ข้อเสนอของสวีลิ่งอี๋ทำให้ทุกคนเงียบลง
ความตั้งใจจริงของอี๋เหนียงทั้งสองมิใช่การออกบวช แต่ต้องการหนีจากสกุลหลัวต่างหาก มีเพียงการออกบวชและกลายเป็นคนนอกเท่านั้นที่จะทำให้ไม่มีใครตามสืบสาวราวเรื่องอีก การสร้างวัดไว้ในจวน ต่อให้นายท่านใหญ่เห็นด้วย แต่เกรงว่าอี๋เหนียงทั้งสองจะไม่เห็นด้วย
หลัวเจิ้นซิ่งพูดขึ้นมาว่า “ความคิดของท่านโหวดียิ่งนัก รอให้ข้าปรึกษาท่านพ่อก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะไปคารวะพ่อตา จากนั้นก็กลับไปพร้อมกับสืออีเหนียง”
ข้างนอกมีแสงสว่างเล็กน้อย
ทุกคนเดินตามสวีลิ่งอี๋ไปหานายท่านใหญ่ สวีลิ่งอี๋พูดกับนายท่านใหญ่เพียงแค่ว่าได้ยินมาว่านายหญิงใหญ่ป่วยจึงตั้งใจมาเยี่ยม
นายท่านใหญ่ขอบใจในความหวังดีของสวีลิ่งอี๋ พูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” จากนั้นก็เชิญให้สวีลิ่งอี๋อยู่ทานข้าว สวีลิ่งอี๋หาข้ออ้างบอกว่าตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ยืนยันว่าจะกลับจวน นายท่านใหญ่เห็นว่าในจวนกำลังวุ่นวายจึงไม่รั้งสวีลิ่งอี๋ไว้ จากนั้นก็ส่งสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงกลับจวน
ทั้งสองคนต่างก็ขึ้นรถม้าของตัวเอง ทันใดนั้นท่านป้าที่มากับรถม้าได้ยัดห่อของกินใส่มือตงชิง “แม่นาง เอาไปให้ฮูหยินทานรองท้องก่อนเถิด”
ไม่รู้ว่าของสิ่งนี้ได้มาจากที่ใด ตงชิงจะกล้าให้สืออีเหนียงทานได้อย่างไร จึงบอกขอบคุณท่านป้าเป็นมารยาท
ท่านป้าผู้นั้นมีหน้าที่เดินตามรถม้า สายตาแหลมคม ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางอย่าได้รังเกียจเลย ของสิ่งนี้ท่านโหวเป็นคนให้มา”
เมื่อตงชิงได้ยินดังนั้นก็ส่งให้สืออีเหนียงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ท่านโหวคิดถึงท่านเสมอเลยนะเจ้าคะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเปิดห่อของกิน
มันคือซาลาเปาไส้เนื้อ กำลังร้อนอยู่เลย
นางกัดเข้าไปหนึ่งคำ
เป็นไส้หมูกับผักกาดขาว
สืออีเหนียงได้พบข้อดีอีกอย่างของการแต่งงานกับสวีลิ่งอี๋ ตราบใดที่เป็นคนของเขาก็จะได้รับการปกป้องและดูแลจากเขา
******
เมื่อกลับมาถึงเหอฮวาหลี่ ทั้งสองก็ไปคารวะไท่ฮูหยินเหมือนเช่นเคย
ไท่ฮูหยินถามไถ่ถึงอาการเจ็บป่วยของนายหญิงใหญ่
สืออีเหนียงยังไม่ได้ทันได้เอ่ยปากตอบ สวีลิ่งอี๋ก็พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่เป็นอะไรขอรับ อี๋เหนียงทั้งสองต้องการจะออกบวช นายหญิงใหญ่จึงโมโห”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า “นายหญิงใหญ่บ้านสะใภ้ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
สืออีเหนียงกล่าวขอบคุณในความห่วงใยของไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินถามสวีลิ่งอี๋ว่า “ทานข้าวหรือยัง ถ้าหากยังข้าจะให้คนครัวไปทำมาให้”
“ข้าทานมาแล้ว” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เพียงแต่ว่าไม่คุ้นชินกับอาหารของเจียงหนานสักเท่าไร จึงรู้สึกยังไม่อิ่ม อีกสักครู่กลับไปทานบะหมี่สักชามก็คงพอแล้ว”
สืออีเหนียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋จะพูดเช่นนี้ นางจึงรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก เช่นนี้ไท่ฮูหยินจะได้ไม่คิดว่าลูกชายตัวเองไปถึงเรือนพ่อตา แต่พ่อตากลับไม่สนใจลูกเขย แม้แต่ข้าวก็ไม่ให้ทาน…จะว่าไปแล้วสถานการณ์วันนี้ค่อนข้างวุ่นวาย หากอยู่ทานข้าวที่สกุลหลัว เกรงว่ากว่าจะได้กลับจวนก็ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว
เมื่อไท่ฮูหยินได้ฟังก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นคนเลือกกินตั้งแต่เมื่อใดกัน”
สวีลิ่งอี๋เพียงแต่ยิ้มไม่ได้ตอบอะไร
ไท่ฮูหยินนึกขึ้นได้ว่าลูกชายไม่ค่อยชอบแม่ยายสักเท่าไร เกรงว่าจะเป็นลูกชายของตัวเองที่ไม่อยากทานข้าวที่จวนสกุลหลัวจึงไม่ได้ถามอะไรต่ออีก ยิ้มแล้วบอกให้พวกเขากลับเรือน
ทั้งสองคารวะไท่ฮูหยิน จากนั้นก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง
สืออีเหนียงยุ่งอยู่กับการเตรียมบะหมี่ให้สวีลิ่งอี๋
ท่านป้าที่ทำงานในครัวเป็นคนที่ไท่ฮูหยินมอบให้ ดังนั้นนางจึงคุ้นเคยกับรสชาติอาหารที่สวีลิ่งอี๋ชอบกินเป็นอย่างดี บะหมี่ผัดซอสกลิ่นหอมกรุ่น กินกับน้ำแกงใสชามใหญ่ที่ตุ๋นด้วยกระดูกไก่และกระดูกเป็ด สืออีเหนียงเห็นแล้วรู้สึกตะลึงเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเขารักษาหุ่นให้ดีได้อย่างไร…
สวีลิ่งอี๋เห็นสืออีเหนียงซดน้ำแกงคำเล็กๆ บะหมี่ในชามก็กินไปแค่สองเส้นจึงถามนางว่า “ไม่อร่อยหรือ”
“ข้ากินไม่ลงเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงกำลังคิดถึงเรื่องของสือเหนียง
ที่นางไม่กลับไปเยี่ยมนายหญิงใหญ่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแม่สามีของนางไม่สบายจริงๆ หรือว่าเป็นเพียงข้ออ้าง…
สวีลิ่งอี๋กลับนึกถึงนายหญิงใหญ่ที่ป่วยอยู่…ถามอย่างลังเลว่า “หากเจ้าอยากกลับไปเยี่ยมแม่ยายเจ้าก็ไปบอกท่านแม่ด้วยตัวเอง”
พูดเช่นนี้แสดงว่าสวีลิ่งอี๋ยอมให้นางไปเยี่ยมนายหญิงใหญ่ แต่ว่าเขากลับให้ตัวเองไปพูดกับไท่ฮูหยินเอง คงกลัวว่าไท่ฮูหยินจะคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่กล้าพอ แม้แต่จะกลับไปเยี่ยมท่านแม่ก็ยังต้องให้สามีช่วยออกหน้า คงรู้สึกไม่สบายใจกระมัง
สืออีเหนียงรีบพยักหน้า “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ เรื่องนี้ข้าจะไปพูดกับท่านแม่เอง”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางเข้าใจความหมายของตัวเอง ก็พยักหน้าแล้วลุกไปห้องชำระเพื่อล้างหน้าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า
สืออีเหนียงปูเตียงอย่างเป็นระเบียบ นำหมอนมาสะบัดเพื่อปัดฝุ่น จากนั้นก็นำไปจัดวางใหม่อย่างเรียบร้อย
ในตอนกลางคืนนางถามสวีลิ่งอี๋ว่า “พรุ่งนี้ท่านโหวต้องไปว่าราชการแต่เช้าหรือไม่”
“ใช่”
“ต้องไปว่าราชการทุกวันเลยหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่ ทุกวันที่สิบ ยี่สิบ และวันสุดท้ายของเดือนสามารถหยุดพักผ่อนได้ แล้วก็วันเทศกาลอย่างวันปีใหม่ เทศกาลโคมไฟ วันสารทจีน เทศกาลฤดูหนาว…สามารถหยุดพักผ่อนได้”
“เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “อย่างนั้นอีกสี่วันท่านโหวก็จะได้พักผ่อนแล้ว”
“หากฮ่องเต้ไม่พักผ่อน แล้วเหล่าขุนนางจะกล้าพักผ่อนได้อย่างไร”
“ก็จริง” สืออีเหนียงถอนหายใจ “จะว่าไปแล้วการเป็นฮ่องเต้นั้นก็เป็นเรื่องที่ลำบากมากๆ”
“ใช่!”
สืออีเหนียงเงียบไปชั่วครู่ จู่ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านโหวรู้จักไต้ซือจี้หนิงหรือไม่ นางเป็นคนเช่นใดเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋เงียบอยู่นาน จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ดูเหมือนว่านางจะรู้วิชาแพทย์อยู่บ้างเล็กน้อย ดังนี้จึงมักจะเดินผ่านประตูหน้าบ้านผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ ช่วยรักษาโรคตาปลา หรือโรคที่เกี่ยวกับเหน็บชา เมื่อนานวันเข้า บรรดาสตรีก็มักจะชอบให้นางช่วยรักษาให้” จากนั้นก็เล่าต่อว่า “ฮูหยินของเจี้ยนหนิงโหวกับฮูหยินของโซ่วชังปั๋วศรัทธานางเป็นอย่างมาก รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมปิดทองสององค์ที่อยู่ในวัดฉือหยวนก็ได้รับบริจาคมาจากพวกนาง…”
เขากำลังเตือนตัวนางอยู่หรือ
สืออีเหนียงครุ่นคิด
ในขณะนี้สกุลหลัวที่อยู่ตรอกกงเสียนอันห่างไกลจากที่นี่ หลังจากที่ส่งเฉียนหมิงกับอู่เหนียงไปแล้ว พวกเขาก็ยังคงปรึกษากันเรื่องของอี๋เหนียงทั้งสองอยู่ตลอด “…ท่านโหวบอกว่าให้สร้างวัดไว้ในจวน เมื่อข้าได้ฟัง คิดว่าเขาคงหมายความว่าไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน แต่หากท่านพ่อไม่เห็นด้วย เช่นนั้นก็ช่างมันเถิดขอรับ”
นายท่านใหญ่ไม่พูดอะไร เงียบอยู่นาน จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อพวกเจ้าบอกให้ช่างมัน เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด เพียงแต่ว่าท่านแม่ของเจ้า…”
“ข้าได้กำชับไว้แล้ว” เมื่อหลัวเจิ้นซิ่งได้ฟังก็ถอนหายใจ “หากใครกล้าไปพูดต่อหน้าท่านแม่ ข้าจะไม่ปล่อยไว้แน่นอน”
นายท่านใหญ่พยักหน้า พูดอย่างไม่สบายใจว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้ นึกถึงตอนนั้นที่พวกนางทั้งสองไม่อยากมาเป็นอนุ ข้าก็ไม่ได้บังคับ แต่ต่อมาก็เปลี่ยนความคิดที่จะมาอยู่ข้างกายข้า ข้าเองก็เอ็นดูพวกนางเป็นอย่างมาก…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่ากำลังอยู่ต่อหน้าบุตรชาย จึงได้หยุดพูดในทันที
หลัวเจิ้นซิ่งรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย รีบลุกขึ้น ยิ้มแล้วบอกว่า “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ท่านพ่อรีบพักผ่อนเถิด ข้าได้ลางานแล้ว พรุ่งนี้ตอนเช้าจะไปหอซงเฮ่อที่มีชื่อเสียงที่สุดในเยี่ยนจิงเพื่อเชิญท่านหมอมาดูอาการให้ท่านแม่”
นายท่านใหญ่พยักหน้า ส่งบุตรชายออกไป จากนั้นก็กลับเข้าไปในห้อง
เปลวไฟที่ทอดแสงยาว ส่องใบหน้าอันซีดเซียวของนายหญิงใหญ่ ทั้งห้องเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก
อี๋เหนียงหกเชิญนายท่านใหญ่ไปอาบน้ำ “คืนนี้ให้ป้าสวี่เป็นคนดูแลนายหญิงใหญ่เถิดเจ้าค่ะ”
นายท่านใหญ่ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าจะเป็นคนดูแลนางเอง” พูดพลางจัดมุมผ้าห่มให้ภรรยา
เมื่ออี๋เหนียงหกเห็นก็ตกตะลึงเล็กน้อย
******
สืออีเหนียงไม่ชอบระบบเช่นนี้เป็นอย่างมาก นางต้องตื่นยามโฉ่วทุกวัน
เมื่อส่งสวีลิ่งอี๋ไปแล้ว นางก็หาวแล้วล้มลงบนเตียง
ตงชิงรีบมาเปลี่ยนชุดให้นาง
“ไม่ต้องหรอก” นางหลับตาแล้วพูดอย่างเกียจคร้านว่า “อีกสองชั่วยามข้ายังต้องไปคารวะไท่ฮูหยิน”
ตงชิงปิดปากหัวเราะ
สืออีเหนียงพูดอย่างสะลึมสะลือว่า “เจ้าไปช่วยจัดการหน้าที่ให้กับชุนมั่วและซย่าอีสักหน่อย เช่นนั้นจะเป็นการทรมานพวกนางมากเกินไป แต่ว่าวิธีที่ดีที่สุดคือปล่อยให้พวกนางทั้งสองคนได้มีประสบการณ์ มิฉะนั้นนางก็ทำได้เพียงปรนนิบัติไปวันๆ เช่นนี้”
ตงชิงยิ้มตอบรับ สืออีเหนียงหลับอีกสักครู่แล้วจึงตื่นขึ้นมา
อี๋เหนียงทั้งสามมารอใต้ชายคาตั้งแต่เช้า
รอใต้ชายคาเรือน? ต่อให้ไปคารวะไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินก็ไม่เคยให้ใครรออยู่ใต้ชายคาเรือน
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย กำชับหู่พั่วว่า “คราวหลังให้พวกนางไปรอที่ห้องโถง”
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไปเชิญอี๋เหนียงทั้งสามเข้ามา
เมื่อคารวะเสร็จเหวินอี๋เหนียงก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า “ได้ยินว่านายหญิงใหญ่ป่วย ป่วยเป็นอะไรหรือ ดีขึ้นแล้วหรือยัง ต้องการยาดีอะไรหรือไม่”
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก อายุมากแล้วก็เลยป่วยเป็นธรรมดา” สืออีเหนียงบอกปัดอย่างคลุมเครือ จากนั้นก็ไปหาไท่ฮูหยิน
หลังจากคารวะและถามสารทุกข์สุกดิบเรียบร้อย สืออีเหนียงก็พูดเรื่องที่จะกลับไปเยี่ยมสกุลเดิม
ไท่ฮูหยินตอบตกลงในทันที แล้วยังให้ป้าตู้ไปนำยามาให้สืออีเหนียง “เอาไปให้แทนข้าที รอให้นางดีขึ้นมาสักหน่อยแล้วข้าจะไปเยี่ยมนาง”
สืออีเหนียงเอ่ยขอบคุณไท่ฮูหยิน จากนั้นก็พาตงชิงกลับสกุลหลัว
นางพบกับอู่เหนียงอยู่ที่ประตู
ทั้งสองคนต่างก็ตกใจทั้งคู่ จากนั้นก็ยิ้มคำนับแล้วเดินเข้าจวนไปด้วยกัน
เมื่อคุณนายใหญ่รู้ข่าวก็รีบออกมาต้อนรับ
สืออีเหนียงนำยาที่ไท่ฮูหยินมอบให้ส่งให้นาง “น้ำใจจากไท่ฮูหยินเจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่กล่าวขอบคุณ นำยาส่งให้ซิ่งหลินที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็พาทั้งสองคนไปที่เรือนใน
ท่านป้าสวี่ขวางทั้งสามคนอยู่ด้านนอก
“พวกบ่าวกำลังล้างหน้าให้นายหญิงใหญ่อยู่เจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่เงยหน้ามองขึ้นฟ้า “ในเวลานี้…”
แสงสว่างในแววตาของป้าสวี่ได้มืดลง เงียบอยู่นานจากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “นายหญิงใหญ่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เจ้าค่ะ”
ทั้งสามคนมองหน้ากัน
ป้าสวี่ไม่มีเวลามาต้อนรับคุณหนูทั้งหลาย เดินหันหลังกลับเข้าเรือนไป
คุณนายใหญ่และคนอื่นๆ ยืนรออยู่ที่ลานครู่หนึ่ง
“พี่ชายใหญ่ของเจ้าไปเชิญหมอที่หอซงเฮ่อตั้งแต่เช้าแล้ว” คุณนายใหญ่ยิ้มอย่างลำบากใจ แล้วพูดว่า “หวังว่าจะรักษาอาการป่วยของท่านแม่ได้”
“เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้” สืออีเหนียงมั่นใจว่านายหญิงใหญ่ต้องเป็นโรคอัมพฤกษ์อย่างแน่นอน “ค่อยๆ รักษาไปตามอาการก็พอแล้ว”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” คุณนายใหญ่ถอนหายใจ มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “คุณชายใหญ่กลับมาแล้ว แล้วยังพาหมอมาด้วยเจ้าค่ะ”
พวกนางรีบพากันหลบไปอยู่ที่ห้องปีกตะวันออก รอให้หมอไปแล้วจึงค่อยออกมา
เมื่อได้เทียบยามาหลัวเจิ้นซิ่งก็ส่งคนไปซื้อยา คุณนายใหญ่รีบเข้ามาถามไถ่อาการ
เขายิ้มอย่างไม่สบายใจ “เกรงว่าคงจะต้องค่อยๆ รักษาไปตามอาการ อย่าให้ท่านแม่ต้องโมโหอีก”
คุณนายใหญ่กับอู่เหนียงอดถอนหายใจไม่ได้
หลัวเจิ้นซิ่งพูดกับอู่เหนียงและสืออีเหนียงว่า “พวกเจ้าเองก็เป็นคนมีครอบครัวมีสามีแล้ว อาการป่วยของท่านแม่ครั้งนี้คงจะไม่หายง่ายๆ พวกเจ้าไม่ต้องกลับมาทุกวันหรอก มีเวลาก็ค่อยมาเยี่ยมเยียนก็เพียงพอแล้ว หากมีเรื่องอะไรข้าจะส่งคนไปบอกกล่าวกับพวกเจ้าเอง”
ทั้งสองคนพยักหน้า ป้าสวี่จัดการทุกอย่างเสร็จพอดีจึงได้เข้าไปเยี่ยมนายหญิงใหญ่ด้วยกัน
เห็นว่านางพูดอะไรไม่ได้ ได้แต่จ้องมองก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย
สืออีเหนียงถามเรื่องงานแต่งของหลัวเจิ้นเซิง “…ต้องเปลี่ยนฤกษ์หรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก” หลัวเจิ้นซิ่งพูดต่อว่า “อีกไม่กี่วันท่านพ่อก็จะออกเดินทางแล้ว พอจัดการงานแต่งของน้องสี่เสร็จก็จะกลับมาทันที”
ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นแล้ว
จากนั้นก็ถามถึงสือเหนียง “ได้ให้คนไปส่งจดหมายหรือยังเจ้าคะ”
“ส่งแล้ว” หลัวเจิ้นซิ่งมีสีหน้าไม่ดีเล็กน้อย “เห็นบอกว่าฮูหยินของเม่ากั๋วกงก็ไม่สบายอยู่เช่นกัน รอผ่านไปสักสองสามวันหากมีเวลาว่างจะกลับมาเยี่ยม”
อู่เหนียงส่งเสียง “เหอะ” อย่างเย็นชา สืออีเหนียงจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ได้ยินมาว่าฮูหยินของเม่ากั๋วกงปีนี้ก็อายุห้าสิบต้นๆ แล้ว อีกทั้งตอนนี้ก็เป็นฤดูใบไม้ร่วงพอดี ก็ไม่แปลกที่จะไม่สบายอยู่บ้าง”