สืออีเหนียงคารวะไท่ฮูหยิน พูดถึงเรื่องที่ตัวเองอยากจะเลือกคนของหยวนเหนียงมาทำงานในเรือนของตัวเอง “…หากท่านแม่เห็นด้วย สองสามวันนี้ข้าจะเลือกคนสองสามคนมาก่อนชั่วคราว เมื่อถึงเวลาท่านค่อยช่วยข้าคิดตัดสินใจอีกที”
ไท่ฮูหยินมองนางด้วยสายตาอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีก็ให้เจ้าเป็นคนจัดการอยู่แล้ว เจ้าเป็นคนตัดสินใจเองเถิด”
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน เจินเจี่ยเอ๋อร์กับจุนเกอก็ตื่นนอนพอดี
เด็กทั้งสองคนมาคำนับผู้อาวุโส
จุนเกอถามไท่ฮูหยิน “วันนี้พวกเรายังจะไปหาป้าสะใภ้สองหรือไม่ขอรับ”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมจุนเกอจึงได้พูดเช่นนี้
ไท่ฮูหยินหัวเราะแล้วถามเขา “เจ้าอยากจะไปหรือไม่”
จุนเกอยิ้มจนตาหยี พยักหน้าแล้วพูดว่า “ที่เรือนป้าสะใภ้สองมีซาลาเปาน้ำตาลให้กิน”
ไท่ฮูหยินยิ้ม “เจ้าก็คิดถึงแต่เรื่องกิน”
จุนเกอหัวเราะ
ไท่ฮูหยินพูดกับสืออีเหนียงว่า “…อี๋เจิ้นเป็นคนมีความรู้ ตอนที่ฉินเกอ อวี้เกอ เจี่ยนเกอยังไม่ได้เริ่มเรียนกับอาจารย์ก็ได้เรียนรู้จากนางอยู่บ้างเล็กน้อย ก่อนหน้านี้อากาศร้อน ต่อมาก็เอาแต่ยุ่งอยู่กับงานแต่งงานของพวกเจ้า จึงให้จุนเกออยู่แต่ในเรือน เมื่อวานอี๋เจิ้นทดสอบความรู้ของฉินเกอ พอจุนเกอได้ฟังก็คิดแต่อยากจะเรียนหนังสือ” น้ำเสียงของไท่ฮูหยินเผยให้เห็นความชื่นชมที่จุนเกอเป็นเด็กรู้ประสา
มิน่าล่ะเมื่อวานนี้เด็กทั้งสามคนจึงได้เคารพฮูหยินสองเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงพยายามซ่อนความประหลาดใจไว้ แต่สีหน้ากลับเผยให้เห็นความประหลาดใจเล็กน้อย “ข้าเคยได้ยินว่าพี่สะใภ้สองเป็นคนมีความรู้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะสามารถชี้นำเด็กๆ ให้เข้าใจได้” ยิ้มแล้วมองไปที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ “ความรู้ของเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็คงจะเรียนรู้มาจากฮูหยินสอง!”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้า “อี๋เจิ้นทำเป็นเสียทุกอย่าง บอกว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์มีนิ้วที่เรียวยาว ดังนั้นจึงสอนนางเล่นดนตรีโดยเฉพาะ ตอนนี้ก็เล่นได้สองสามเพลงแล้ว”
สืออีเหนียงมองนิ้วมือของเจินเจี่ยเอ๋อร์โดยไม่รู้ตัว
นิ้วเรียวยาวจริงๆ ด้วย เห็นข้อนิ้วมืออย่างชัดเจน ต่างจากคุณหนูทั่วไปที่ดูอ่อนแอเปราะบาง กลับเผยให้เห็นถึงความแข็งแรงเล็กน้อย
เมื่อเจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นว่าสืออีเหนียงกำลังจ้องมองนาง ก็กำมืออย่างเขินอาย “มือข้าไม่สวย…”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “มือที่มีความตั้งใจนั้นสวยงามเป็นที่สุด”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ประหลาดใจเล็กน้อย
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “หากไม่ฝึกฝนบ่อยๆ นิ้วจะมีแรงได้อย่างไร หากไม่มีแรงแล้วจะบรรเลงเพลงให้ดีได้อย่างไร”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย ใบหน้าแดงระเรื่องดงามเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย
เจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กหญิงที่มีรูปร่างอรชร คิ้วโก่งดั่งพระจันทร์เสี้ยวที่เป็นพิมพ์นิยม แต่นางมีดวงตาใสสงบนิ่ง มีท่าทีสง่าผ่าเผยของบุตรสาวผู้สูงศักดิ์ จะว่าไปแล้วก็เหมือนฮูหยินสองอยู่เล็กน้อย…ไม่เหมือนเหวินอี๋เหนียงเลยสักนิด
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าโชคดี
โชคดีที่ไท่ฮูหยินเลี้ยงเจินเจี่ยเอ๋อร์ไว้ข้างกายของตัวเอง หากให้อยู่กับเหวินอี๋เหนียงกลัวว่าจะกลายเป็นเหวินอี๋เหนียงสองที่พูดไม่หยุดหย่อน…
ไท่ฮูหยินให้เว่ยจื่อไปเตรียมอาหารเพื่อนำไปด้วย จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดกับสืออีเหนียงว่า “พวกเราเองก็ไปเยี่ยมนางสักหน่อย”
ให้ไปเป็นเพื่อนไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงย่อมไม่บ่ายเบี่ยงอยู่แล้ว กำลังยิ้มตอบรับ ฮูหยินสามก็เข้ามาพอดี จับมือสืออีเหนียงแล้วพูดว่า “ข้าไปหาเจ้าที่เรือนมา สาวใช้บอกว่าเจ้ามาหาไท่ฮูหยิน ข้ากะว่าจะปรึกษาเจ้าเรื่องห้องครัวเสียหน่อย”
สืออีเหนียงแกล้งทำเป็นไม่รู้ “เรื่องห้องครัว? ข้าไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ทราบว่าพี่สะใภ้สามจะให้ข้าทำอันใดเจ้าคะ” ท่าทางดูให้ความร่วมมือเป็นอย่างมาก
ฮูหยินสามพูดพล่ามว่าการเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องในเรือนนั้นยากลำบากเพียงใด ค่าใช้จ่ายในเรือนนั้นมากมายแค่ไหน
ไท่ฮูหยินเห็นว่าพวกนางมีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ จึงจูงมือจุนเกอแล้วพูดกับฮูหยินสามและสืออีเหนียงว่า “ข้าจะพาพวกเขาไปหาอี๋เจิ้น พวกเจ้าค่อยๆ คุยกันไปก่อนเถิด”
สืออีเหนียงกำลังคิดเกี่ยวกับข่าวของฝั่งสกุลหลัว ยิ้มตอบรับแล้วส่งไท่ฮูหยินกับเด็กๆ จากนั้นก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง “…พี่สะใภ้สามไปนั่งเล่นที่เรือนข้าก่อน พวกเราจะได้ปรึกษากันไปด้วย”
ฮูหยินสามอยากจะทำให้เรื่องนี้เสร็จเร็วๆ ยิ้มแล้วตามสืออีเหนียงไปที่เรือนของนาง
“…พวกเจ้าเขียนรายการอาหารที่ตัวเองชอบกินมา ข้าจะให้ทางห้องครัวไปหาสูตรวิธีทำมา…ข้าหาน้องสะใภ้สี่ไม่เจอจึงได้ไปหาน้องสะใภ้ห้าก่อนแล้วเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง นางบอกว่าเป็นความคิดที่ดีจึงให้ข้ามาถามน้องสะใภ้สี่ บอกว่าหากเจ้าเห็นด้วยแล้วพรุ่งนี้ก็ให้เริ่มเปลี่ยนแปลงกฎเดิมได้เลย”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้พี่สะใภ้สามเป็นคนดูแลบ้าน เรื่องสถานการณ์ในบ้านไม่มีใครเข้าใจชัดเจนไปกว่าพี่สะใภ้สามแล้ว ในเมื่อพี่สะใภ้สามคิดว่าสิ่งนี้ดี แสดงว่ามันย่อมมีประโยชน์ในตัวของมันเอง ข้าไม่มีความคิดเห็นอะไร เมื่อถึงเวลาท่านก็กำชับป้าอู๋ที่จัดการเรื่องห้องครัวในเรือนข้าได้เลย”
ขั้นตอนทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเหนือความคาดหมายของฮูหยินสาม นางอดที่จะประหลาดใจไม่ได้
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “ฮูหยินสี่ ป้าเถามาเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพูดอย่างเกรงใจกับฮูหยินสามสองสามประโยค จากนั้นก็ส่งฮูหยินสามออกจากเรือน
เมื่อกลับมาที่ห้องป้าเถาก็นำรายชื่อมาให้สืออีเหนียง จากนั้นก็แนะนำผู้คนบนรายชื่อให้กับนางทีละคน“…ท่านคิดว่าใช้ได้หรือไม่เจ้าคะ”
คนที่ป้าเถาเลือกมาให้นางล้วนไม่มีภูมิหลังอะไร เมื่อก่อนเคยเป็นสาวใช้น้อยในเรือนของหยวนเหนียง
สืออีเหนียงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ข้าต้องการเช่นนี้แหละ”
อายุเยอะหน่อยถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์แต่ก็ชอบทำงานตามประสบการณ์ของตัวเอง ส่วนคนที่มีไหวพริบหน่อยก็ได้เป็นสาวใช้ใหญ่ไปนานแล้ว ส่วนคนที่ไม่มีไหวพริบก็ถูกกำจัดไปหมดแล้ว สาวใช้น้อยพวกนี้แม้อายุยังน้อยแต่ก็ได้รับการฝึกฝนมา จากระดับล่างๆ เมื่อได้มาอยู่ในเรือนของตัวเองเพียงไม่นานก็จะได้เป็นสาวใช้ระดับสองระดับสาม โอกาสดีๆ เช่นนี้ควรจะรักษาเอาไว้ให้ดี
เมื่อป้าเถาเห็นว่าสืออีเหนียงพอใจเป็นอย่างมากจึงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นบ่าวจะไปนำคนเหล่านี้มานะเจ้าคะ”
สืออีเหนียงเห็นว่าคุณนายใหญ่ยังไม่มาจึงได้ยิ้มตอบตกลง
ไม่นานป้าเถาก็พาสาวใช้เข้ามาสิบสองคน เป็นหญิงสูงวัยสี่คน
อายุของสาวใช้น้อยราวๆ ประมาณสิบสองสิบสามปี ใบหน้าไร้การเติมแต่ง มองดูแล้วสะอาดสะอ้าน ท่าทางดูมีไหวพริบ ส่วนหญิงสูงวัยอายุประมาณสี่สิบกว่าปี ท่าทางดูเป็นคนซื่อสัตย์ แต่งตัวดูทะมัดทะแมง
พวกนางพากันคำนับสืออีเหนียง จากนั้นก็ยืนเรียงกันอยู่ข้างๆ
ป้าเถาแนะนำให้สืออีเหนียงทีละคน
สามีของหญิงทั้งสี่คนได้ช่วยงานอยู่ที่ไร่ของหยวนเหนียง บางคนก็ทำงานเบ็ดเตล็ดในจวนสกุลสวี ส่วนสาวใช้น้อยอีกแปดคนมีชื่อว่าลี่ว์อวิ๋น หงซิ่ว ซวงอวี้ ฟังซี ชิวอวี่ เยี่ยนหรง ซิ่วหลาน หลานเซวียน ในหมู่ของสาวใช้น้อยลู่อวิ๋นกับหงซิ่วกำลังจะได้เป็นสาวใช้ระดับสอง ส่วนคนอื่นๆ เป็นสาวใช้ระดับสามทั้งหมด
สืออีเหนียงนึกถึงสาวใช้ใหญ่สองคนที่อยู่ข้างกายหยวนเหนียง คนหนึ่งสือว่าลี่ว์เอ้อร์ อีกคนหนึ่งชื่อว่าเยียนหง ดังนั้นจึงสังเกตดูสาวใช้ทั้งสองอย่างละเอียด
หน้าตาธรรมดาเป็นอย่างมาก แต่ท่าทางกลับดูสงบนิ่ง
นางเรียกคนในรายชื่อทีละคนด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็พูดสองสามประโยคว่า “ต่อไปนี้ต้องเชื่อฟังพวกพี่ๆ พยายามปรับตัวให้เข้ากับคนที่นี่” แล้วให้หู่พั่วพาพวกนางออกไป
จากนั้นก็ให้ตงชิงฝนหมึกแล้วเขียนรายชื่อคนเหล่านี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ป้าเถามองดูลายมือของนางอยู่ข้างๆ ลายมือของนางดูสวยงามค่อนข้างอิสระและเรียบง่าย มีความสง่างามแบบสตรี แต่ก็มีความตวัดเหมือนลายมือบุรุษ จึงรู้สึกใจสั่นเล็กน้อย
นายหญิงใหญ่บอกว่านางเชี่ยวชาญด้านการปัก ไม่ชอบอ่านหนังสือ…
นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
สรุปแล้วนายหญิงใหญ่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับสืออีเหนียงผู้นี้มากน้อยแค่ไหน
จึงมีความคิดที่จะหาเวลาว่างไปจวนสกุลหลัวเพื่อสืบถามเสียหน่อย
สืออีเหนียงเห็นว่าป้าเถามีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อเห็นลายมือของตัวเองจึงแอบยิ้มเล็กน้อย
นางเริ่มเรียนเขียนหนังสือตั้งแต่อายุห้าขวบ นอกจากช่วงเวลาสามปีที่อยู่ในจวนสกุลหลัวที่ไม่ได้ฝึกฝน นอกนั้นไม่ว่าเวลาไหนนางก็ฝึกเขียนหนังสืออยู่ตลอดไม่เคยขาด ในเมื่อโบราณมีคำพูดที่ว่า ‘ลายมือสื่อตัวตน’ แล้วจะเอาแต่ทุ่มเทให้กับงานเย็บปักถักร้อยอย่างเดียวได้อย่างไร อย่างไรก็ต้องหัดเขียนตัวอักษรให้ถูกต้อง
เมื่อเขียนรายชื่อเรียบร้อยแล้วสืออีเหนียงก็ส่งให้ป้าเถา “ดูสิว่าเขียนผิดหรือไม่”
ป้าเถามองดูอย่างละเอียด ไม่ผิดเลยแม้แต่ตัวเดียว
ทั้งยังได้รู้ว่าสืออีเหนียงจำชื่อสาวใช้ทั้งหมดได้ ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแต่กลับไม่ถึงขั้นตกตะลึง ตั้งแต่ที่เห็นท่าทีของสืออีเนียงที่มีต่อการรับผิดชอบเรื่องในเรือนของฮูหยินสามมาจนถึงตอนนี้ที่นางสามารถจดจำชื่อคนได้จากการได้ยินแค่เพียงสองครา นางก็ประทับใจในความเฉียบแหลมและความสามารถของสืออีเหนียง ความรู้สึกประหลาดใจจึงได้น้อยลง
สืออีเหนียงเรียกปินจวี๋กับจู๋เซียงมา ให้ทุกคนช่วยกันคิดรายการอาหาร
ป้าเถาสังเกตเห็นว่าสืออีเหนียงรู้จักอาหารมากมาย มีบางอย่างที่แม้แต่นางเองก็ยังไม่เคยได้ยิน
จู๋เซียงมีความลังเล “หากคนครัวทำไม่ได้ล่ะเจ้าคะ”
“ทำได้ไม่ได้ก็เป็นเรื่องของพวกเขา แต่การเขียนรายการอาหารเป็นเรื่องของพวกเรา” ปินจวี๋พูดอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เขียน ‘พระกระโดดกำแพง’ ลงไปในรายการอาหาร “…วัตถุดิบที่ยากที่สุดมีหอยเป๋าฮื้อกับปลิงทะเล แล้วก็มีหมูสามชั้นกับผักกาดขาว ข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่าพวกนางจะทำออกได้หรือไม่” พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหมั่นไส้
ป้าเถาชอบท่าทางเช่นนี้ของนาง
ฮูหยินสามได้เปลี่ยนกฎเดิมของหยวนเหนียง ทำเหมือนกับว่าไม่ยอมรับสิ่งที่หยวนเหนียงเคยทำไว้
สืออีเหนียงยิ้มแล้วกำชับป้าเถา “ไปคิดหาวิธีดูว่าฮูหยินห้าเขียนรายการอาหารอะไรไปบ้าง”
ป้าเถาเข้าใจในทันที
ฮูหยินห้ากำลังตั้งครรภ์ หากฮูหยินสี่ไปหาฮูหยินห้าในเวลานี้ ผู้อื่นเห็นเข้าจะคิดว่าฮูหยินสี่มีบางอย่างแอบแฝง
การทำเช่นนั้นในเวลานี้ ค่อนข้างที่จะเร็วเกินไป
ป้าเถายิ้มตอบรับแล้วออกไป
สืออีเหนียงกำลังเขียนรายการอาหารอยู่กับปินจวี๋และจู๋เซียง เมื่อหู่พั่วกลับมาบอกว่าได้จัดการที่พักให้กับสาวใช้เรียบร้อยแล้ว นางก็ให้หู่พั่วพาปินจวี๋กับจู๋เซียงไปเลือกคน “…พวกเจ้าแต่ละคนไปเลือกผู้ช่วยของตัวเอง ส่วนข้าหากกินอะไรไม่อร่อยข้าก็จะเรียกหาจู๋เซียง หากข้าไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ก็จะเรียกหาแต่ปินจวี๋”
เมื่อทั้งสองได้ยินก็แสดงท่าทางเคร่งขรึมเล็กน้อย แล้วเดินตามหู่พั่วไปเลือกคน
ตงชิงยิ้มแล้วไปชงชามาให้สืออีเหนียงใหม่
สืออีเหนียงรับถ้วยชามา อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ตอนนี้ยามไหนแล้ว”
ตงชิงไปดูนาฬิกา “ผ่านยามเซินมาสักพักแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็อดเป็นกังวลไม่ได้
จนกระทั้งตอนนี้แล้วทำไมคุณนายใหญ่ยังมา หรือว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น
ขณะที่กำลังครุ่นคิดก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “คุณนายใหญ่สกุลหลัวมาเจ้าค่ะ”
“รีบให้นางเข้ามาเร็ว” สืออีเหนียงพูดพลางลุกขึ้นไปต้อนรับ
เมื่อผ้าม่านประตูถูกเปิดออกก็เห็นคุณนายใหญ่ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว บนหัวของนางประดับด้วยปิ่นปักผมไข่มุกสีทอง สวมชุดสีแดง
สีหน้าของนางดูเป็นกังวล
เมื่อสืออีเหนียงได้เห็นก็แอบรู้สึกไม่ดี รีบเข้าไปพยุงมือคุณนายใหญ่ “เกิดเรื่องอันใดขึ้น ทำไมพึ่งมาเอาตอนนี้ล่ะเจ้าคะ”
“แย่แล้ว” คุณนายใหญ่พึ่งจะพูดจบนางก็ร้องไห้ออกมาทันที “เมื่อท่านแม่ได้ฟังว่าอี๋เหนียงทั้งสองจะบวชไปอยู่ที่วัดฉือหยวนก็เป็นลมล้มพับไป”
รู้ว่านายหญิงใหญ่ต้องโกรธแน่ๆ แต่คิดไม่ถึงว่าจะโกรธจนเป็นลมไป
“ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ได้ไปเชิญหมอหลวงหลิวมาจากสำนักหมอหลวงแล้ว” คุณนายใหญ่หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา “จนตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นเลย ตอนข้ามาหมอหลวงหลิวกำลังตรวจจับชีพจร ท่านพ่อก็กังวลจนเอาแต่ดุด่าผู้คน ข้าได้ให้คนส่งจดหมายไปให้พี่ชายใหญ่ของท่านกับอู่เหนียงทางนั้นแล้ว แต่ว่าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสือเหนียงดี ตอนนั้นอู๋เซี่ยวเฉวียนได้ตามคุณชายสี่มาอาศัยอยู่ที่เยี่ยนจิงหนึ่งปีกว่าแล้ว แต่ยังไม่มีใครพูดถึงเรื่องอี๋เหนียงสี่เลย…”