หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “ต่อมาคุณหนูใหญ่ส่งชิวหลัวไปรับใช้ท่านโหวที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น ก็ถือว่านางยอมอ่อนข้อแล้ว ทั้งสองคนก็ค่อยๆ คืนดีกัน” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของนางก็มีความลังเล
“ให้เจ้าไปถามมา ไม่ได้ให้เจ้าเอามาพูดแค่ครึ่งหนึ่งแล้วเหลือไว้ครึ่งหนึ่ง!” สืออีเหนียงขมวดคิ้ว
หู่พั่วรีบอธิบาย “บ่าวแค่ได้ยินป้าเซี่ยงพูดเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ บ่าวคิดว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่” นางพูดเบาๆ “ป้าเซี่ยงบอกว่า ชิวหลัวคนนั้นหน้าตาเหมือนถงอี๋เหนียงที่เสียชีวิตไปแล้ว ตอนนั้นทุกคนในจวนพูดกันว่า บอกว่าคุณหนูใหญ่ทำให้ถงอี๋เหนียงต้องตาย ตอนนี้นางจึงให้ชิวหลัวที่หน้าตาเหมือนถงอี๋เหนียงไปแทน ท่านโหวจึงหายโกรธ”
สวีลิ่งอี๋หายโกธรภรรยาเอกเพราะว่าอนุภรรยา?
สืออีเหนียงนึกถึงสีหน้าที่เย็นชาของเขา นางก็อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าเชื่อเรื่องนี้หรือไม่”
หู่พั่วกระอึกกระอัก “ไม่เชื่อแน่นนอนเจ้าค่ะ”
หากไม่เชื่อ จะกระอึกกระอักทำไมกัน
แม้แต่คนที่ฉลาดอย่างหู่พั่วยังคิดว่าท่านโหวให้ความสำคัญกับถงอี๋เหนียง นับประสาอะไรกับคนอื่นกันเล่า
สืออีเหนียงยิ้ม นางเปลี่ยนเรื่อง “หลังจากที่ถงอี๋เหนียงเสียชีวิตแล้ว ไท่ฮูหยินกล่าวอะไรหรือไม่”
“ไท่ฮูหยินไม่ได้พูดอะไรเลยเจ้าค่ะ” หู่พั่วพูด “แต่ฮูหยินสองกลับให้ฉินอี๋เหนียงไปคอยรับใช้อยู่ที่เรือนไท่ฮูหยิน ได้ยินป้าเซี่ยงบอกว่า ก่อนที่คุณชายสองจะคลอด ฉินอี๋เหนียงและฮูหยินสองกินนอนด้วยกัน เข้าออกด้วยกัน คุณหนูใหญ่ยังเคยไปหาฮูหยินสองเพราะเรื่องนี้ แต่ไม่รู้ว่าฮูหยินสองพูดอันใด ฉินอี๋เหนียงจึงดูแลครรภ์อยู่ที่เรือนของไท่ฮูหยิน”
ไม่แปลกที่คนในจวนจะบอกว่าหยวนเหนียงเป็นคนทำให้ถงอี๋เหนียงตาย…
สืออีเหนียงพึมพำ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าชิวหลัวเสียชีวิตเช่นไร”
“เสียเลือดมากตอนที่คลอดลูกเจ้าค่ะ!”
“แล้วเด็กเสียชีวิตเช่นไร”
หู่พั่วพูดเบาๆ “มีคนบอกว่าเด็กคนนั้นเกิดออกมาก็ไม่ปกติ คุณหนูใหญ่เชิญหมอหลวงสามคนที่เชี่ยวชาญในด้านดูแลเด็กทารกที่ดีที่สุดในสำนักหมอหลวงมารักษา แต่ก็รักษาไม่หายเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นไท่ฮูหยินและท่านโหวคงจะเสียใจมากเลยใช่หรือไม่”
ต้าโจวมีแนวคิดปฏิบัติที่ว่า ‘ไร้บุตร ปลดบรรดาศักดิ์’ หากเป็นบุตรบุญธรรม ฮ่องเต้จะต้องเป็นคนเขียนพระราชโองการ ดังนั้นลูกหลานของตระกูลขุนนางจึงมิใช่แค่ทายาทธรรมดาๆ เท่านั้น…
“ได้ยินมาว่าท่านโหวไม่นอนทั้งคืน” หู่พั่วพูด “ไม่เพียงแต่ท่านโหวที่เสียใจ คุณหนูใหญ่ก็เสียใจ เดิมทีคุณหนูใหญ่วางแผนที่จะเลี้ยงลูกของชิวหลัวในนามของตัวเอง เพราะเรื่องนี้ ทั้งสองคนจึงกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง”
สืออีเหนียงฟังแล้วเหม่อลอย
หรือว่าความทุกข์ทำให้คนใจกว้างขึ้น!
หู่พั่วเห็นว่าสืออีเหนียงโศกเศร้า นางยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยิน บ่าวยังได้ยินมาอีกเรื่องหนึ่ง ท่านได้ฟังแล้วต้องยินดีแน่ๆ เจ้าค่ะ!”
“หืม!” สืออีเหนียงเลิกนึกถึงเรื่องเก่าๆ ที่น่าเบื่อพวกนั้น นางยิ้มแล้วถามว่า “ได้ยินเรื่องอันใดมา”
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “ป้าเซี่ยงบอกว่า ตอนที่พวกเขาแยกกันอยู่ แต่ละเรือนได้เอาส่วนแบ่งที่ตัวเองควรได้รับไปหมดแล้ว คุณชายห้ายังเด็ก ไท่ฮูหยินจึงเป็นคนดูแลส่วนแบ่งนั้นให้ ต่อมาที่จวนต้องใช้เงิน ฮูหยินสองและคุณชายห้าก็เอาส่วนแบ่งของตัวเองออกมา ดังนั้นตอนที่คุณชายห้าแต่งงาน ท่านโหวไม่เพียงแต่นำส่วนแบ่งเมื่อก่อนของตัวเองมอบให้เขา ยังให้เงินเขาเจ็ดแปดหมื่นตำลึง ให้ที่ดิน ให้ร้านค้า สองสามปีก่อน คุณหนูใหญ่และท่านโหวทะเลาะกันเพราะกิจการของฮูหยินสอง ฮูหยินสองจึงให้ผู้ติดตามของตัวเองรับกิจการที่ท่านโหวเป็นคนดูแลมา ท่านโหวจึงดูแลเรื่องของชีวิตประจำวันในตระกูลเหมือนกับท่านโหวคนก่อน ดังนั้น เงินของส่วนกลาง ที่จริงแล้วก็คือเงินของท่านโหว ผู้ดูแลส่วนรายงานเป็นคนดูแลของขวัญของเรา เราแค่เขียนจดหมายไปที่นั่น ผู้ดูแลจ้าวของส่วนรายงานก็จะจัดเงินของขวัญให้คนนำไปส่ง เราแค่ดูระดับความสนิทสนมจะไปหรือไม่ไปเจอก็ได้ ฮูหยิน ท่านคิดว่าเรื่องนี้เป็นข่าวดีหรือไม่เจ้าคะ”
มันสอดคล้องกับที่ป้าเถาพูด
สืออีเหนียงพึมพำ “แต่ครั้งก่อนที่ท่านพ่อกลับอวี๋หัง ของขวัญที่แต่ละเรือนมอบให้พี่สี่รวมถึงของขวัญของท่านโหว ล้วนแต่ให้ข้าเป็นคนส่งไป ข้าคิดว่าแต่ละเรือนต้องดูแลแขกของตัวเองเสียอีก…ตอนนั้นข้ายังคิดว่าเรื่องในจวนทำไมวุ่นวายเช่นนี้ ไม่มีกฏระเบียบเอาเสียเลย คิดไม่ถึงว่าเป็นข้าเองที่เข้าใจผิด!”
หู่พั่วปิดปากยิ้ม “โชคดีที่ป้าเซี่ยงมาช่วยเราทำความสะอาดเรือน!”
สืออีเหนียงก็ยิ้มออกมาเช่นกัน
“เช่นนั้นเงินห้าสิบตำลึงของคุณนายห้า เราก็สามารถเขียนจดหมายไปที่ส่วนรายงาน…”
“เงินห้าสิบตำลึงของคุณนายห้าคือเงินที่ข้าให้นางเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องของส่วนกลาง จะเขียนจดหมายไปที่ส่วนรายงานไม่ได้” สืออีเหนียงส่ายหน้า “แล้วอีกอย่าง คนเหล่านี้ล้วนแต่มีบันทึกเอาไว้ บางคนต้องทำตาม บางคนไม่ต้องทำตาม เจ้าต้องไปสืบมา หากพี่หญิงห้าเปิดร้าน สกุลสวีจะส่งของขวัญไปให้ หากเจอกับกองปัญจทิศรักษานครและคนของศาลว่าการก็จะดูสูงส่งขึ้นหน่อย”
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “บ่าวจะไปสืบดูเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดว่า “ถึงแม้ว่ายังคงต้องให้เงินคุณนายห้า แต่ตามหลักแล้วคุณหนูเจ็ดก็ควรให้ของขวัญนะเจ้าคะ!”
“นั่นเป็นของขวัญของท่านลุงสาม ของขวัญของพี่หญิงเจ็ดเราต้องออกเอง!” สืออีเหนียงยิ้ม “ถึงตอนนั้นเลือกเครื่องประดับที่มีราคาสักสองสามชิ้นก็ได้”
พวกนางกำลังพูดคุยกัน ก็มีสาวใช้วิ่งเข้ามารายงาน “ฮูหยิน ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงลุกขึ้นออกไปต้อนรับ
แต่สวีลิ่งอี๋กลับเปิดม่านเข้ามาแล้ว
ซย่าอีรับใช้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า สืออีเหนียงไปชงชาให้เขาด้วยตัวเอง
สวีลิ่งอี๋นั่งจิบชาอยู่บนตั่งข้างหน้าต่างแล้วพูดว่า “เฉียนหมิงจะเปิดร้านขายผลไม้แห้งที่ถนนซีต้า เจ้ารู้หรือไม่”
“ครั้งก่อนที่เรากลับไป พี่หญิงห้าเคยบอกข้าแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเห็นว่าน้ำเสียงของเขาปกติ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนั้นนางเชิญข้าไปร่วมหุ้นด้วย แต่ข้าก็ปฏิเสธไปอย่างอ้อมๆ ต่อมาก็ไม่รู้ข่าวคราวอะไรอีก คิดไม่ถึงว่าพี่หญิงห้าจะดำเนินงานเร็วเช่นนี้ เริ่มติดต่อกับร้านที่จะเปิดแล้ว” จากนั้นก็ถามเขาว่า “ท่านโหวรู้ได้เช่นไรกันเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ถามว่า “ทำไมเจ้าถึงปฏิเสธ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ทำกิจการด้วยกัน อาจจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง ทุกคนล้วนแต่เป็นญาติกัน เหตุใดจะต้องทะเลาะกันเพราะเรื่องเช่นนี้กันเล่า ดังนั้นข้าจึงปฏิเสธไปแล้ว”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “เฉียนหมิงอยากจะเช่าร้านของซุ่นอ๋อง วันนี้ซุ่นอ๋องพูดเรื่องนี้กับข้า ข้าถึงได้ทราบเรื่อง”
คิดแล้วก็น่าจะเป็นเช่นนี้
ถึงแม้ว่าเฉียนหมิงทำอะไรก็เห็นแก่ผลประโยชน์ แต่เขาก็มีศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่มีทางไปขอร้องสวีลิ่งอี๋ง่ายๆ หรือพูดอีกอย่างว่า เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องไปขอร้องสวีลิ่งอี๋ด้วยตัวเอง แค่เขายังเป็นพี่เขยของสวีลิ่งอี๋ ทุกคนก็ยังต้องเคารพเขา และที่ซุ่นอ๋องรับปากเฉียนหมิง ก็เพราะว่าเห็นแก่หน้าของสวีลิ่งอี๋ แน่นอนว่าเขาต้องมาบอกสวีลิ่งอี๋อยู่แล้ว
“ในเมื่อซุ่นอ๋องบอกท่านแล้ว แสดงว่าเขาคงจะรับปากให้พี่เขยห้าเช่าร้านแล้ว” สืออีเหนียงยิ้ม “ต้องให้คนไปสืบมาว่าร้านผลไม้แห้งของพี่เขยห้าจะเปิดกิจการเมื่อใด ถึงยามนั้นต้องไปแสดงความยินดี!”
“เจ้าฉลาดเสียจริง” สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม “รู้ว่าซุ่นอ๋องรับปากที่จะให้เฉียนหมิงเช่าร้าน”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวพูดเสียขนาดนี้ ข้าจะฟังไม่ออกได้เช่นไร!”
“หืม?” สวีลิ่งอี๋เลิกคิ้ว “ข้าพูดอะไรออกไป ทำไมข้าไม่รู้”
“หากซุ่นอ๋องไม่รับปาก ท่านคงจะพูดว่ามาอธิบายเรื่องนี้ให้ข้าฟัง แต่ในเมื่อท่านพูดว่ามาบอกข้า แสดงว่าเขาต้องรับปากแล้วแน่นอน”
สวีลิ่งอี๋มองไปที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของนางแล้วก็ยิ้มตาม
ทำไมวันนี้เขาอารมณ์ดีขนาดนี้กันเล่า
สืออีเหนียงมองดูเขาแล้วพึมพำในใจ
หรือว่าราชสำนักเกิดเรื่องอันใดที่น่ายินดีขึ้น?
สวีลิ่งอี๋อารมณ์ดีจริงๆ
เรื่องของฟั่นเหวยกัง ในที่สุดก็พิสูจน์ความจริงได้แล้วว่าฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยที่เขาเป็นคนไม่เอาถ่าน
“เรื่องเปิดร้าน ตามกฎแล้วไม่มีของขวัญ” สีหน้าเขาดูมีความสุขและอบอุ่นเพราะเรื่องนี้ “แต่ในเมื่อเป็นพี่หญิงของเจ้า ไปมือเปล่าคงไม่ดี ข้าคิดว่า เราออกเงินค่าของขวัญเองคนละห้าสิบตำลึง จากนั้นเจ้าค่อยเอาเงินหนึ่งร้อยตำลึงให้พวกเขาเป็นการส่วนตัว ถือว่าเป็นการความแสดงความยินดีจากเรา”
ไม่ต้องให้หู่พั่วไปสืบแล้ว สวีลิ่งอี๋เอ่ยชัดเจนแล้วว่าเปิดร้านไม่มีกฎมอบของขวัญ!
แต่หากตัวเองเอาเงินไปให้หนึ่งร้อยตำลึง พี่สะใภ้ใหญ่จะทำเช่นไร
คิดได้เช่นนี้จึงยิ้มแล้วพูดว่า “สองวันก่อนพี่สะใภ้ใหญ่มาปรึกษาเรื่องนี้กับข้า บอกว่าหากพี่หญิงห้าเปิดร้าน พวกเราจะออกเงินคนละห้าสิบตำลึง ถือว่าเป็นมิตรภาพระหว่างพี่น้อง”
“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ก็ดี!” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “เช่นนั้นก็ห้าสิบตำลึงเถิด!” จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียง ไม่ถามสักคำว่าห้าสิบตำลึงนั้นมาจากไหน
สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าในมือตัวเองยังมีอีกร้อยตำลึง นางตัดสินใจว่าให้ผ่านด่านนี้ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน
หู่พั่วปรึกษาสืออีเหนียงเบาๆ “บอกคุณหนูใหญ่ไหมเจ้าคะ…เราขอเวลาอีกสักเดือน”
“ไม่เป็นไร” สืออีเหนียงพูด “ตอนที่พี่หญิงห้าแต่งงานนางก็เป็นคนดูแล ตอนที่สือเหนียงแต่งงานนางก็เป็นคนดูแล หากนางอยากถามนางคงถามนานแล้ว”
หู่พั่วได้ยินเช่นนี้สายตาของนางก็หม่นหมองลง
“จี้ถิงรายงานสิ่งใดแล้วหรือยัง” สืออีเหนียงเป็นหญิงที่ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองมาตลอด ถึงแม้ว่าตอนนี้จะแก้ปัญหาใหญ่เรื่องของขวัญได้แล้ว แต่นางก็ยังอยากหาเงิน
“รายงานแล้วเจ้าค่ะ” หู่พั่วพูด “บอกว่าสามารถปลูกได้ แต่ต้องมีห้องหน่วนฝังขนาดใหญ่”
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับต้นทุน!
“เจ้าบอกเจียงปิ่งเจิ้ง ให้เขาไปตรวจดูว่าที่ตลาดนั้นขายน้ำหอมในราคาสักเท่าใด”
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไป พ่อบ้านไป๋ก็ได้ขอเข้าพบ เขานำเงินมาให้นาง “…ท่านโหวบอกว่ามีเรื่องต้องใช้เงิน ให้ข้านำเงินหนึ่งพันตำลึงจากห้องซือฝังมาฝากไว้ให้ท่าน”
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋หมายความว่าเช่นไร แต่ก็จะบอกพ่อบ้านไป๋ไม่ได้ว่านางไม่รู้เรื่อง นางจึงยิ้มแล้วรับมันมา เมื่อสวีลิ่งอี๋กลับมาแล้วนางก็นำเงินหนึ่งพันตำลึงให้เขาแล้วพูดว่า “บอกว่าให้ท่านใช้ในเรื่องส่วนตัว เอาให้ข้าเก็บไว้ก่อน”
สวีลิ่งอี๋ไม่มองเงินนั้นแม้แต่น้อย เขาพูดเบาๆ ว่า “ต่อไปมีเรื่องเช่นนี้อีก เจ้าก็ใช้เงินจากตรงนี้เถิด!”
ตอนที่พ่อบ้านไป๋เอาเงินมาให้ สืออีเหนียงก็มีลางสังหรณ์ ตอนนี้ลางสังหรณ์กลายเป็นความจริง นางสับสนไปหมด
ถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะเงียบขรึม แต่เขานั้นสง่างามและหล่อเหลา อีกทั้งยังมีความคิดรอบคอบ อ่อนโยนและดูแลเอาใจใส่…เป็นบุรุษแบบที่นางชื่นชอบ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาที่รับการสั่งสอนมาแตกต่างกัน ทำให้พวกเขาต่างก็มีความยืนหยัดเป็นของตัวเอง และคงไม่มีทางกลายมาเป็นคนรักกัน
ความเสียใจที่แผ่วเบาในใจสะท้อนออกมา เมื่อเขาขยับเข้ามาในร่างกายของนาง นางก็เหงื่อท่วมตัว มันทำให้นางรู้สึกอึดอัดมากกว่าครั้งแรกเสียอีก
สวีลิ่งอี๋กระซิบเบาๆ ที่ข้างหูนาง กอดรัดนางอย่างอ่อนโยน
แต่นางกลับรู้สึกว่าเวลามันช่างยาวนาน เพียงหวังว่ามันจะจบลงเร็วๆ…