สืออีเหนียงก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
เรื่องนี้มันผิดแผกเกินไป…ใครเป็นคนผูกปมคนนั้นก็ควรเป็นคนแก้
นางพูดอย่างเป็นกังวลว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะไปพบไท่ฮูหยิน อีกสักครู่จะกลับจวนไปพร้อมกับท่าน”
คุณนายใหญ่กลับดึงแขนเสื้อนางไว้ “ข้ากลัวว่าเจ้าจะเป็นกังวล ดังนั้นจึงมาบอกให้เจ้ารู้ เจ้าพึ่งจะแต่งงานมาไม่นาน หากกลับไปตอนนี้จะไม่ค่อยเหมาะสม…”
หลังจากแต่งงานในหนึ่งเดือนแรกเจ้าสาวไม่ควรไปอยู่ที่อื่น
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “จวนอยู่ไม่ไกล ข้าไปเยี่ยมครู่เดียวก็กลับมาแล้ว มีเพียงพี่สะใภ้ใหญ่ที่คอยดูแลท่านแม่ที่ป่วยอยู่ เกรงว่าท่านจะเหนื่อยเกินไป”
“เดิมก็เป็นหน้าที่ข้าอยู่แล้ว เหนื่อยไม่เหนื่อยนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก”
คุณนายใหญ่พูดกับสืออีเหนียงด้วยความเกรงใจสองสามประโยค จากนั้นก็ไปหาไท่ฮูหยินด้วยกัน
ไท่ฮูหยินยังไม่ได้กลับมาจากเรือนฮูหยินสอง
ทั้งสองคนจึงไปหาที่เรือนฮูหยินสอง
ได้ยินเสียงดีดฉินอันไพเราะฟังดูร่าเริงดังมาแต่ไกล
เมื่อคุณนายใหญ่ได้ฟังก็หยุดเดินโดยไม่รู้ตัว
“นี่คือบทเพลงลู่หมิง…” นางมองขึ้นไปบนบันไดสูงแล้วตั้งใจฟัง “เสียงมีความหนักแน่นสม่ำเสมอ สื่อถึงความอิสระ จังหวะช้าเร็วกำลังดี สายฉินมีความบาง ดูอ่อนแอแต่กลับแข็งแรง แต่ฝีมือดูเหมือนจะไม่ค่อยชำนาญ”
สืออีเหนียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก
นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคุณนายใหญ่รู้เรื่องฉิน
ในเมื่อบอกว่าฝีมือไม่ค่อยชำนาญ เช่นนั้นก็คงจะเป็นเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังฝึกดีดฉินอยู่
ทั้งสองคนค่อยๆ เดินขึ้นบันได เมื่อเดินไปถึงประตูเสียงฉินก็หยุดลง
หู่พั่วเดินไปเคาะประตู มีสาวใช้หน้าตาสดใสมาเปิดประตูให้
เมื่อเห็นสืออีเหนียงนางก็ยิ้มแล้วย่อเข่าคำนับ “ฮูหยินสี่ บ่าวชื่อเจี๋ยเซียง เป็นสาวใช้ข้างกายฮูหยินสองเจ้าค่ะ” ท่าทางดูเป็นมิตรอย่างมาก
สืออีเหนียงพยักหน้าให้นางเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตามเจี๋ยเซียงผ่านห้องโถงไปยังห้องของฮูหยินสอง
เครื่องใช้ในเรือนที่ทำจากไม้สาลี่ดูสว่างและเรียบง่าย เครื่องลายครามสีขาวสะอาดราวกับหยก ผ้าม่านสีฟ้าสดใส อากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสับปะรดจางๆ ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นเป็นอย่างมาก
ไท่ฮูหยินเอนกายลงบนเตียงหลัวฮั่นด้วยท่าทางสบายๆ นอนยิ้มมองดูเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ริมโต๊ะฉินตรงหน้าต่าง “…ฝีมือดีดฉินของเจี่ยเอ๋อร์เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
เจินเจี่ยเอ๋อร์มองฮูหยินสองที่นั่งอยู่ข้างๆ ตัวเองแล้วยิ้มอย่างเขินอาย“ต้องขอบคุณท่านป้าสะใภ้สองที่ช่วยชี้แนะเจ้าค่ะ”
“เป็นเพราะเจ้าตั้งใจฝึกฝนต่างหาก”
จุนเกอที่กำลังนั่งพิงไท่ฮูหยินยิ้มแล้วกระโดดขึ้นมา “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่!”
ทุกคนในห้องหันมามอง
“จุนเกอ” คุณนายใหญ่ยิ้มตอบรับจุนเกอ แล้วเดินเข้าไปคารวะไท่ฮูหยินพร้อมกับสืออีเหนียง
“น้องสะใภ้สี่” ฮูหยินสองยิ้มแล้วทักทายทั้งสองคน “คุณนายใหญ่สกุลหลัว” จากนั้นก็เรียกเจี๋ยเซียง “ไปนำชาหลงจิ่งจากซีหูที่ข้าซื้อมาเมื่อหลายวันก่อนออกมา” ยิ้มแล้วพูดกับสืออีเหนียงว่า “ฤดูใบไม้ร่วงอากาศค่อนข้างแห้ง ดื่มชาหลงจิ่งสักหน่อยเพื่อดับความกระหาย”
สืออีเหนียงและคุณนายใหญ่แสดงความขอบคุณในน้ำใจของฮูหยินสอง
ไท่ฮูหยินพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณนายใหญ่สกุลหลัวมาในเวลานี้มีเรื่องรีบร้อนอันใดหรือ”
เมื่อคุณนายใหญ่ได้ฟังก็ตาแดงขึ้นมา “แม่สามีข้าป่วย พ่อสามีกลัวว่าสืออีเหนียงจะเป็นกังวลจึงตั้งใจให้ข้านำข่าวมาบอกเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงมองไท่ฮูหยินอย่างคาดหวัง “ข้าอยากกลับไปเยี่ยมท่านแม่เจ้าค่ะ เมื่อฟ้ามืดจะกลับมาทันที”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าทันที บอกให้ป้าตู้รีบไปเตรียมรถม้าให้สืออีเหนียง “…กลับมาแล้วอย่าลืมมารายงานข้าด้วย”
สืออีเหนียงรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมากจนลืมดื่มชาของฮูหยินสอง คำนับไท่ฮูหยิน จากนั้นก็กลับไปที่ตรอกกงเสียนกับคุณนายใหญ่
ไท่ฮูหยินมองตามหลังของทั้งสองคน แล้วพูดถึงเรื่องที่ไต้ซือจี้หนิงมาหาสืออีเหนียง “…คนดีที่มีจิตใจบูชาพระพุทธศาสนาจากใจจริงก็แค่สร้างห้องพระไว้ในจวนก็พอแล้ว เกรงว่าคงจะถูกกดดันจนไม่มีทางไปแล้ว จึงอยากจะปลีกตัวออกมาไปอยู่ที่วัดฉือหยวน”
ฮูหยินสองเพียงแต่ยิ้ม “ทุกเรือนย่อมมีปัญหาที่ยากจะแก้ไข”
ไท่ฮูหยินถอนหายใจ“ นั่นน่ะสิ ทุกคนต่างก็อิจฉาข้าที่มีบุตรสาวคอยดูแลเรือน มีบุตรชายเป็นขุนนางและใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่ความจริงแล้วข้าเองก็มีเรื่องไม่สบายใจเช่นกัน…”
ไท่ฮูหยินกับฮูหยินสองพูดคุยกัน ความอบอุ่นได้หลั่งไหลเข้ามาในห้อง
******
สืออีเหนียงกับคุณนายใหญ่รีบลงจากรถม้า มีสาวใช้ตาไวรีบวิ่งเข้าไปรายงาน “คุณหนูสิบเอ็ดกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
นางเห็นอู่เหนียงรีบเปิดม่านวิ่งออกมา “น้องสิบเอ็ด เจ้ามาได้เสียที ท่านแม่เอาแต่มองหาเจ้า”
สืออีเหนียงเห็นว่าตาทั้งสองข้างของนางแดงก่ำจึงอดตกใจไม่ได้ รีบถามนางว่า “ตอนนี้ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง” จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในห้อง
อู่เหนียงเดินตามหลังนางมา “ท่านแม่ฟื้นแล้ว แต่กลับไม่พูดอะไรเลย” บอกพลางร้องไห้ไปด้วย
สืออีเหนียงเข้ามาในห้องก็เห็นนายหญิงใหญ่นอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเผือก
นางรีบเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้เล็กข้างๆ เตียง “ท่านแม่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ”
นายหญิงใหญ่มองนาง แวบแรกมีความดีใจ จากนั้นก็กลับกลายเป็นความคุ่นเคือง อ้าปากพยายามจะพูดแต่กลับพูดไม่ออก
สืออีเหนียงใจหาย
เห็นได้ชัดว่านางมีอาการคล้ายเป็นอัมพฤกษ์…
อู่เหนียงที่เดินตามมารีบพูดว่า “ท่านแม่เจ้าคะ หมอหลวงบอกว่าไม่ให้ท่านใจร้อน ทำใจให้สงบ หากท่านมีอะไรอยากจะพูด ก็รอให้ดีขึ้นก่อนแล้วค่อยพูดกับน้องสิบเอ็ด”
นายหญิงใหญ่พยายามส่ายหัว
สืออีเหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมาว่า “ท่านกำลังกังวลเกี่ยวกับอี๋เหนียงทั้งสองใช่หรือไม่เจ้าคะ”
นายหญิงใหญ่กระพริบตา
สืออีเหนียงหันไปมองคุณนายใหญ่แล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ได้ส่งคนไปตามพี่ชายใหญ่กลับมาแล้ว เมื่อถึงเวลาจะให้พี่ชายใหญ่ไปเจรจากับไต้ซือจี้หนิงผู้นั้น พวกเราในฐานะที่เป็นบุตรสาวย่อมต้องเชื่อฟังท่านแม่อยู่แล้ว”
แววตาของนายหญิงใหญ่เผยให้เห็นความสบายใจ
“ท่านพักผ่อนก่อนเถิดนะเจ้าคะ” สืออีเหนียงช่วยจัดมุมผ้าห่มให้นาง “รอให้พี่ชายใหญ่กลับมาก่อนพวกเราค่อยมาปรึกษาท่านอีกที”
นายหญิงใหญ่หลับตาลง
ในห้องเริ่มเข้าสู่ความสงบ
สืออีเหนียงสอนวิธีดูแลนายหญิงใหญ่ให้กับป้าสวี่ จากนั้นก็เดินออกไปพร้อมกับคุณนายใหญ่และอู่เหนียง
นายท่านใหญ่นั่งอยู่บนตั่งข้างหน้าต่างในห้องเล็ก เมื่อเห็นสืออีเหนียงออกมาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“เจ้าไปบอกกับจี้หนิงผู้นั้น หากนางอยากจะขึ้นศาล สกุลหลัวของเราจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”
สืออีเหนียงรู้ว่านายท่านใหญ่โกรธเป็นอย่างมาก คุณนายใหญ่กลัวว่าสืออีเหนียงจะรู้สึกไม่ดีจึงพูดปลอบประโลมนาง “คุณหนูสิบเอ็ดอย่าได้ใส่ใจเลย ท่านพ่อกำลังโกรธอี๋เหนียงทั้งสอง” จากนั้นก็พูดกับนายท่านใหญ่ว่า “ตั้งแต่คุณหนูสิบเอ็ดก้าวเข้ามาในจวน นางก็ยังไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเลย หากจะโกรธก็รอให้ข้าเล่าให้คุณหนูสิบเอ็ดฟังก่อนแล้วท่านค่อยโกรธก็ยังไม่สาย” พูดพลางส่งสายตาให้สืออีเหนียง “คุณหนูสิบเอ็ดมาดื่มชากับข้าก่อนเถิด”
นางเองก็อยากรู้ว่าจี้หนิงมาพูดอะไรบ้าง ยิ้มคำนับนายท่านใหญ่ กล่าวลาอู่เหนียง จากนั้นก็ไปที่ห้องทิศตะวันออกกับคุณนายใหญ่
ที่แท้หลังจากที่ตงชิงมารายงานล่วงหน้า ในขณะที่คุณนายใหญ่กำลังลังเลว่าจะพูดกับนายหญิงใหญ่อย่างไรดี จี้หนิงผู้นั้นก็ได้มาถึงแล้ว คุณนายใหญ่ยังไม่ทันได้พูดออกไป จี้หนิงก็ได้นำเรื่องที่อี๋เหนียงทั้งสองจะออกบวชไปอยู่ที่วัดฉือหยวนบอกกับนายหญิงใหญ่ไปก่อนแล้ว เมื่อนายหญิงใหญ่ได้ฟังก็โกรธจนหน้าเขียว ไม่ว่าจี้หนิงผู้นั้นจะพูดอย่างไรนางก็ไม่ตกลง แล้วยังเรียกร้องให้จี้หนิงส่งตัวอี๋เหนียงทั้งสองมา มิเช่นนั้นทุกคนก็ไปพบกันที่ศาล พูดไปพูดมานายหญิงใหญ่ก็โกรธจนเป็นลมล้มไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็มือเท้าสั่น พูดอะไรไม่ได้
ขณะที่กำลังพูดคุย หลัวเจิ้นซิ่งกับเฉียนหมิงก็มาพอดี
สืออีเหนียงต้องการหลีกเลี่ยงเฉียนหมิง คุณนายใหญ่พูดเสียงเบาว่า “ในเวลานี้เมื่อมีคนเพิ่มขึ้นหนึ่งอีกคนก็จะมีทางเลือกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งทาง ยิ่งไปกว่านั้นน้องเขยห้าก็มักจะมีความคิดเห็นอยู่เสมอ ใส่ใจเรื่องในเรือนเป็นอย่างมาก พวกเราหลีกเลี่ยงเขาแล้วมาพูดคุยกันอยู่ตรงนี้ เกรงว่าคุณหนูห้าจะกลับไปเล่าให้เขาฟัง”
นางคิดถึงเวลาอู่เหนียงได้ยินชื่อเฉียนหมิงก็มักจะคิ้วขมวด คิดว่าสิ่งที่คุณนายใหญ่พูดนั้นมีเหตุผล จึงได้เพียงแต่ยิ้ม
คุณนายใหญ่ได้เชิญหลัวเจิ้นซิ่งกับเฉียนหมิงมาคุยกันที่ห้องปีกตะวันออกของห้องโถงหลัก หลัวเจิ้นซิ่ง คุณนายใหญ่ อู่เหนียง เฉียนหมิง และสืออีเหนียงให้สาวใช้ทั้งหมดออกไปเพื่อปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดีกับเรื่องนี้
“จะฟ้องศาลไม่ได้เด็ดขาด” เฉียนหมิงเหลือบมองสืออีเหนียง “เรื่องนี้ดูมีเลศนัย หากวุ่นวายไปถึงศาล ก็จะยิ่งยุ่งยากไปอีกสิบเท่าร้อยเท่า คนก็จะเอาไปพูดไม่ดี เมื่อถึงเวลานั้นสิ่งที่ไม่เป็นความจริงก็จะถูกคิดว่าเป็นความจริง ยิ่งไปกว่านั้นสกุลสวีมักจะเก็บตัวเงียบมาตลอด ส่วนน้องเขยสิบก็เป็นคนยิ่งยโส…เกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น”
สืออีเหนียงไม่ได้กลัวสวีลิ่งอี๋ เขามีความเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผล แต่นางกังวลเกี่ยวกับหวังหลัง ไม่แน่เขาอาจจะหย่ากับสือเหนียง หรืออาจจะทำให้สือเหนียงต้องอับอายขายขี้หน้า…
แน่นอนว่าอู่เหนียงเห็นด้วยกับเฉียนหมิง
หลัวเจิ้นซิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า “หรือว่าเราจะทำตามที่จี้หนิงบอก ยอมให้อี๋เหนียงทั้งสองท่านออกบวช โบราณกล่าวไว้ว่า ‘แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน’ ในเมื่ออี๋เหนียงทั้งสองยืนยันที่จะไป ถึงจะห้ามไว้ได้ในตอนนี้แต่ก็ห้ามไม่ได้ตลอดไป หากเป็นเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ไม่มีความสุข”
เฉียนหมิงมองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงคิดว่าทำเช่นนี้ดีกว่า
เช่นนี้ก็เหมือนกับเอาหม้อมาชนไห อี๋เหนียงทั้งสองได้ตัดสินใจทำเรื่องเช่นนี้ไปแล้ว หากไม่ปลีกตัวออกบวชไปอยู่วัดฉือหยวนก็จะถูกสกุลหลัวตราหน้าว่าเป็นอนุภรรยาผู้ทรยศ ถึงแม้ว่าพวกนางจะไม่กลัว แต่ในสกุลหลัวยังมีคนอีกมากมายที่ยังต้องใช้ชีวิตต่อไป…
“ที่พี่ชายใหญ่พูดก็มีเหตุผล” สืออีเหนียงเห็นด้วย
หลัวเจิ้นซิ่งถอนหายใจเบาๆ “ตอนนี้ท่านพ่อโกรธเป็นอย่างมาก ข้าจะไปคุยกับเขา ส่วนเรื่องนี้ก็ปิดบังท่านแม่ไปก่อนชั่วคราว รอให้ท่านแม่ดีขึ้นสักหน่อยแล้วค่อยพูดก็ยังไม่สาย”
ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน
หลัวเจิ้นซิ่งมองไปที่คุณนายใหญ่ “เรื่องนี้ต้องขอให้เจ้าช่วยดูแล อย่าให้สาวใช้พวกนั้นเอาไปพูดต่อหน้าท่านแม่ หากท่านแม่ถามขึ้นมาพวกเราก็อย่าพูดอะไรมั่วๆ ให้บอกไปว่าได้นำคำสั่งจากท่านโหวให้เชิญทางศาลไปจับตัวอี๋เหนียงทั้งสองแล้ว”
ทุกคนต่างพากันพยักหน้า
มีสาวใช้น้อยเดินเข้ามาแล้วเอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า “คุณชายใหญ่ ท่านโหวมาเจ้าค่ะ”
ทุกคนในห้องต่างมีสีหน้าตกใจ
สืออีเหนียงถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในที่สุดลูกเขยอย่างเขาก็มาแล้ว ตัวเองจะได้ไม่ต้องลำบากใจเมื่ออยู่ต่อหน้าคนในครอบครัว
เฉียนหมิงเปิดม่านแล้วเดินออกไปเป็นคนแรก “รีบเชิญเข้ามา” จากนั้นก็เดินออกไปต้อนรับ
เมื่อหลัวเจิ้นซิ่งเห็นเฉียนหมิงออกไปก็ได้สติแล้วเดินตามออกไป
คุณนายใหญ่ อู่เหนียง และสืออีเหนียงก็ออกไปต้อนรับด้วยเช่นกัน
ท่ามกลางแสงสลัวในยามพลบค่ำ สวีลิ่งอี๋เดินมาด้วยท่าทางเย็นชา สายตามองไปที่สืออีเหนียง
สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับเขาด้วยความเคารพ ในเมื่อเขารีบมาเช่นนี้ นางก็ควรให้เกียรติและสุภาพกับเขา
เฉียนหมิงก็คำนับเช่นกัน “ท่านโหว”
หลัวเจิ้นซิ่งได้กล่าวทักทาย “ท่านโหว”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” สวีลิ่งอี๋มองไปที่เขา พูดด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาจนเกินไปแต่น้ำเสียงนั้นดูมีอำนาจ ทำให้ผู้คนเกรงขาม หลัวเจิ้นซิ่งไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอย่างไรดี
เฉียนหมิงเห็นบรรดาคนรับใช้ที่อยู่รอบๆ จึงรีบพูดว่า “พวกเราเข้าไปคุยกันในห้องเถิด”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ตามเฉียนหมิงเดินเข้าไปในห้องปีกทิศตะวันออก ทุกคนพากันนั่งลง เฉียนหมิงได้เล่าเรื่องราวคร่าวๆ อีกรอบ
สืออีเหนียงรู้สึกหน้าร้อนผ่าว
นางรู้สึกอยู่เสมอว่าสวีลิ่งอี๋ดูหมิ่นสกุลหลัว แล้วตอนนี้ก็มาเกิดเรื่องเช่นนี้อีก
สวีลิ่งอี๋เหลือบมองสืออีเหนียง
สังเกตเห็นว่านางนั่งหน้าแดง ท่าทางไม่เป็นธรรมชาติ ราวกับว่าคนที่ทำผิดคือนาง
“สามารถสร้างวัดไว้ในจวนได้หรือไม่” สวีลิ่งอี๋พูดต่อว่า “หากมีปัญหาเรื่องเงิน พวกเราก็ช่วยกันคิดหาวิธี”