ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 109 สกุลเดิม (ต้น)

ตอนที่ 109 สกุลเดิม (ต้น)

อีกสองวันข้างหน้าระดูของสืออีเหนียงก็จะมาแล้ว

นางอดถอนหายใจไม่ได้

จะว่าไปแล้วประจำเดือนของนางไม่เคยตรงมาก่อนเลย นางกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปเช่นนี้ นางจึงอารมณ์ไม่ดีอยู่ครู่หนึ่ง

ป้าเถาพูดเตือนนาง “ท่านเตรียมจะให้ใครเป็นสาวใช้ห้องข้างหรือเจ้าคะ”

สืออีเหนียงชะงักไปชั่วขณะ

หลังจากแต่งงานแล้วนางรู้สึกว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญกับความสวยงามมากนัก บวกกับที่ทั้งสองมีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยากันแล้ว แล้วก็ยังมีอนุภรรยาอีกสามคน…ไม่ได้รู้สึกว่าสวีลิ่งอี๋จะต้องการสาวใช้ห้องข้าง

เมื่อป้าเถาเห็นว่าสืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไรจึงคิดว่านางรู้สึกไม่สบายใจ รีบพูดเกลี่ยกล่อมนางว่า “ต่อให้ตำแหน่งใหญ่แค่ไหนก็เป็นแค่ทาสรับใช้ในเรือนท่านอยู่ดี จะอยู่หรือจะตาย จะถูกเชิดชูหรือถูกกดดัน ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับคำพูดของท่าน บ่าวคิดว่าตงชิงกับหู่พั่วนั้นเหมาะสมทั้งคู่ ฮูหยินควรจะพิจารณาสักหน่อยนะเจ้าคะ”

ตงชิง?

เหตุใดจึงพูดถึงนาง

สืออีเหนียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก

ป้าเถาอธิบายด้วยรอยยิ้ม “บ่าวเห็นว่าตงชิงโตขนาดนี้แล้วแต่ยังไม่ได้แต่งงาน คิดว่า…”

สืออีเหนียงรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่ ไม่ใช่ นางรับใช้ข้ามาตั้งแต่เด็ก ข้าต้องการจะเลือกสิ่งที่ดีให้กับนาง”

ป้าเถาไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ เพียงแค่กำชับซ้ำไปซ้ำมาอยู่ไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ถอยออกไป

หรือว่าจะต้องเตรียมหาสาวใช้ห้องข้างจริงๆ

สืออีเหนียงรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก

หลักๆ คือไม่มีคนที่สามารถไว้ใจปรึกษาเรื่องต่างๆ ได้ ไม่รู้ว่านี่เป็นกฎของจวนสวีหรือเป็นความคิดของป้าเถากันแน่

นางตัดสินใจรอดูท่าทีของสวีลิ่งอี๋ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

แต่ถ้าจะให้นางบอกสวีลิ่งอี๋เกี่ยวกับสภาวะร่างกายของตัวเองในตอนนี้ นางก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเช่นกัน

คิดไปคิดมาจึงกำชับให้ป้าเถาเป็นคนไปบอก

พอกลับมาถึงห้องในตอนกลางคืน สวีลิ่งอี๋ก็มีท่าทีไม่ต่างจากวันปกติทั่วไป พอเห็นนางอ่านหนังสือก็ถามนางว่าอ่านถึงไหนแล้ว

สืออีเหนียงไม่รู้ว่าป้าเถาบอกเขาหรือยัง นางยิ้มพลางพูดกับเขาสองสามประโยค จากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็เข้านอนไปก่อน

วันรุ่งขึ้นสืออีเหนียงถามป้าเถาว่า “ท่านโหวว่าอย่างไรบ้าง”

“ท่านโหวบอกแค่ว่า ‘รู้แล้ว’ เจ้าค่ะ” สีหน้าของป้าเถาดูสับสนเล็กน้อย

ในเมื่อตัวละครหลักอย่างเขายังไม่ออกความคิดเห็นอะไรเลย เช่นนั้นคนอื่นๆ ที่เป็นตัวประกอบก็ไม่จำเป็นต้องมากังวล

สืออีเหนียงให้ป้าเถาออกไป

เรื่องสาวใช้ห้องข้างก็ให้มันจบเพียงเท่านี้

ไท่ฮูหยินเห็นว่าสืออีเหนียงมาคารวะตัวเองด้วยสีหน้าปกติอย่างตรงเวลาทุกวัน จึงอดพึมพำในใจไม่ได้ ตั้งใจกำชับให้ป้าตู้ไปที่ห้องซักล้างเพื่อถามโดยเฉพาะ เมื่อรู้ว่านางไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จึงอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ “ไม่ได้บอกว่าทั้งสองคนเข้ากันได้ดีหรอกหรือ”

ป้าตู้หัวเราะเบาๆ “จะให้เร็วขนาดนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ ยิ่งไปกว่านั้นนางอายุยังน้อย นี่ยิ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนางเลยเจ้าค่ะ”

“ข้าอายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น” ไท่ฮูหยินรู้สึกเศร้าเล็กน้อย “ข้าก็ไม่รู้ว่าจะทันได้เห็นหรือไม่”

“บ่าวยังคิดจะปรนนิบัติท่านไปอีกสามสิบปีนะเจ้าคะ” ป้าตู้ยิ้มพลางพูดว่า “บ่าวยังไม่ยอมแก่เลย ท่านจะยอมแก่เสียแล้วหรือเจ้าคะ”

“สามสิบปี!” เมื่อไท่ฮูหยินได้ฟังก็หัวเราะ“ เจ้าจะให้ข้ากลายเป็นปีศาจพันปีหรือ”

“ในครอบครัวมีผู้อาวุโสก็เหมือนมีสมบัติล้ำค่า” ป้าตู้ยิ้มพลางพูดปลอบใจไท่ฮูหยิน “ฮูหยินสี่อายุยังน้อย อย่างไรก็ท่านก็ต้องคอยดูแลสั่งสอนนางอีกสักสองสามปี หากต่อไปนางมีหลานให้ท่าน เรื่องก็จะยิ่งมากขึ้น นางยังเยาว์วัยจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรเจ้าคะ”

“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล” ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างมั่นใจ “เรื่องอื่นข้าไม่กล้าอวด แต่เรื่องเลี้ยงเด็กข้าเชี่ยวชาญที่สุด…”

******

เมื่อเดือนสิบมาถึง ก็ได้รับปฏิทินโหราศาสตร์ แจกเสื้อกันหนาวให้สาวใช้ แต่ว่าอาการป่วยของเฉียวเหลียนฝังกลับยังไม่ดีขึ้น

สืออีเหนียงเรียกซิ่วหยวนสาวใช้ของนางมาถาม นางบอกเพียงว่ากลางคืนนอนไม่หลับ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว นางจึงได้ไปเชิญท่านหมอหลิวจากสำนักหมอหลวงมาดูอาการ

ท่านหมอหลิวกำลังต้มน้ำแกงบำรุงหัวใจอยู่

เมื่อสืออีเหนียงเห็นใบสั่งยาแล้ว ก็เชิญท่านหมอหลิวมาตรวจดูอาการอีกทุกห้าวัน จากนั้นก็ให้ป้าเถาส่งเขากลับไป ให้สาวใช้ไปเรือนนอกเพื่อจัดเตรียมยาตามใบสั่งยา

สวีลิ่งอี๋กลับมาพอดี “ใครไม่สบาย”

“เฉียวอี๋เหนียงเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ได้เชิญท่านหมอหลิวมาตรวจแล้ว เขาได้ให้ยาบำรุงหัวใจมา ข้าดูแล้วเป็นยาบำรุงม้ามและยาคลายประสาท จึงให้สาวใช้ออกไปหาซื้อ”

สวีลิ่งอี๋พยักหน้า จากนั้นก็ไปเยี่ยมเฉียวเหลียนฝัง

สืออีเหนียงตามไปด้วย

นางอาศัยอยู่ที่เรือนกลางทิศตะวันออก ฝั่งตะวันตกได้เปิดประตูเล็กสีดำไว้เล็กน้อย มีห้องหลักสามห้อมพร้อมห้องเอ่อร์ฝัง ห้องปีกทิศตะวันออกและห้องปีกทิศเหนือสามห้อง มีระเบียงทางเดินสี่ด้าน ข้างบันไดของห้องหลักมีต้นมู่ฝูหรงหนึ่งต้นที่เต็มไปด้วยดอกตูม ที่ลานในเรือนมีแปลงดอกไม้เล็กๆ เนื่องจากเป็นฤดูใบไม้ร่วงดอกเบญจมาศหลากสีและดอกกุหลาบพันปีต่างก็เบ่งบานสะพรั่ง

เมื่อเห็นว่าสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงมา สาวใช้น้อยสองคนที่ยืนอยู่หน้าม่าน คนหนึ่งวิ่งเข้าไปรายงาน ส่วนอีกคนหนึ่งวิ่งออกมาต้อนรับ พอพวกเขาเข้ามาในห้อง ซิ่วหยวนก็ได้พยุงเฉียวเหลียนฝังออกมาต้อนรับ

“ท่านโหว ฮูหยิน” สีหน้าของนางซีดเผือก ร่างกายซูบผอมลงไปไม่น้อย ร่างที่ผอมเพรียวเรียวบางของนางตอนนี้ผอมราวกับต้นหลิว

สวีลิ่งอี๋ตกใจอย่างเห็นได้ชัด

“ทำไมเจ้าจึงป่วยขนาดนี้”

เฉียวเหลียนฝังยิ้มเจื่อน “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ตอนกลางคืนอ่านหนังสือไม่ได้ปิดหน้าต่าง ทำให้ท่านโหวและฮูหยินต้องเป็นห่วง” ดวงตาสวยงามคู่นั้นมองสวีลิ่งอี๋อย่างไม่ละสายตาไปแม้แต่วินาทีเดียว

จากที่สืออีเหนียงชอบวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ จึงเจอสถานการณ์เช่นนี้มาไม่รู้เท่าไรแล้ว ในใจจึงเข้าใจขึ้นมาทันที…

จู่ๆ นางก็เข้าใจขึ้นมาว่าทำไมเฉียวเหลียนฝังจึงถูกหลอกได้

ตัวเองที่เป็นภรรยาอย่างออกหน้าออกตาก็ยังไม่กล้าหวังอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางที่เป็นเพียงอนุ…เมื่อคนเราไม่สามารถหาตำแหน่งสำหรับตัวเองได้ก็ง่ายที่จะคิดทำสิ่งไม่ดี

สืออีเหนียงอดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้

แต่สวีลิ่งอี๋กลับดูเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร หรือบางทีอาจจะมีสายตาเช่นนี้มองมาที่เขาบ่อยเกินไป จึงรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดา…

เขากำชับเบาๆ ว่า “พักผ่อนให้เยอะๆ ต่อไปต้องระวังกว่านี้”จากนั้นก็ไปหาไท่ฮูหยินพร้อมกับสืออีเหนียง

ช่วงนี้ทุกคนมักจะทานอาหารเย็นด้วยกัน ทำให้ไท่ฮูหยินอามรณ์ดี จึงกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว

เมื่อทานอาหารเสร็จทุกคนก็ไปที่ห้องปีกทิศตะวันตกเพื่อดื่มชา

ไท่ฮูหยินถามสืออีเหนียงว่า “เจ้าจะกลับไปอยู่กี่วัน”

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “หากท่านแม่ตกลง ข้าอยากจะกลับไปอยู่สี่วัน”

นางได้ถามป้าเถาแล้ว ตอนนั้นฮูหยินสามกลับไปสี่วัน หยวนเหนียงกลับไปหกวัน แต่ฮูหยินห้ากลับไปสิบสองวัน

ไท่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย พูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นก็กลับไปหกวันเถิด นายหญิงใหญ่บ้านสะใภ้กำลังป่วยอยู่ เจ้ากลับไปก็จะได้ไปปรนนิบัตินางด้วย”

สืออีเหนียงตอบด้วยความซาบซึ้งใจว่า “เจ้าค่ะ”

ตอนกลางคืนอารมณ์ดีเป็นอย่างมากจึงนอนอ่านหนังสือ

สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางกลับมาเป็นปกติ จึงยิ้มแล้วไปเข้านอนเองคนเดียว

สองวันผ่านไปหลัวเจิ้นซิ่งก็มารับนางกลับจวน

นางให้หู่พั่วอยู่ที่เรือน จากนั้นก็พาปินจวี๋และจู๋เซียงไปบอกลาไท่ฮูหยินแล้วกลับไปที่ตรอกกงเสียน

ซื่อเหนียงและอู่เหนียงรออยู่ในห้องนานแล้ว เมื่อไปพบนายหญิงใหญ่นางก็มอบรองเท้าและถุงเท้าให้ คุณนายใหญ่และคนอื่นๆ สืออีเหนียงกลับไปที่ห้องเดิมของนาง สาวใช้เปิดหีบหยิบผ้าห่มและเครื่องใช้ที่นำมาจากจวนสวีออกมา ปินจวี๋ปรนนิบัติสืออีเหนียงล้างหน้าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็นั่งสนทนาอยู่กับคุณนายใหญ่ ซื่อเหนียงและอู่เหนียง ป้าหังมารายงานว่าได้จัดเตรียมงานเลี้ยงไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกคนได้ย้ายไปทานอาหารกลางวันที่เรือนคุณนายใหญ่ จากนั้นสืออีเหนียงก็กลับไปพักผ่อนที่ห้อง คุณนายใหญ่ได้จัดการให้ซื่อเหนียงและอู่เหนียงไปพักผ่อนที่เรือนเดิมที่อู่เหนียงเคยอาศัยอยู่ เมื่อตื่นขึ้นมาตอนบ่ายก็ไปเยี่ยมนายหญิงใหญ่ ทุกคนนั่งล้อมรอบอยู่ข้างเตียง คุณนายใหญ่และซื่อเหนียงคอยดูแลอู่เหนียงที่กำลังตั้งครรภ์ สืออีเหนียงมองดูด้วยรอยยิ้ม ชอบความรู้สึกที่ได้กลับจวนเช่นนี้เป็นอย่างมาก

สภาพจิตใจของนายหญิงใหญ่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เย็นนี้จะจัดงานเลี้ยงในห้องของนายหญิงใหญ่

หลังจากทานข้าวเสร็จซื่อเหนียงกับอู่เหนียงก็เดินทางกลับจวน ส่วนคุณนายใหญ่ได้ไปส่งสืออีเหนียงกลับที่พัก

ปินจวี๋สั่งให้บรรดาสาวใช้น้อยเทน้ำอุ่นปรนนิบัติสืออีเหนียงอาบน้ำผลัดผ้า

“ผ่านไปเพียงแค่หนึ่งเดือน ทำไมบ่าวรู้สึกเหมือนว่าที่นี่เล็กลง จะทำอะไรก็ไม่สะดวกเลยเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เคยอยู่อย่างลำบากแล้วไปอยู่ที่สบายนั้นง่ายแต่ถ้าเคยอยู่ที่สบายแล้วมาอยู่ที่ลำบากนั้นเป็นเรื่องยาก”

“เช่นนั้นพวกเราก็อย่าทำให้ตัวเองต้องลำบากเลยเจ้าค่ะ” ปินจวี๋ยิ้มพลางปูเตียงให้สืออีเหนียง “พวกเราคอยอยู่รับใช้ท่านโหว อยู่รับใช้ตระกูลสวีดีกว่า”

“หืม?” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เจ้าอยากอยู่ที่จวนสวีอย่างนั้นหรือ”

ปินจวี๋พยักหน้า “อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกไล่หรือขายไปอย่างไร้เหตุผลเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย

นางก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน

ความกังวลและความกลัวในอดีตได้จบลงแล้ว ต่อจากนี้ความสุขและความเศร้าโศกจะกลายเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตเท่านั้น

นางนอนอยู่บนเตียงด้วยความพึงพอใจ “ในที่สุดก็ไม่ต้องตื่นยามโฉ่วแล้ว”

ปินจวี๋และคนอื่นๆ พากันปิดปากหัวเราะ

แต่สุดท้ายวันรุ่งขึ้นก็ตื่นยามโฉ่วเหมือนเดิม

นาฬิกาชีวิตได้ถูกปรับเปลี่ยนไปแล้ว

สืออีเหนียงมองกระโจมสีดำมืดด้วยรอยยิ้ม คิดถึงตงชิงขึ้นมา ไม่รู้ว่านางใช้ชีวิตที่ตรอกจินอวี๋ด้านตะวันตกของเมืองเป็นอย่างไรบ้าง ว่านต้าเสี่ยนบุตรชายคนโตของว่านอี้จงดูแล้วไม่เลวเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าทั้งสองจะต้องตากันหรือไม่ หากตงชิงแต่งงาน ตัวเองก็ต้องซื้อของให้นางสักหน่อย

เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็นึกถึงหีบเงินที่ว่างเปล่าของตัวเอง

เมื่อใดจะเติมมันให้เต็มได้สักที…

คิดไปคิดมาจนเผลอหลับไปจนสายโด่งกว่าจะตื่น จึงต้องรีบลุกไปคารวะนายหญิงใหญ่

คุณนายใหญ่ได้เตรียมอาหารเช้าไว้นานแล้ว เมื่อเห็นสืออีเหนียงก็พูดหยอกล้อนางว่า “หรือว่าเตียงที่เรือนตัวเองจะนอนหลับสบายกว่า”

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”

หลังจากรับประทานอาหารเช้าก็พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย

สืออีเหนียงหยิบเครื่องปักออกมาทำงานปัก

คุณนายใหญ่เห็นว่าเป็นเสื้อคลุมสีแดงของเด็ก ตรงมุมเสื้อมีเซียนที่ถูกล้อมรอบด้วยกวางสามตัวที่ท่าทางต่างกัน นางดึงมาดูอยู่นาน “ดูฝีมือของคุณหนูสิ กวางตัวนี้ดูเหมือนจะวิ่งออกมาแล้ว”

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เป็นงานปักที่ข้าทำให้ฮูหยินห้า หากพี่สะใภ้เห็นว่าสวย เช่นนั้นข้าจะยกให้แล้วทำอีกอันให้ตานหยาง เมื่อสองวันก่อนนางให้ข้าช่วยทำงานปักให้หลานชายที่ยังไม่เกิด”

คุณนายใหญ่พูดเสียงเบาว่า “เจ้าทำเพียงแค่รองเท้าและถุงเท้าเล็กๆ น้อยๆ สำหรับเด็กก็พอแล้ว เจ้ามิใช่คนในห้องเย็บปักในจวนของพวกเขาเสียหน่อย”

“แต่ในจวนของพวกเรามีไท่ฮูหยินนี่สิ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ไท่ฮูหยินเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้หลานชาย”

“แล้วเมื่อใดเจ้าจะมีบ้าง” คุณนายใหญ่มองนางด้วยรอยยิ้ม

สืออีเหนียงหน้าแดงเล็กน้อย “ยังไม่ถึงเวลา ต้องรอให้จุนเกอโตกว่านี้หน่อย”

เมื่อคุณนายใหญ่ได้ฟังแววตาก็มีความหม่นหมองเล็กน้อย จากนั้นก็บอกว่าสองวันมานี้ลูกแพรกำลังหวาน จะให้คนไปซื้อที่ถนนซีต้ามาให้สืออีเหนียงชิมสักหน่อย

สืออีเหนียงรู้ว่านางกำลังเปลี่ยนเรื่อง จึงตามน้ำไป “พี่สะใภ้อย่าลืมซื้อรากบัวสดๆ กลับมาด้วยนะเจ้าคะ พวกเรามาทำข้าวเหนียวรากบัวกินกัน”

คุณนายใหญ่พยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เพียงแต่รากบัวเท่านั้น ต้องให้คนไปซื้อข้าวโพดมาด้วย พวกเรามาย่างข้าวโพดกินกัน”

เมื่อพูดถึงเรื่องกินทุกคนก็พากันดีใจขึ้นมา คุณนายใหญ่ควักเงินห้าตำลึงให้ซิ่งหลิน ให้นางส่งคนไปซื้อของ ตอนบ่ายนึ่งข้าวเหนียวแล้วก็ละลายน้ำตาลกุ้ยฮวากับน้ำตาลซานจา ทุกคนเลือกน้ำตาลที่ชอบแล้วนำมาราดลงบนข้าวเหนียวรากบัว

ทันใดนั้นในครอบครัวก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข

หลังจากย่างข้าวโพดแล้วก็ให้คนไปซื้อหัวแกะ เนื้อตุ๋นซีอิ๊ว และอาหารต่างๆ กลับมากิน เมื่อถึงตอนเย็นเฉียนหมิงก็มารับอู่เหนียง หลัวเจิ้นซิ่งชวนเฉียนหมิงอยู่กินลี้ยง เมื่อพลบค่ำจึงกลับไปแล้วค่อยกลับมาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น บรรยากาศครึกครื้นเป็นอย่างมาก นายหญิงใหญ่กำชับคุณนายใหญ่ว่า “ต้องซื้ออาหารจากหอชุนซีเท่านั้น”

หลัวเจิ้นซิ่งหัวเราะเสียงดัง “ตอนนี้ท่านแม่โปรดปรานลูกเขยห้ามากที่สุด”

มีรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าแข็งทื่อของนายหญิงใหญ่

เฉียนหมิงแสร้งทำเป็นพูดโอ้อวด “แน่นอน จะหาลูกเขยที่มีพรสวรรค์อย่างข้าได้ที่ใดอีก”

ทำเอาทุกคนพากันหัวเราะ

สืออีเหนียงอดถอนหายใจไม่ได้

สิ่งที่เฉียนหมิงทำอยู่ในตอนนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ยากเสียจริง

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท