ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 77 สิ่งของ (กลาง)

ตอนที่ 77 สิ่งของ (กลาง)

หลังจากที่ดื่มสุราเจ้าสาวคืนสู่เหย้าของอู่เหนียงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชีเหนียงก็กลับซานตงพร้อมกับคุณนายสอง ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน คุณนายสองก็ได้ให้คนมาส่งจดหมายว่าชีเหนียงได้หมั้นหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายตรงข้ามนามว่าจูอานผิง คนเมืองซานตงมณฑลเกาชิง ปีนี้อายุยี่สิบสอง รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์ต่อจากรุ่นก่อนหน้านี้มา 

 

 

นายท่านใหญ่ได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น “เหตุใดถึงได้ไปหาตระกูลเช่นนี้ได้ คิดจะทิ้งชีเหนียงไว้ที่ซานตงไม่สนใจไยดีแล้วหรืออย่างไรกัน” 

 

 

ภูมิลำเนาเดิมของจวนสกุลหลัวอยู่ที่เจียงหนาน วันข้างหน้าก็จะต้องกลับมายังเจียงหนาน นายท่านสองไม่สามารถจะอยู่ที่ซานตงตลอดชีวิตได้ สิ่งที่นายท่านใหญ่พูดมานั้นก็มีเหตุผลไม่น้อย 

 

 

นายหญิงใหญ่ให้ป้าสวี่นำจดหมายไปเก็บ จากนั้นก็ได้ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องของบ้านนายท่านสอง ข้าเองก็ไม่สะดวกจะไปยื่นมือยุ่มย่าม อีกอย่าง อู่เหนียงของเราก็แต่งงานออกเรือนไปที่มณฑลซื่อชวนมิใช่หรือ ไม่แน่บางทีคนอื่นเขาก็อาจจะมองเราเหมือนที่เรามองเขาก็เป็นได้!” 

 

 

“นั่นมันไม่เหมือนกัน” นายท่านใหญ่รีบพูดขึ้นทันทีว่า “เฉียนหมิงมีสติปัญญาเป็นเลิศ” 

 

 

“เช่นนั้นท่านมั่นใจแล้วหรือว่าสติปัญญาของคุณชายจูจะไม่หลักแหลม” 

 

 

นายท่านใหญ่ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก 

 

 

นายหญิงใหญ่จึงได้ปรึกษานายท่านใหญ่ว่า “จะว่าไปแล้ว ชีเหนียงอ่อนกว่าเซิงเกอเพียงสองเดือน ท่านว่าเราควรจะหาคู่ครองให้กับเซิงเกอแล้วหรือยัง ปีนี้เขาก็อายุไม่น้อยแล้ว อีกอย่างหากมีสะใภ้สักคนมาคอยดูแล เขาก็จะได้เจริญก้าวหน้าบ้าง” 

 

 

“อืม!” นายท่านใหญ่พยักหน้าเบาๆ “ยังเป็นเจ้าที่คิดรอบคอบที่สุด เรื่องนี้ก็ลำบากเจ้าดูแลหน่อยก็แล้วกัน!” 

 

 

“ดูท่านพี่พูดเข้า” นายหญิงใหญ่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่มันก็เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” 

 

 

นายท่านใหญ่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “หลายปีมานี้โชคดีที่มีเจ้า…เซิงเกอและสือเหนียง” เมื่อพูดจบก็ส่ายหน้าเบาๆ 

 

 

นายหญิงใหญ่ยิ้มขึ้นที่มุมปาก “ท่านพี่ เป็นข้าเองที่ไม่ดี ไม่ได้อบรมสอนสั่งพวกเขาดีๆ แต่ท่านวางใจเถิด วันข้างหน้าข้าจะต้องใจจดใจจ่อกับพวกเขาให้มากขึ้นกว่านี้” 

 

 

ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ ใต้เท้าหวังผู้บัญชาการองครักษ์ค่ายหู่เวยมาเจ้าค่ะ!” 

 

 

นายท่านใหญ่และนายหญิงใหญ่รีบเปลี่ยนสีหน้าทันที 

 

 

“ท่านไปรับแขกเถิด!” นายหญิงใหญ่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “จวนสกุลหวังก็ถือว่าเป็นคู่หมั้นหมายที่ดี ตัวคุณชายหวังเองท่านก็เคยเจอ อีกอย่าง สือเหนียงก็อายุมากขึ้นทุกวัน หากผ่านช่วงเวลานี้ไป เกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสแล้ว” 

 

 

นายท่านใหญ่พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ได้กำหนดวันส่งมอบของกำนัลกับใต้เท้าหวังเป็นวันที่ยี่สิบเดือนห้า 

 

 

นายหญิงใหญ่และคุณนายใหญ่ก็เริ่มจัดเตรียมสินเดิมฝ่ายหญิงให้กับสือเหนียง 

 

 

สือเหนียงจึงไปหานายหญิงใหญ่ขอไปเที่ยวที่อารามเมฆขาว 

 

 

นายหญิงใหญ่หันไปยิ้มให้นางด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าเป็นหญิงที่กำลังจะแต่งงานไปเป็นเจ้าสาวแล้ว จะเที่ยวเล่นไปทั่วเช่นนี้ทำไมกัน” 

 

 

นางไม่ตอบอะไรเลยแม้แต่คำเดียว หาบันไดมาปีนข้ามกำแพง เหล่าบรรดาแม่เฒ่าเห็นเข้าจึงรีบไปเรียนนายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่ยังไม่ทันจะเอ่ยอันใด นายท่านใหญ่ก็โมโหจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด “ให้นางปีน ห้ามใครไปขวางทางนาง! ข้าก็อยากจะรู้ว่านางจะกล้าแค่ไหนกันเชียว!” 

 

 

นายหญิงใหญ่รีบรั้งนายท่านใหญ่ไว้ “ไม่ได้ ไม่ได้ งานหมั้นที่เราตกลงรับปากกับทางจวนสกุลหวังเล่า” จากนั้นก็หันไปส่งสายตาให้ป้าสวี่พาเหล่าแม่เฒ่าไปจับตัวนางกลับมา 

 

 

นายท่านใหญ่ไม่สามารถตีสือเหนียงเหมือนเช่นหลัวเจิ้นเซิงได้ ครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายจึงให้จับตัวนางไปขังไว้ในห้องแทน ห้ามออกไปไหนโดยเด็ดขาด 

 

 

สือเหนียงหันไปจ้องมองนายท่านใหญ่ด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก “พวกท่านกลัวอะไรกันหรือ ข้าออกไปเที่ยวเดี๋ยวเดียวก็ไม่ได้ พวกท่านกำลังกลัวอะไรกันแน่! ก็แค่จวนกั๋วกง ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าจวนสกุลหลัวของเราต้องพึ่งพางานแต่งพวกนี้เพื่อดำรงชีวิตตั้งแต่เมื่อใดกัน” 

 

 

ประโยคนี้แทงใจดำนายท่านใหญ่เข้าจังๆ 

 

 

ตั้งแต่รู้พินัยกรรมของหยวนเหนียง ว่าหลังจากที่ช่วงเวลาไว้ทุกข์แสดงความกตัญญูของหยวนเหนียงเสร็จสิ้นแล้ว ให้สืออีเหนียงแต่งเข้าจวนสกุลสวี นายท่านใหญ่ก็นอนไม่หลับติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ถึงแม้ว่าการที่สืออีเหนียงแต่งเข้าจวนสกุลสวีนั้นวันข้างหน้าก็จะอยู่สุขสบาย แต่ก็กลัวผู้อื่นจะมองว่าตนนั้นตั้งใจจะปีนป่ายมังกรเข้าใกล้หงส์ เลียแข้งเลียขาผู้มีอำนาจอิทธิพล จวนสกุลหลัวไม่ได้รุ่งโรจน์เฉกเช่นเมื่อก่อน  

 

 

หากว่าเขายังอยู่บนตำแหน่งเดิม ไหนเลยจะต้องมาหวาดกลัวเรื่องเหล่านี้กัน! 

 

 

นายท่านใหญ่เดินเข้าไปตบหน้าของสือเหนียงไปหนึ่งฉาด 

 

 

สือเหนียงกุมหน้าพร้อมกับยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา “หากท่านมีปัญญาก็ถอนหมั้นนี้เสียสิเจ้าคะ!” 

 

 

“ถอนหมั้นก็ถอนหมั้น!” นายท่านใหญ่ฉุนเฉียวเป็นฟืนเป็นไฟ 

 

 

นายหญิงใหญ่รีบไปขวางหน้านายท่านใหญ่ “ท่านพูดอะไรออกมา งานหมั้นเป็นแค่เรื่องเล่นๆ อย่างนั้นหรือ คิดจะถอนก็ถอนง่ายๆ ป้าสวี่ พาคุณหนูสิบไปพักผ่อนก่อน ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ก็ให้เริ่มเย็บปักถักร้อย มิฉะนั้น ว่างเว้นทุกวันจนไม่รู้จักแยกแยะหนักเบาว่าอันไหนสำคัญอันไหนไม่สำคัญไปเสียแล้ว” 

 

 

ประโยคที่ว่า ‘ว่างเว้นทุกวันจนไม่รู้จักแยกแยะ’ ที่นายหญิงใหญ่เพิ่งจะเอ่ยปาก ป้าสวี่ก็ตรงดิ่งเข้าไปจับตัวสือเหนียงพร้อมกับป้าเจียงทันที สิ้นเสียงนายหญิงใหญ่ ทั้งสองก็จับตัวสือเหนียงออกไปทันที 

 

 

สือเหนียงหัวเราะเสียงดังลั่น “ท่านขายบุตรสาวตนเพื่อวิงวอนร้องขอศักดิ์ศรีบารมี!” 

 

 

นายท่านใหญ่แทบจะหายใจไม่ออก ล้มลงไปกองกับพื้น นายหญิงใหญ่ตกใจจนใบหน้าซีดเผือดไปหมด รีบตะโกนให้คนไปเชิญหมอมา 

 

 

จากนั้นก็เรียกสืออีเหนียงให้มาปรนนิบัติดูแลนายท่านใหญ่ 

 

 

พอดีกับที่อู่เหนียงให้จื่อเวยนำขนมโต้วเกามา เมื่อได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว เฉียนหมิงและอู่เหนียงที่กำลังสานสัมพันธ์ใช้ชีวิตเช่นสามีภรรยาอยู่นั้น ก็ได้ยินว่าอู่เหนียงจะกลับบ้านแม่ จึงรีบไถ่ถามว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น อู่เหนียงเองก็ตอบไปตามตรง 

 

 

เฉียนหมิงได้ยินมาว่าสือเหนียงโวยวายเพราะเรื่องนี้ จึงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ยกเลิกสัญญาหมั้นกับทางจวนเม่ากั๋วกงหรือ” 

 

 

อู่เหนียงพยักหน้าเล็กน้อย “สือเหนียงเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เด็ก หากต้องการให้นางไปซ้ายนางก็จะไปขวา หากเราต้องการให้นางไปทางขวานางก็จะย้อนแย้งไปทางซ้าย ท่านดูอย่างข้าแต่งงานออกเรือน นางก็ยังไม่ยอมมาส่งข้าแม้แต่นิด ชีเหนียงเองยังรีบเดินทางจากซานตงเพื่อมาส่งข้าเสียด้วยซ้ำ!” 

 

 

“งั้นเรากลับไปเยี่ยมด้วยกัน” เฉียนหมิงได้ยินแล้วก็รีบสั่งให้บ่าวรับใช้ไปเตรียมรถม้ามาสองคัน “บางทีอาจมีอะไรตรงไหนที่ข้าพอจะช่วยได้บ้าง” 

 

 

อู่เหนียงและเฉียนหมิงก็พากันรีบออกเดินทางในทันที 

 

 

หลังแต่งงานอู่เหนียงเกล้าทรงผมมวยกลม เดิมทีใบหน้าที่งดงามอยู่แล้วก็ดูมีเสน่ห์ต้องตายิ่งขึ้น แววตาและหว่างคิ้วคลุมเครือไปด้วยความสุข ดูออกได้อย่างชัดเจนว่าชีวิตคู่ของนางนั้นราบรื่นเป็นอย่างดี 

 

 

พี่น้องต่างทำความเคารพซึ่งกันและกันเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร นายหญิงใหญ่ก็ดึงนางมาปรับทุกข์ในใจ “…เจ้าว่าข้าควรจะทำอย่างไรกับนางดี ก็คงจะเหลือแค่ไม่ได้กรีดเลือดเฉือนเนื้อมาต้มแกงให้นางกินแล้วกระมัง!” 

 

 

นายท่านใหญ่ที่นอนอยู่บนเตียงกระแอมขึ้นเบาๆ “ให้คนไปชงชาอู่ถีมาให้เขยห้าสักกา” 

 

 

เฉียนหมิงจึงรีบพูดขึ้นว่า “มิกล้าขอรับ!” 

 

 

พอเงยหน้าขึ้น ก็เจอเข้ากับใบหน้าที่เรียวเล็กและงดงาม 

 

 

จู่ๆ หัวใจก็เต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมา 

 

 

อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองอีกครั้ง 

 

 

นัยน์ตาที่ดำขลับ สีหน้าที่นิ่งสงบ 

 

 

อู่เหนียงสังเกตเห็นสีหน้าท่าทีสามีของตน จึงยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “นี่คือน้องหญิงสิบเอ็ดของข้า” 

 

 

เฉียนหมิงรีบหลุบตาลงต่ำทันที เขายิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าเสียมารยาทแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าจะเจอน้องหญิงสิบเอ็ดที่นี่” 

 

 

สืออีเหนียงรู้สึกไม่ชอบสายตาที่เฉียนหมิงมองตนเลย 

 

 

เหมือนสายตาที่กำลังจ้องมองแจกันดอกไม้โบราณอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

แต่นางก็ยังย่อตัวทำความเคารพตามมารยาท 

 

 

“มิกล้า มิกล้า” เฉียนหมิงค่อนข้างตื่นตระหนก 

 

 

“คนกันเอง ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น” นายหญิงใหญ่ให้ทั้งสองอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อน “…อีกเดี๋ยวพี่ใหญ่ของเจ้าก็กลับมาแล้ว” 

 

 

เฉียนหมิงเป็นคนค่อนข้างใจกว้าง เขายิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าเองก็มีข้อกังขาไม่เข้าใจเกี่ยวกับตำราอยู่ด้วย ถือโอกาสนี้ให้ท่านพ่อชี้แนะเสียหน่อยขอรับ” 

 

 

นายท่านใหญ่เองก็เป็นคนที่มีความรู้ไม่น้อย เมื่อได้ยินเฉียนหมิงพูดขึ้นมาเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จึงได้ให้เฉียนหมิงอยู่คุยกับเขาต่อ ส่วนนายหญิงใหญ่ คุณนายใหญ่ อู่เหนียงและสืออีเหนียงก็พากันไปยังห้องโถง 

 

 

คุณนายใหญ่ไปจัดแจงเตรียมอาหารการกินที่ห้องครัว นายหญิงใหญ่ก็ได้พูดกับสืออีเหนียงว่า “เจ้าไปดูสือเหนียงเสียหน่อย ตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” 

 

 

สืออีเหนียงขานรับแล้วจึงออกไป 

 

 

จากนั้นนายหญิงใหญ่ก็ได้หันไปกระซิบถามอู่เหนียงว่า “ข้าจำได้ว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เจ้าจะมีระดู แล้วนี่มาแล้วหรือยัง” 

 

 

อู่เหนียงพยักหน้าเบาๆ ด้วยความเขินอาย 

 

 

“เช่นนั้น จื่อเวยและคนอื่นๆ?” 

 

 

อู่เหนียงส่ายหน้าเล็กน้อย “นางบอกว่าหากน้องหญิงเฝ้ารอ วันข้างหน้าหาคนดีๆ สักคนมาแต่งงานออกเรือนก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน” 

 

 

นายหญิงใหญ่ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าเป็นคนมีบุญวาสนา” รอยยิ้มนั่นค่อนข้างฝืนเล็กน้อย 

 

 

แต่อู่เหนียงกลับพูดขึ้นด้วยความจริงใจว่า “หากข้าเป็นคนมีบุญวาสนา ก็เป็นท่านแม่ที่เป็นคนมอบให้ข้าเจ้าค่ะ” 

 

 

***** 

 

 

สืออีเหนียงไปเยี่ยมสือเหนียงตามคำสั่ง 

 

 

สือเหนียงกำลังนั่งอ่านตำราอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่าง 

 

 

‘เก้าแคว้นแห่งต้าโจว’ 

 

 

สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ 

 

 

นั่นเป็นตำราเล่มโปรดที่นางชอบที่สุด 

 

 

ป้าเจียงที่กำลังเฝ้าสือเหนียงราวกับศัตรูก็ไม่ปานนั้น จู่ๆ ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “ตั้งแต่กลับมาก็ไม่ได้ร้องไห้และไม่ได้โวยวายอะไร เอาแต่อ่านตำราเล่มนั้นไม่ยอมวาง บ่าวเองก็ไม่รู้ว่านางกำลังคิดจะทำสิ่งใดกันแน่เจ้าค่ะ” 

 

 

สืออีเหนียงเองก็ไม่รู้เหมือนกัน นางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ 

 

 

สือเหนียงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านตำราอย่างใจจดใจจ่อด้วยสีหน้าที่จริงจัง ราวกับว่ากำลังหมกมุ่นและจมดิ่งเข้าไปในเนื้อหาอันยอดเยี่ยมของตำราก็ไม่ปาน ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลยแม้แต่นิดเดียว 

 

 

สืออีเหนียงจึงกำชับไปว่า “ดูแลนางให้ดี” จากนั้นก็กลับไปหานายหญิงใหญ่ 

 

 

อู่เหนียงใช้ค้อนนวดค่อยๆ ทุบไหล่ให้นายหญิงใหญ่เบาๆ พลางพูดคุยกับนายหญิงใหญ่ไปด้วย ทั้งสองพูดคุยกันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เบิกบานใจ 

 

 

เมื่อเห็นสืออีเหนียงกลับมา นายหญิงใหญ่ก็ยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง นางดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่” 

 

 

“ดีขึ้นบ้างแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้นางกำลังนั่งอ่านตำราอยู่บนเตียงเตาเจ้าค่ะ” 

 

 

นายหญิงใหญ่พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่ได้พูดถึงสือเหนียงอีก นางหันไปถามสืออีเหนียงว่า “เจ้ามักจะชอบอ่านตำราเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ‘เก้าแคว้น’ อะไรนั่นใช่หรือไม่ รู้หรือไม่ว่าเดินทางไปยังเขตจี่หนานต้องใช้เวลากี่วัน” 

 

 

สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็รู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปว่า “ในหนังสือบอกว่าระยะทางราวเก้าร้อยกว่าลี้ ข้าคิดว่าคงใช้เวลาเดินทางนับสิบวันเห็นจะได้เจ้าค่ะ!” 

 

 

นายหญิงใหญ่พยักหน้าเล็กน้อย แล้วจึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงเวลานั้น เจ้าไปเป็นแขกกับข้าที่ซานตงก็แล้วกัน” 

 

 

อู่เหนียงจึงอธิบายขึ้นว่า “ท่านแม่หมายความว่าตอนที่ชีเหนียงแต่งงานออกเรือน พวกเราไปดื่มสุรามงคลที่ซานตงด้วยกัน” 

 

 

“ดีสิ!” สืออีเหนียงยิ้มขึ้นด้วยสีหน้าท่าทีที่ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก 

 

 

สีหน้าท่าทีของนางค่อนข้างเป็นที่พึงพอใจของนายหญิงใหญ่ “ข้าคิดว่างานแต่งหากไม่ถูกจัดขึ้นในฤดูหนาวปีนี้ก็คงจะเป็นฤดูใบไม้ผลิในต้นปีหน้า ถึงเวลานั้นข้าจะให้ช่างทำเครื่องประดับมงคลเก่าแก่มาทำชุดเครื่องประดับผม แล้วให้ช่างตัดเย็บของหอเซียนหลิงตัดชุด จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาดีๆ เสียหน่อย” 

 

 

อู่เหนียงและสืออีเหนียงได้ยินแล้วก็พากันพูดขึ้นอย่างพร้อมเพียงว่า “ดีเลยเจ้าค่ะ” นายหญิงใหญ่จึงยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่ จึงได้เล่าเรื่องราวสมัยยังเยาว์วัยของตนที่ติดตามบิดาไปรับตำแหน่งที่มณฑลส่านซีให้พวกนางฟัง 

 

 

ขณะที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานนั้น ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “คุณชายใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” 

 

 

เมื่อพูดจบ หลัวเจิ้นซิ่งก็เปิดม่านเดินเข้ามาทันที 

 

 

สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปิติยินดี เมื่อเห็นนายหญิงใหญ่และคนอื่นๆ เขาก็รีบถามขึ้นทันทีว่า “ท่านพ่อล่ะ” 

 

 

นายหญิงใหญ่อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่” 

 

 

“ข่าวดี เป็นข่าวดีขอรับ” นัยน์ตาของหลัวเจิ้นซิ่งเป็นประกายแวววาว “ท่านโหวชนะศึก ปลายเดือนห้าก็สามารถยกทัพกลับราชสำนักได้แล้ว” 

 

 

นายหญิงใหญ่อึ้งไปชั่วขณะ 

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งยังพูดขึ้นด้วยความตื้นตันว่า “ครั้งนี้ท่านโหวสามารถโจมตีจนถึงเก๋อซัง และยังสามารถจับเป็นหัวหน้าปกครองเจียหรงได้…แคว้นซีเป่ยสามารถอยู่อย่างสงบสุขอย่างน้อยนานนับสิบปีเลยทีเดียว” 

 

 

“อะไรนะ เจ้าว่าอะไร” จู่ๆ นายท่านใหญ่ก็เดินออกมา “ท่านโหวจับเป็นเจียหรงได้อย่างนั้นหรือ” 

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งพยักหน้าเบาๆ แต่เมื่อเห็นเฉียนหมิงประคองบิดาของตนอยู่ ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไป” 

 

 

“ข้าไม่เป็นไร” นายท่านใหญ่โบกมือปฏิเสธ “เจ้าเล่ามาให้ข้าฟังหน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” 

 

 

“ข่าวพิชิตชัยสงครามถูกส่งมาคืนเมื่อวานที่ผ่านมา เช้าวันนี้ตอนเข้าเฝ้ายามเช้า ฝ่าบาททรงประกาศกลางโถงพระโรงด้วยพระองค์เอง ตอนนี้ข่าวคราวถูกแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองเยี่ยนจิงเป็นที่เรียบร้อย” หลัวเจิ้นซิ่งเข้าประคองบิดาไปนั่งที่เก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างๆ “บอกว่าท่านโหวนั้นแสร้งออกรบทุกครั้งก็แพ้ศึกทุกครั้ง ยิ่งสู้รบกองทัพก็ยิ่งร่นถอย หลอกล่อให้เจียหรงตามเข้าไปในเทือกเขาฉยงสยา จากนั้นก็ใช้วิธีล้อมเข้ารวบเจียหรงจึงจับเป็นมาได้” 

 

 

แคว้นซีเป่ยถูกรุกรานมายาวนานนับร้อยปี บัดนี้สามารถสงบลงได้ อย่าว่าแต่นายท่านใหญ่เลย ราษฎรทั้งอาณาจักรต้าโจวก็ล้วนแล้วแต่ยินดีปรีดากันถ้วนหน้า 

 

 

เขาได้ตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “…วันนี้ไม่เมาไม่เลิกรา!” 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท