ควรรู้ว่าต่อให้เป็นเคราะห์มกุฎราชันอริยะก็มีเพียงสามชั้นเช่นกัน เพียงแต่อานุภาพยิ่งใหญ่อัศจรรย์หาใดเทียบ เคราะห์อสนีทั่วไปเทียบไม่ติด
ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าตอนข้ามด่านเคราะห์ราชันอริยะจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอันน่าเหลือเชื่อเช่นนี้!
“ไม่เคยมีมาก่อน ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย…”
หลายคนสูดหายใจเย็น
ความเปลี่ยนแปลงน่าตกตะลึงเช่นนี้พิสูจน์ได้เพียงว่าคนที่ข้ามด่านเคราะห์เย้ยฟ้าเกินไป พลังที่ครอบครองรวมถึงมรรคาที่เสาะแสวง เกรงว่าจะไปสัมผัสกับขอบเขตต้องห้ามเข้าแล้ว!
และในตอนนี้เอง
อสนีเคราะห์ชั้นที่สี่ ไม่ให้เวลาหลินสวินได้ฟื้นตัวเต็มที่สักนิดก็มาเยือนแล้ว
เปรี้ยง!
อสนีเคราะห์สีแดงคับฟ้าแปลงเป็นเตาทองแดงทะลวงฟ้าลงมา ความใหญ่โตของเตาทองแดงเหมือนดั่งเขาเทพ เพลิงเทพอสนีเคราะห์พวยพุ่งไม่มีสิ้นสุด แสงประกายที่ปลดปล่อยออกมาย้อมฟ้าดินให้เป็นสีแดงดั่งโลหิต
ขอเพียงเห็นภาพนี่เข้า ทุกคนต่างอึ้งค้างกันหมด
เคราะห์สวรรค์แปลงเป็นเตา!
ตั้งแต่โบราณจนปัจจุบัน มองดูทั่วหล้า ใครเคยเห็นกัน
ชั่วพริบตาเงาร่างหลินสวินก็ถูกกำราบไว้ในเตาทองแดงอสนีสีชาดนั้น เสียงโครมครามดังขึ้นไม่ขาดสาย สะเทือนฟ้าดิน
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท